จาก “รถเมล์ฟรีเพื่อประชาชน” มาเป็น “รถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชน”
คนยืนรถเมล์
ขสมก.แจงเปลี่ยนสติ๊กเกอร์ “รถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชน” เพื่อต้องการปลูกจิตสำนึกให้รู้ว่าใช้เงินภาษีมา
อุดหนุน ไม่มีวาระแอบแฝง แม้รูปแบบสติ๊กเกอร์ถูกมองเปลี่ยนไปตามการเมือง
(ที่มา: ไทยโพสต์ http://www.thaipost.net/x-cite/220409/3499)
เมื่อหลายวันก่อน ขณะผมรอรถเมล์ก็พลันสงสัยว่า เอ! รถเมล์ฟรีไม่มีแล้วหรือ เพราะไม่ค่อยพบเห็นมาหลายวันแล้ว หรือว่าจะหมดช่วงนโยบายที่รัฐบาลประกาศไว้ แต่ก็ไม่น่าจะใช่เพราะรัฐบาลก็เพิ่งประกาศยืดเวลาให้ประชาชนได้นั่งรถเมล์ฟรีเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หรือจะเป็นเพราะว่ารถเมล์สายที่ผมรอไม่ค่อยมีรถเมล์ฟรีแล้ว หรือจะเป็นเพราะว่าโดนเผาไปช่วงสงกรานต์ ผมคิดสงสัยได้ไม่นานก็มีรถเมล์ฟรีวิ่งผ่านมา ความรู้สึกแรกก็คือ เย้! ยังมีรถเมล์ฟรีเว้ยเฮ้ย แค่ป้ายที่เขียนเปลี่ยนไปบ้าง (ออกจะดูยากและไม่สะดุดตาไปบ้างแต่ก็ยังเห็นอยู่) ตัวอักษรที่ใช้ก็เปลี่ยนไป สีพื้นหลังก็เปลี่ยนไป และที่สำคัญข้อความบางส่วนก็เปลี่ยนไป นั่นคือ จาก “รถเมล์ฟรีเพื่อประชาชน” เปลี่ยนไปเป็น “รถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชน” แล้วป้ายมันเปลี่ยนไปเพื่ออะไรหรือเพื่อใคร สองข้อความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ผมสงสัยต่อ...
ความเหมือนกันประการแรก ป้ายทั้งสองทำหน้าที่ประกาศให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบว่า ถ้าท่านขึ้นรถคันนี้ไม่ต้องเสียเงินค่าโดยสาร
ประการที่สองคือ เป็นการประกาศให้ประชาชนทราบอีกเช่นกันว่า นี่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ช่วยเหลือหรือบริการประชาชนในยามเศรษฐกิจตกต่ำ
ความเหมือนประการสุดท้ายในความคิดของผม ได้แก่ คำว่า “รถเมล์ฟรี” และ “ประชาชน” ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม ซึ่งเท่ากับเป็นการสะท้อนและยืนยันความเหมือนในสองข้อแรกข้างต้นด้วย “รถเมล์ฟรี” เป็นการบอกว่าคันนี้ขึ้นฟรี “ประชาชน” เป็นการย้ำความสัมพันธ์รัฐ/รัฐบาล ที่มักต้องทำอะไร เพื่อประชาชนอยู่แล้ว
ทีนี้มาดูความแตกต่างกันบ้าง ประการแรกเลย ลักษณะตัวอักษรที่เปลี่ยนไป ประการที่สอง สีพื้นหลังก็เปลี่ยนไป จากเดิมที่เป็นสีขาวมาเป็นสีฟ้า ตามความเห็นส่วนตัวของผม พื้นหลังสีขาวที่อ่านง่ายกว่าเยอะเลย สีฟ้ามันออกจะสังเกตยากเสียหน่อยโดยเฉพาะเวลาค่ำคืน ยิ่งผมสายตาสั้นและบางวันลืมใส่แว่นตาด้วยแล้วกว่าจะเห็นว่า รถเมล์คันนี้ฟรี ก็มาจอดเอาใกล้ๆ จนเกือบขึ้นไม่ทันเลยทีเดียว
จากความแตกต่างสองข้อ และหากความจำของผมไม่สั้นจนเกินไป เมื่อครั้งที่เป็น “รถเมล์ฟรีเพื่อประชาชน” มีบางคนกล่าวหาว่า ลักษณะตัวอักษรและองค์ประกอบโดยรวม ช่างชี้ชวนให้นึกถึง “พรรคพลังประชาชน” และ “พรรคเพื่อไทย” เสียจริง เพราะเวลาดูผ่านๆ เหมือนๆ กำลังเห็นป้ายหาเสียงของพรรคทั้งสองอย่างไรไม่รู้ และถึงแม้ป้ายจะเปลี่ยนมีความต่างแต่กลับทำหน้าที่คล้ายคลึงกัน เมื่อป้าย “รถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชน” ทั้งตัวอักษรและสีพื้นหลังเป็นสีฟ้า ก็ชี้ชวนให้นึกถึง “พรรคประชาธิปัตย์” อย่างน้อยก็ในความคิดของผม
ความต่างประการที่สาม นั่นคือ คำว่า “เพื่อ” กับคำว่า “จากภาษี” ความต่างนี้ผมว่ามีความสำคัญที่สุด เพราะทำหน้าที่ให้เห็น ลักษณะ อัตลักษณ์ หรือ อุดมการณ์ของพรรคการเมืองสองพรรคได้ดีเลยทีเดียว หากจำไม่ผิด ครั้งเมื่อเป็น ป้าย “เพื่อ” มีหลายคนออกมาชี้หน้ากล่าวหาว่า นี่เป็นประชานิยม ชอบแจกแบบไร้เหตุผล แล้วเวลาแจกหรือดำเนินนโยบายแล้วยังมักทำให้คิดไปว่า เป็นความใจดีของรัฐบาลหรือพูดง่ายๆ นี่มันคือการหาเสียงของพรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทยนี่นา
แต่กับป้าย “จากภาษี” ถึงแม้จะมีคนกล่าวหาว่าเป็นการหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ได้เช่นกันแต่ก็คงมีคนออกมาเถียงแทนว่า “แต่นี่เป็นประชานิยมที่มีเหตุผลนะ เห็นมั้ยว่าเขาบอกว่า รถเมล์ฟรีนี้มาจากภาษีของประชาชน เขาบอกที่มาของเงินที่นำมาใช้ดำเนินนโยบายไม่ได้เป็นความใจดีของรัฐบาลที่ชอบแจก”
สำหรับผมแล้ว ป้ายทั้งสอง ทำหน้าที่ไม่ต่างกัน เพราะต่างก็เป็นเครื่องมือหาเสียงของทั้งสองพรรคเพียงแค่พรรคนึง เลือกที่จะป่าวประกาศว่า “ฉันทำเพื่อประชาชน” แบบโต้งๆ โฆษณากันแบบเห็นๆ และถ้าหากใครชอบนโยบายนี้เลือกตั้งครั้งหน้าก็อย่าลืมเลือกพรรคนี้ แต่กับอีกพรรคหนึ่งเลือกที่จะบอกว่า เงินที่ใช้มาจากภาษีประชาชนนะ เป็นป้ายที่ดูเหมือนจะเป็นการแจ้งให้ทราบมากกว่าเป็นการโฆษณาหาเสียงแต่ถ้ามองให้ดีๆ ผมว่านี่คือ การโฆษณาหาเสียงเหมือนกัน โดยใช้ การโฆษณาว่า ฉันไม่ได้โฆษณาและตั้งใจจะหาเสียงนะ เพราะถ้าเกิดใครเห็นข้อความนี้แล้ว รู้สึกประมาณว่า เออ พรรคนี้ดีนะ บอกที่มาที่ไปของเงินด้วย หรือเออ!!! นี่งัย พรรคนี้ไม่ได้เอาดีเข้าตัวเอง เพราะบอกว่ามาจากเงินภาษีของประชาชน เมือความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้น ก็ทำให้คนอาจจะหันมานิยม พรรคประชาธิปัตย์ เพิ่มขึ้น แล้วมันจะต่างกับการโฆษณาหาเสียงตรงไหน
ความต่างประการสุดท้าย กลุ่มเป้าหมายของคนที่อ่านป้ายเหล่านี้ หรือกลุ่มที่รัฐบาลต้องการสื่อสารมีความแตกต่างกัน ผมเชื่อว่า คงไม่มีชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ คนใดที่ไม่รู้ว่า เงินที่ใช้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลล้วนแล้วมาจากภาษีประชาชนเสียส่วนมาก ไม่ว่าป้ายรถเมล์ฟรี จะเขียนว่าอะไร ก็ใช้เงินภาษีทำทั้งนั้น อีกทั้งป้ายแค่นั้นก็ไม่สามารถจะบ่งบอกได้ว่า รัฐบาลเอาเงินภาษีส่วนไหนมาใช้เป็นเงินภาษีของคนทั้งประเทศหรือเปล่าเราก็มิอาจรู้ได้ แต่เมื่อพรรคประชาธิปัตย์เลือกที่จะใช้คำว่า “จากภาษี” เท่ากับเป็นการพยายามสื่อสารกับชนชั้นกลางที่มักคิดว่าเหตุผลของตัวเองถูกต้องและดีเลิศกว่าคนอื่นๆ เป็นการเชิดชูจริตแบบชนชั้นกลาง เชิดชูว่าฉันเนี่ยแหละที่เสียภาษีเยอะกว่าคนชั้นล่างทำให้พวกคุณๆ ได้นั่งรถเมล์ฟรี ทั้งๆ ที่ในชีวิตจริงหลายคนก็ไม่ค่อยจะอยากเสียภาษีกันสักเท่าไหร่ เลี่ยงได้ก็เลี่ยง
ป้าย “รถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชน” สำหรับผมแล้วก็คือการหาเสียงทำหน้าที่ไม่ได้แตกต่างไปจากป้าย “รถเมล์เพื่อประชาชน” สักเท่าไหร่ เพียงแต่ “จากภาษี” แสดงถึงเหตุผล วิธีคิด และจริตแบบชนชั้นกลางในเมือง (ที่มักพูดอย่างทำอย่าง) อันเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์และคณะรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
ผมไม่รู้หรอกว่า โฆษณาแบบไหนจะดีจะเลวกว่ากัน แค่เบื่ออาการ “ว่าเขาอิเหนาเป็นเอง” ก็เท่านั้น
--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 30/4/2552
Resource: http://www.prachatai.com/05web/th/home/16666
วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552
016.รายงานพิเศษ: เสียงจากเตียงพยาบาล ชะตากรรม ของ ‘ด่านหน้า’ สามเหลี่ยมดินแดง
รายงานพิเศษ: เสียงจากเตียงพยาบาล ชะตากรรม ของ ‘ด่านหน้า’ สามเหลี่ยมดินแดง
เสียงจากผู้ชุมนุม 2 รายที่ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมที่สามเหลี่ยมดินแดงในช่วงเช้ามืดของวันที่ 13 เมษายน 2552 และพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึกจนถึงวันให้สัมภาษณ์คือวันที่ 27 เมษายน พวกเขาเล่าถึงเหตุการณ์ที่พวกเขาประสบ และแรงผลักดันที่ทำให้เขาเข้าร่วมชุมนุมในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนยังไม่ได้รับการติดต่อจากหน่วยงานภาครัฐในเรื่องการจ่ายค่าชดเชยแต่อย่างใด แม้ทางโรงพยาบาลระบุจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ขณะเข้าสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์ไม่ได้แสดงตัวเป็นสื่อมวลชนต่อพยาบาล ในภายหลังจึงถูกพยาบาลต่อว่าเนื่องจากพยาบาลระบุว่าต้องส่งรายงานให้กับ ผอ.โรงพยาบาลด้วยหากมีสื่อมวลชนเข้าสัมภาษณ์ อย่างไรก็ตาม จากการสังเกตพยาบาลให้การดูแลพวกเขาอย่างดี เป็นกันเอง และก่อนหน้านี้มีผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนบ้าง ทั้งนี้ รายชื่อและข้อมูลของพวกเขาก็ได้จากกลุ่มผู้ชุมนุมเมื่อครั้งไปชุมนุมที่ท้องสนามหลวงเมื่อวันที่ 25 เมษายน

สนอง พานทอง
ช่างซ่อมรถ อายุ 34 ปี
ข้อมูลเฉพาะ: พื้นเพสนองเป็นคนบุรีรัมย์ แต่มาเป็นช่างซ่อมรถอยู่ที่ กทม. เป็นสิบปีแล้ว โดยเป็นลูกจ้างอยู่ที่อู่ของญาติแถวถนนวิภาวดีรังสิต ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืน ซึ่งเขาระบุว่าเป็นกระสุนขนาด 9 มม. เข้าที่ลูกสะบ้า (หัวเข่า) ด้านขวา เข้าทำการผ่าตัดแล้ว 4 ครั้งในช่วง 2 สัปดาห์ที่อยู่โรงพยาบาล เนื่องจากบาดแผลติดเชื้อ เพราะการกระโดดลงไปหลบทหารในคูน้ำครำ
“พอทหารเริ่มสลาย ผมอยู่ตึกพีเอ็ม ไปหาเพื่อน ยังไม่ทันดับเครื่องรถ เพื่อนบอกสลายแล้ว ก็เลยพากันบึ่งมา มาถึงแก๊สน้ำตามันเริ่มจางแล้ว เห็นมีรถเมล์จอดขวาง ก็เดินมาเรื่อยผ่านรถเมล์ ปรากฏว่าทหารก็ยิงปืนขึ้นฟ้ารัวๆ พวกเราก็หมอบลงกับพื้น แล้วก็คลาน หมอบ คลาน หมอบ คลาน อย่างนี้ พอเงียบไปซักพัก เหมือนเขายิงหมดแม็กแล้วก็เปลี่ยนกระสุน เงียบไปซักพัก ก็ลุกขึ้นวิ่งใส่เขาเลย บางคนก็วิ่งไปหลบตามต้นไม้ไป วิ่งเข้าใส่เขาด้วยกำปั้นเปล่าๆ นี่แหละ พอชุดที่สองดัง ก็มีเพื่อนเราโดน ที่เห็นๆ คือเลนฝั่งขวาที่มีเกาะกลางกั้น มีร่วงหลายคน ทีนี้มันเลยกลายเป็นความโกรธ เอ๊ะ กูมามือเปล่านะ มึงยังยิงพวกกูอีกเหรอ ที่เราขว้างเราก็มีแค่หินกับไม้ คุณคิดดูว่าไม้ ระยะขว้าง 10 กว่าเมตร มันจะแรงได้แค่ไหน เขาก็มีโล่”
“ตอนที่ผมโดนยิงนี่ วิ่งไปวิ่งมา ไปอยู่ห่างไม่เกิน 20 เมตร คิดดูรถทัวร์คันนึงยาว 12 เมตรนะ ผมเข้าใกล้จนเห็นเลยว่าทหารตั้งอยู่ 3 แถว แถวแรกเป็นไอ้เณรถือโล่ แถวสองนี่ปืน แถวสามตามเก็บ มันจะมีรถยีเอ็มซีวิ่งตามตูดมาห่างๆ ที่ผมโดนยิงก็คือว่า ผมจะเข้าไปดึงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง คุณเห็นกระสุนที่เขายิงขึ้นฟ้าไหม เขาเรียก กระสุนสองวิถี ก็คือกระสุนจริงนั่นแหละ กระสุนนี้มันมีสารอะไรบางอย่าง พอยิงแล้วมันจะมีเป็นแสงด้วย ปกติมันจะยิงขึ้นฟ้า แต่ผมอยู่หลังต้นไม้ เห็นมันมีอยู่ 2 นัดที่วิ่งมาในแนวราบ แล้วเด็กหนุ่มที่เดินหน้าผม เขาถอดเสื้อแล้วก็ก้าวขาจากฟุตบาทลงไปบนถนน ผมก็เป็นห่วงเขาก็เลยจะดึงเขาเข้ามาหลบ พอก้าวไปเขาก็โป้งเข้าขาผมเลย”
“ผมก็ตะโกนว่า เฮ้ย ผมโดนยิง พวกเราก็รีบเข้ามาช่วย เอามอเตอร์ไซด์มา ผมบอก โอ๊ย ขึ้นไม่ได้หรอก ผมโดนยิงขา โดนยิงลูกสะบ้า ขยับขาไม่ได้ ก็พยายามเก็บไม้แถวนั้นจะเอามาดามกัน ระหว่างนั้นทหารก็กรูเข้ามาอีก ทุกคนก็หนีหมด เหลือไอ้รัก (ไม่ทราบสะกดอย่างไร-ประชาไท) อยู่คนหนึ่ง เพื่อนผม มันไม่ได้โดนยิงโดนอะไร มันทิ้งผมไม่ได้ พอกอดคอผมได้มันก็พาผมโดดลงน้ำครำ สัญชาตญาณเอาตัวรอด ทั้งๆ ที่รู้ว่าหนีลงน้ำก็ไม่รอดหรอก ทหารมาก็ยิงตามลงไปอีก 2 นัด แต่ไม่โดน แล้วเขาก็ลากผมขึ้นมา ผมบอก พี่ ผมโดนยิง เขาบอกเดี๋ยวกูเอาส่งโรงบาล เขาก็มาส่งจริงๆ โรงบาลนี้แหละ”
“พอมาถึงปุ๊บ พวกพลเปลเขาก็เตรียมจะเอาผมลง มันก็ออกรถเลย แล้วก็เอาผมไปขังไว้ที่ พล 1 ร.อ. จนถึงแปดโมงเช้า โดยไม่ได้ปฐมพยาบาลอะไรเลย แล้วมันก็ลากผมออกมาสอบ ลากนะ หิ้วปีกสองข้างลากมา ขาก็ถูกับพื้น เลือดก็ไหล แล้วก็วางผมกองไว้กับพื้น (เสียงเริ่มสั่น) เขาก็จะสอบ แต่พอดีเห็นสภาพผมไม่ค่อยไหวแล้ว ไม่มีสุนัขตัวไหนมันพูดอะไรเลย เผอิญทหารเสนารักษ์เขาผ่านมา เขาก็เลยปฐมพยาบาลให้ ห้ามเลือด เขาก็ถามว่าทำไมไม่เอาผมไปส่งโรงบาลก่อน เขาโดนหนักนะ นั่นแหละ มันถึงได้เลิ่กลั่กๆ กัน แล้วก็มีนายทหารคนหนึ่งเข้ามา ในชุดเครื่องแบบสนาม แกก็บอก เออ น้องใจเย็นๆ เดี๋ยวพี่จะดูแลให้เต็มที่ แต่พี่ไม่มีอำนาจสั่งการอะไรนะ แล้วก็โทรหาระดับนาย นาน (เน้นเสียง) กว่ารถพยาบาลจะมารับผม รถพยาบาลก็ไม่ใช่ด้วย เป็นรถทหารนั่นแหละ แล้วก็เอามาส่ง ผมผ่าตัด 4 รอบแล้ว มันติดเชื้อ เพราะน้ำครำน่ะ....”
“ทำไมเราต้องขอพูดว่าสื่อไม่เป็นกลาง ก็สื่อไม่เป็นกลางจริงๆ แล้วผมก็ไม่เข้าใจแกนนำ คุณก็ไปที่ช่องสามเลยสิ เอาผมไปก็ได้ สรยุทธ์ สุทัศนะจินดา เนี่ยอ่านข่าวที่นักข่าวเขาเสนอตามรัฐปาวๆ อะไรก็แดงผิดๆ นักข่าวเนชั่นมา ผมก็ตะเพิดไปแล้ว จะคุยทำแพะอะไร พวกเดียวกับสนธิ (ลิ้มทองกุล) ทั้งนั้น เด็กที่มาทำข่าวทำข่าวไปดี แต่พอไปถึงกอง บก.มันคนละเรื่องมาตลอด ผมก็ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ แกนนำเขาคิดยังไง ต่อสู้ยังไงแค่ชิงพื้นที่ทางสื่อก็ยังไม่ได้ ทั้งๆ ที่เรามีความจริงทั้งนั้น แต่เรากลับสู้เขาไม่ได้ ไม่เข้าใจ อย่างไทยรัฐ ก็ไปไล่จี้ดิ เอาผู้เสียหายเข้าไปเลย”
“หรือพวกที่เขียนเชียร์ประชาธิปัตย์อย่างนู้นอย่างนี้ แต่ถามว่าคนที่เขารักทักษิณเขาผิดหรือ นายกฯ ประเทศไทยมีมากี่คน มีเคยมีซักครั้งไหมที่ประชาชนเรียกร้องให้กลับมาแบบนี้ ฉะนั้น กรุณาเอาหัวแม่ตีนคิดหน่อยว่าเหตุมันเพราะอะไร แสดงว่าเขาก็ต้องมีส่วนดี และเพราะความไม่เป็นธรรมที่ผ่านมาใช่ไหม ก็ไม่รู้เหมือนกันพวกแกนนำคิดอะไร ไปเรื่อยๆ ไม่ on time, on target เลย ช่องสามเนี่ย (ชี้ไปที่โทรทัศน์ ที่กำลังเปิดรายการข่าวช่อง 3-ประชาไท) ผมมีทั้งลูกกระสุน มีใบรับรองแพทย์ ผมเอาแน่ แกนนำไม่เอา ผมเอาเอง”
“ยังไม่ได้เจอแกนนำใครเลย มีหมอเหวง (โตจิราการ) มา 3 นาทีก่อนผมผ่าตัด กับครูประทีป (อึ้งทรงธรรม) ก็มา พวกแกนนำ พวกเขาเป็นไอดอล มาให้กำลังใจซักหน่อยก็ดี หลายๆ ครั้งการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย นี่พูดไม่ได้อะไรหรอกนะ แต่มันไม่ค่อยมีหรอกที่แกนนำจะมาโดนยิงอย่างเรา เขาเป็นผู้นำทางความคิดก็เข้าใจ แต่ผมก็อยากเจอพวกวีระ (มุสิกพงศ์) ณัฐวุฒิ (ใสยเกื้อ) จตุพร (พรหมพันธุ์) ถามว่าท้อมั้ย ก็นิดหนึ่ง แต่ยังไงก็ต้องสู้ต่อ”
“ถามว่าออกมาสู้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ ตัวหรือใจล่ะ ถ้าใจก็ตั้งแต่บัง (พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน) ออกมาปฏิวัติแล้ว แต่ตัวออกมาสู้ก็ตั้งแต่มีการยิงที่วิภาวดีซอย 3 ตั้งแต่นั้นมาก็สู้เต็มตัวมาตลอด อย่างน้อยได้คุยได้ระบายอะไรกับคุณบ้างมันก็ดีขึ้นนะ”
“ผมยังรอโอกาสเปิดว่าจะมีใครซักคนมาให้เราพูดความจริงว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง เห็นอะไรมาบ้าง ต่อหน้าต่อตาเรา คุณเชื่อไหมว่าผมฝันมา 2 คืนติด สตาร์ทที่เดียวกันและจบลงที่เดียวกันเด๊ะ เหมือนฉายซีดี ทุกคนยืนอยู่ยังไง ใครเดินยังไง ใครล้มยังไง ใครขว้างก้อนหินยังไง เหมือนกันเป๊ะสองคืนมาแล้ว”
“ถ้าผมทำอาชีพนักข่าว ผมจะเก็บภาพพวกนี้ ผมคงรุ่ง แต่บังเอิญผมไม่มีความรู้ตรงนี้ นักข่าวก็พอมีตอนนั้น แต่เขากลัว เข้าไม่ถึงด้านหน้าหรอก”
“ถามว่าผมมาสู้เพื่ออะไร ก็กฎหมายมันสองมาตรฐาน ปากก็พูดปาวๆๆ ไม่สองมาตรฐาน ไม่สองได้ยังไง ก็ยิงซอย 3 เห็นอยู่โต้งๆ จับก็ไม่จับ ตำรวจก็อยู่ ทะเบียนเจ้าของก็มีให้ ยังไม่จับเลย แต่มาแหกปากบอกว่ามาตรฐานเดียวกัน บ้ารึเปล่า วันๆ นึงจบอ๊อกฟอร์ดมา ไม่ทำไร นั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อคิดคำพูดสวยๆ ผมถามว่าอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) มานั่งกับผม แล้วพูดกันภาษาบ้านๆ กับผม ให้ผมถามเลย ผมอยากรู้มันจะมีปัญญาตอบไหม อ๊อกฟอร์ด อ๊อกเหล็กอะไรน่ะ คุณให้สัมภาษณ์ว่ากระสุนกระดาษ กระดาษพ่อกระดาษแม่มึงเหรอเล่นเสียสะบ้ากูทะลุเลย ผมพูดแล้วอารมณ์มันขึ้นทุกที”
“คุณคิดว่ายังไงคุณก็ถูก เอะอะอะไรก็ไม่ได้รับรายงาน แสดงว่าคุณเป็นนายกฯ ที่ไม่ได้ลงพื้นที่เลยนี่หว่า อย่างนี้ลูกน้องสอพลอหน่อย บอกไม่มีอะไร ก็ไม่มีหมด พูดมาได้ว่าเช็คจากโรงพยาบาลทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑลแล้วไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืน เอาสมองส่วนไหนให้สัมภาษณ์ คนอย่างนี้เหรอจะเป็นผู้บริหารประเทศ”
“บอกคนเสื้อแดงสู้เพื่อทักษิณคนเดียว สำหรับผม ถ้าผมบอกว่า ใช่ล่ะ นายกฯ ผ่านมากี่สิบคน มันมีคนที่ยิงตรงเป้าไหม ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลมากี่สมัย เป็นนายกฯ เยอะกว่าคนอื่นด้วยซ้ำไป เคยมีความคิดแบบนี้บ้างไหมล่ะ ที่มันเป็นอย่างนี้เพราะมันอิจฉา เขาดีแต่ปั้นคำพูดสวยหรูทุกอย่าง ถนัดแต่เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น เหตุผลเรื่องการขายหุ้นก็อธิบายหมดแล้ว ก็ยัง 'ขายชาติๆ' พอ 'ขายชาติ' ไม่ได้แล้วก็ 'ไม่จงรักภักดี' พูดได้แค่นี้”
“ผมบอกให้ ถ้าผมเกิดและโตในสมัยทักษิณอยู่ สมองระดับผม รับรองไปได้ไกลกว่าเป็นช่างซ่อมรถ เพราะผมเรียนเก่งแต่เด็ก แต่บ้านจนมาก ถ้ามีเงิน มีโอกาส มันไปได้ไกลกว่านี้ สมัยทักษิณผมก็เห็นว่าอนาคตลูกหลานสดใสมากขึ้น อาจจะได้ไปหนึ่งอำเภอหนึ่งนักเรียนนอกบ้างก็ได้ ฝันไว้ แต่ตอนนี้มันสลายทุกอย่าง คุณไม่ต้องการให้คนจนโงหัวได้ คุณไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของคนจนชาวรากหญ้าหรอก ที่เขารักทักษิณเพราะมันมีเหตุให้รักให้ชอบ เพราะมันเข้าใจคนจน อภิสิทธิ์มาบริหาร คิดได้ยังไง ผู้ประกันตนเงินเดือนไม่เกิน 15,000 รัฐบาลให้ 2,000 แล้วยายมีขายไก่ ตาใสขายแกง แล้วผมซ่อมรถเนี่ย จะมีสิทธิได้กับเขาไหม แค่นี้คุณยังไม่มีสมอง ไม่เอารากหญ้าเลย คุณจะไปให้ทำเ_ย อะไรเงินเดือนตั้ง 15,000 ผมไม่รู้จะพูดยังไงกับรัฐบาลชุดนี้”
“ผมโกรธ โกรธมาตั้งแต่มันปฏิวัติ ตอนนั้นเศรษฐกิจก็ยังดีๆ ไม่ได้แย่นะ กำลังจะเป็นผู้ให้กู้แล้ว คุณลองถามพวกแม่บ้าน มอเตอร์ไซด์ พวกแท็กซี่ พวกอะไรต่อมิอะไร เขารักเขาชอบทักษิณเพราะอะไร ผมเป็นคนที่โกรธแล้วช้างจะตัวเท่ามดเลย แต่ผมไม่ได้จะโกรธอะไรง่ายๆ ปกติจะเฮฮา แต่มันหลายเรื่องหลายราวเหลือเกินที่ผ่านมา”

ศุภสิทธิ์ คนโทสิมพลี
ช่างเหล็กไซท์งานก่อสร้าง อายุ 46 ปี
ข้อมูลเฉพาะ: พื้นเพเป็นคนปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เป็นช่างเหล็กในไซท์งานก่อสร้างแห่งหนึ่ง เริ่มติดตามการเมืองมาตั้งแต่หลังรัฐประหาร และร่วมชุมนุมตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืน โดยไม่ได้เห็นหัวกระสุน แพทย์ระบุว่าเป็นลูกซองสั้น ปัจจุบันแพทย์อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แต่ยังติดต่อญาติมาเซ็นรับรองไม่ได้
“ผมก็มาชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ที่มาชุมนุมสามเหลี่ยมดินแดงเพื่อกดดันรัฐบาลอภิสิทธิ์ให้แก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ให้ยกเลิก 50 แล้วเอา 40 มาใช้ เพราะปัจจุบันมันยังไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ผมก็เลยเข้ามาชุมนุม”
“มาชุมนุมตั้งแต่เดือนมกรามาแล้ว ผมทำงานที่กรุงเทพฯ แกนนำเขาจะประกาศว่าจะชุมนุมที่ไหนบ้าง ผมติดตามตลอด และไปตลอด ที่เขาออกไปต่างจังหวัดผมไม่ได้ติดตาม เพราะต้องทำงานในกรุงเทพฯ พอเขานัดชุมนุมใหญ่เมื่อวันที่ 26 มีนา ผมก็เลยเข้ามาที่สนามหลวงครั้งหนึ่ง แล้วก็ยกขบวนกันเข้าไปที่รอบทำเนียบฯ ผมมาคนเดียว ไซท์งานนั้นชวนเพื่อนก็ไม่มีใครมา ผมทำงานก่อสร้าง เป็นช่างเหล็ก ผมมาทุกวัน เลิกงานก็มา วันนั้นก็กลัวเขามาสลาย และกลัวมือที่สองที่สามเข้ามาทำร้าย แต่ผมก็ยังทำงานอยู่ เพราะถ้าผมไม่ทำก็จะไม่มีรายได้อะไร ที่ผมไปไม่ได้มีค่าจ้างอะไรเลย ค่ารถเมล์ก็ต้องออกเอง เสื้อแดงไม่มีการจ้างใครทั้งนั้น ใครมีอุดมการณ์ที่จะกอบกู้ประชาธิปไตยก็เข้าร่วมได้หมด”
“ที่สามเหลี่ยมดินแดง ก็คือ แกนนำเขาประกาศรับอาสาสมัคร คืนนั้นจำนวน 50 คนเอง ผมก็มา แต่ปรากฏคนมากันร้อยสองร้อยคน ตอนนั้นผมรู้ว่าทหารจะต้องมาสลายจุดนี้แน่นอน ผมตั้งเป้าหมายในความคิดของผมเองว่าเขาจะโจมตีจุดไหนๆ เพราะที่วิภาวดีมีทหาร ถ้าเขาไม่เข้าเส้นพหลโยธิน ก็จะเข้าทางสามเหลี่ยมดินแดงเข้าไปถนนศรีอยุธยา จุดนี้ ผมก็เลยมาเฝ้าสังเกตการณ์ ก็ไม่ได้หลับเลย อ่อนเพลียมาก ไม่ได้นอนตั้งหลายคืน ผมก็เอนกายตรงสนามหญ้าสามเหลี่ยมดินแดง แต่หูผมฟัง คอยฟังรถถัง รถถังจะมาแบบไหนผมรู้ ถนนนี่เสียงจะดังเหมือนฟ้าผ่า ฮึ่ม ฮึ่ม ฮึ่ม มาเลยแหละถ้าเป็นรถถัง ผมก็หูแนบดินไว้ แต่ก็ไม่มีวี่แวว”
“จนถึงตีสี่ แกนนำก็ประกาศว่าขณะนี้เวลาศูนย์สี่นาฬิกา ผมก็ยังได้ยินอยู่นะ ทีนี้ซักครู่นึง ก็มีม้าเร็วที่เป็นมอเตอร์ไซด์เสื้อแดง เขามาแจ้งว่าทหารเข้ามาแล้ว พวกผมก็เลยพากันลุก ตั้งหน้ากระดาน เพื่อจะไปป้องกันทหาร ไม่ให้มาสลายกลุ่มเสื้อแดงที่สามเหลี่ยม พวกผมก็ตั้งหน้ากระดาน มีคนวิ่งเข้าไป ใกล้จะถึงแล้ว ทหารเขายิงปืนไล่พวกผมเลย ขึ้นฟ้าหรือลงดินก็ไม่รู้แหละ แต่มันเข้าใกล้กันมาก แล้วเขาก็เขวี้ยงแก๊สน้ำตาเข้ากลุ่มเสื้อแดง เป็นคล้ายๆ ถังดับเพลิงอันเล็กๆ สีขาวๆ อะลูมิเนียม เต็มถนนไปหมดเลยทีนี้ ผมก็โดน แสบตาเหมือนกัน ดีที่ผมพกน้ำมา แต่บังเอิญบุญ เทพยดาฟ้าสางอะไรไม่รู้ ลมพัดกลับไปทางกลุ่มทหาร ทหารต้องร่นถอยกำลัง”
“พวกผมก็เคลียร์อยู่ในสนาม ตอนนั้นยังไม่เห็นคนเจ็บ เห็นแต่คนกุมหน้า ถอยกันหมดแล้ว แต่ผมไม่ถอย พอผมล้างหน้าแล้วก็สู้ต่อ ยังมีคนสู้ต่อ ก็ตั้งหน้ากระดานสู้ทหารอีก ไม้คนละท่อนเข้าสู้ทหาร ตอนนั้นคิดว่ายังไงเขาต้องเอาเราแน่ เพราะเสียงปืนลั่นแล้ว ถ้าเขาไม่ยิงปืนวันนั้น ก็คงจะพอเจรจากันได้ ด่านทหารกับด่านพวกผม ผมจะอธิบายว่าเรามาชุมนุมเพื่อกดดันเรียกร้องประชาธิปไตยกับรัฐบาล ไม่ได้มีทิฐิอะไรที่จะมาทะเลาะเบาะแว้งอะไรกับทหารเลย ทหารถือปืนมาแบบนี้ มาถึงเหมือนเตรียมการมาฆ่าประชาชน ตอนนั้นผมบันดาลโทสะแล้ว ถือไม้วิ่งเข้าสู้ทหารเลย ยิงแก๊สน้ำตาก็ยิงแล้ว ยิงก็ยิงแล้ว เราดาหน้าเข้าไปใหม่ มีประมาณ 6-7 คน”
“ที่มากันเป็นร้อยอยู่ด้านหลังหมดแล้ว โดนแก๊สน้ำตา ฟูมฟายกันแล้ว แต่พวกผมไม่สนแล้ว ยังไงเขาก็ต้องฆ่าเรา ตายก็ตาย ต้องสู้ ตอนนั้นทหารก็ยังไม่หยุดยิง ยังยิงอยู่อย่างนั้น ยิงไม่หยุดไม่หย่อน วิ่งเข้าสู้ แต่ตอนหลังผมคิดว่าคงสู้ไม่ไหวแล้ว กำลังคนผมน้อย ผมเริ่มใจอ่อน แล้วจะวิ่งหนีทหาร วิ่งเข้าไปหลบในปั๊มน้ำมันเชลล์ ห่างทหารไม่เท่าไหร่ แล้วเขาก็ยิงตามผมมา ผมก็ล้ม ไปไม่ไหว ก็นำพาชีวิตผมกระเสือกกระสนเข้าไปในปั๊มน้ำมัน ไปหลบที่ต้นดอกไม้ต้นหนึ่ง กระเสือกกระสนด้วยขาเดียว มือกุมขาอีกข้างหนึ่ง กระดูกผมแตก โดนยิงตรงหน้าแข้งขวา กระดูกแตกร้าวมาด้านบน ผมก็ไปซุกอยู่ตรงต้นไม้ ทหารก็รุดหน้าไป หางแถวก็ผ่านมา ตรงหางแถวก็จะมีแพทย์ทหารแล้วก็มีหน่วยคุมด้านหลังอีก เขาเห็นก็เข้ามาทำร้ายผม ตีผม เข้าไปตีจนผมคิดว่าจะตายคาที่อยู่ตรงนั้น แต่ซักพักหนึ่งยังฟื้นสติขึ้นมาได้ ตีปุงปังเลย ใช้กระบอง ตีผมเสร็จก็ลากผมออกมาถนนใหญ่ ถอดรองเท้า เอกสารที่ผมคาดเอวอยู่เอาของผมไปหมด กางเกงก็ตัดของผมทิ้ง ทีนี้ก็จับขึ้นเปลทหารยกขึ้นรถ แต่ก็ยังดี เขายังมีจิตใจไม่พาผมหนีไปลพบุรี แต่พามาโรงพยาบาลนี่”
“ก็มาเจรจากับผอ.อยู่พักหนึ่ง ผอ.ก็รับ ยังไงเขาก็คงจะช่วยชีวิตผม รออยู่ชั่วโมงสองชั่วโมงก็ได้ผ่าตัด เสร็จก็เอาผมพักฟื้นจากยาสลบ ผมก็ยังมึนๆ งงๆ มาอยู่บนตึกเกือบเจ็ดโมงแล้วมั้ง สว่างโล่แล้ว เสียงปืนยังไม่หยุดเลย ผมไม่รู้เลย แต่ประเมินว่าคนตายเยอะแน่ ก็เสียงปืนยิงไม่หยุดตั้งสองสามชั่วโมงขนาดนั้น”
“ของผมผ่าตัดแล้วก็เอ็กซเรย์พบกระดูกหักแล้วก็แตกร้าวขึ้นมาด้านบนเป็นเสี่ยง ท่าน ผอ.ก็มาบอกตอนพักฟื้นว่า ไม่เป็นไร โรงพยาบาลจะรักษาจนหาย ไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ผมก็ชื่นใจ แพทย์ผ่าออกมาชันสูตร แล้วมาบอกว่ากระสุนลูกซองสั้น ผมก็ไปโต้กับนายแพทย์อีกครั้งหนึ่งว่า ทหารจะพกปืนลูกซองสั้นเหมือนเอกชนนี่เป็นไปไม่ได้ ทหารต้องติดอาวุธสงครามเท่านั้น ผมไม่เห็นหัวกระสุน ผอ.ท่านเก็บไว้เลย ไม่ให้ผมดูเลย แต่มาบอกว่าเป็นลูกซองสั้น ผมคิดว่าไม่เป็นอาก้า ก็เอ็ม 16 หรือไม่ก็ 9 มม. ของทหารสัญญาบัตรที่จะพกได้ พวกสัญญาบัตรนี่เขาจะมีกุญแจ วิทยุ ปืนสั้น ปืนยาว”
“ตอนผมมานี่เขาเอาใส่รถมาคนเดียวโดดๆ เลย ตอนนั้นไม่กลัวแล้ว ตายเป็นตายแล้วจิตใจผม ผมโส (ไม่คิดหน้าคิดหลัง ไม่มีพะวง สู้ตาย) ตั้งแต่ตอนเอากระบองมาตีผม ตอนนั้นทำใจแล้ว มันมืดไปเลย แต่มันยังไงไม่รู้ มันยังโงกเงกๆ ขึ้นมาได้ ทหารแพทย์ที่มีกากบาทสีแดงด้านซ้ายเอาผมมาส่ง ผมมารอคิวเข้าห้องผ่าตัด เพราะทหารก็โดนเหมือนกัน เขาเอาทหารเข้าก่อน ผมก็ไม่ทราบว่าเขาโดนอะไร กลุ่มฝ่ายขวาก็บุกสู้กับทหารด้วยไม้เหมือนกัน กลุ่มนี้มี 20 กว่าคน”
“อ้อ ตอนอยู่ในปั๊มก็มีเพื่อนเสื้อแดงยืนหลบกระสุนอยู่เหมือนกัน ยืนกันโหงกเหงกๆ อยู่ ผมก็มองเห็นสองคน เลยกวักมือเรียกให้มาช่วย เขาก็อุ้มผมขึ้นจริงๆ สองมือผมก็กอดขาผมไว้ แล้วทหารก็กรูมา ตีผมด้วย ตีคนอุ้มด้วย บอกให้วาง แล้วเพื่อนผมยังร้องว่า ผมจะเอาเพื่อนผมเข้าโรงบาล “วางเดี๋ยวนี้เลย” ทหารก็ขู่ เขาก็วางผมลง แล้วก็ตีผมอีก สุดท้ายก็มารักษาตัวที่นี่ ตอนตกฟากเข้า 13 แล้ว”
“วันนี้วันที่ 27 แพทย์ให้อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ตั้งแต่วันที่ 24 ทีนี้ต้องรอญาติมาเซ็นออกแล้วก็ไปเข้าเฝือกที่บ้าน ต้องรักษาเป็นปีหมอบอก แต่ญาติไม่รู้เรื่องรู้ราว พ่อแม่แก่ๆ อยู่ที่บ้าน ญาติในกรุงเทพฯ ก็มีหลานที่เขาได้รู้ข่าวจากโทรทัศน์ก็มาเยี่ยมวันก่อน แต่ผมไม่ได้ขอเบอร์โทรศัพท์เขาไว้ ปากกาก็ไม่มี สมุดก็ไม่มี กำลังเจ็บ และคิดว่าจะได้ออกจากโรงบาลเอง ก็เลยติดต่อกันไม่ได้ แต่เขาคงพยายามรายงานพ่อแม่พี่น้องผมที่บ้านนอก แต่ผมติดต่อไม่ได้เพราะว่าไม่มีเบอร์ใครไว้”
--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 29/4/2552
เสียงจากผู้ชุมนุม 2 รายที่ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมที่สามเหลี่ยมดินแดงในช่วงเช้ามืดของวันที่ 13 เมษายน 2552 และพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึกจนถึงวันให้สัมภาษณ์คือวันที่ 27 เมษายน พวกเขาเล่าถึงเหตุการณ์ที่พวกเขาประสบ และแรงผลักดันที่ทำให้เขาเข้าร่วมชุมนุมในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนยังไม่ได้รับการติดต่อจากหน่วยงานภาครัฐในเรื่องการจ่ายค่าชดเชยแต่อย่างใด แม้ทางโรงพยาบาลระบุจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ขณะเข้าสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์ไม่ได้แสดงตัวเป็นสื่อมวลชนต่อพยาบาล ในภายหลังจึงถูกพยาบาลต่อว่าเนื่องจากพยาบาลระบุว่าต้องส่งรายงานให้กับ ผอ.โรงพยาบาลด้วยหากมีสื่อมวลชนเข้าสัมภาษณ์ อย่างไรก็ตาม จากการสังเกตพยาบาลให้การดูแลพวกเขาอย่างดี เป็นกันเอง และก่อนหน้านี้มีผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนบ้าง ทั้งนี้ รายชื่อและข้อมูลของพวกเขาก็ได้จากกลุ่มผู้ชุมนุมเมื่อครั้งไปชุมนุมที่ท้องสนามหลวงเมื่อวันที่ 25 เมษายน

สนอง พานทอง
ช่างซ่อมรถ อายุ 34 ปี
ข้อมูลเฉพาะ: พื้นเพสนองเป็นคนบุรีรัมย์ แต่มาเป็นช่างซ่อมรถอยู่ที่ กทม. เป็นสิบปีแล้ว โดยเป็นลูกจ้างอยู่ที่อู่ของญาติแถวถนนวิภาวดีรังสิต ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืน ซึ่งเขาระบุว่าเป็นกระสุนขนาด 9 มม. เข้าที่ลูกสะบ้า (หัวเข่า) ด้านขวา เข้าทำการผ่าตัดแล้ว 4 ครั้งในช่วง 2 สัปดาห์ที่อยู่โรงพยาบาล เนื่องจากบาดแผลติดเชื้อ เพราะการกระโดดลงไปหลบทหารในคูน้ำครำ
“พอทหารเริ่มสลาย ผมอยู่ตึกพีเอ็ม ไปหาเพื่อน ยังไม่ทันดับเครื่องรถ เพื่อนบอกสลายแล้ว ก็เลยพากันบึ่งมา มาถึงแก๊สน้ำตามันเริ่มจางแล้ว เห็นมีรถเมล์จอดขวาง ก็เดินมาเรื่อยผ่านรถเมล์ ปรากฏว่าทหารก็ยิงปืนขึ้นฟ้ารัวๆ พวกเราก็หมอบลงกับพื้น แล้วก็คลาน หมอบ คลาน หมอบ คลาน อย่างนี้ พอเงียบไปซักพัก เหมือนเขายิงหมดแม็กแล้วก็เปลี่ยนกระสุน เงียบไปซักพัก ก็ลุกขึ้นวิ่งใส่เขาเลย บางคนก็วิ่งไปหลบตามต้นไม้ไป วิ่งเข้าใส่เขาด้วยกำปั้นเปล่าๆ นี่แหละ พอชุดที่สองดัง ก็มีเพื่อนเราโดน ที่เห็นๆ คือเลนฝั่งขวาที่มีเกาะกลางกั้น มีร่วงหลายคน ทีนี้มันเลยกลายเป็นความโกรธ เอ๊ะ กูมามือเปล่านะ มึงยังยิงพวกกูอีกเหรอ ที่เราขว้างเราก็มีแค่หินกับไม้ คุณคิดดูว่าไม้ ระยะขว้าง 10 กว่าเมตร มันจะแรงได้แค่ไหน เขาก็มีโล่”
“ตอนที่ผมโดนยิงนี่ วิ่งไปวิ่งมา ไปอยู่ห่างไม่เกิน 20 เมตร คิดดูรถทัวร์คันนึงยาว 12 เมตรนะ ผมเข้าใกล้จนเห็นเลยว่าทหารตั้งอยู่ 3 แถว แถวแรกเป็นไอ้เณรถือโล่ แถวสองนี่ปืน แถวสามตามเก็บ มันจะมีรถยีเอ็มซีวิ่งตามตูดมาห่างๆ ที่ผมโดนยิงก็คือว่า ผมจะเข้าไปดึงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง คุณเห็นกระสุนที่เขายิงขึ้นฟ้าไหม เขาเรียก กระสุนสองวิถี ก็คือกระสุนจริงนั่นแหละ กระสุนนี้มันมีสารอะไรบางอย่าง พอยิงแล้วมันจะมีเป็นแสงด้วย ปกติมันจะยิงขึ้นฟ้า แต่ผมอยู่หลังต้นไม้ เห็นมันมีอยู่ 2 นัดที่วิ่งมาในแนวราบ แล้วเด็กหนุ่มที่เดินหน้าผม เขาถอดเสื้อแล้วก็ก้าวขาจากฟุตบาทลงไปบนถนน ผมก็เป็นห่วงเขาก็เลยจะดึงเขาเข้ามาหลบ พอก้าวไปเขาก็โป้งเข้าขาผมเลย”
“ผมก็ตะโกนว่า เฮ้ย ผมโดนยิง พวกเราก็รีบเข้ามาช่วย เอามอเตอร์ไซด์มา ผมบอก โอ๊ย ขึ้นไม่ได้หรอก ผมโดนยิงขา โดนยิงลูกสะบ้า ขยับขาไม่ได้ ก็พยายามเก็บไม้แถวนั้นจะเอามาดามกัน ระหว่างนั้นทหารก็กรูเข้ามาอีก ทุกคนก็หนีหมด เหลือไอ้รัก (ไม่ทราบสะกดอย่างไร-ประชาไท) อยู่คนหนึ่ง เพื่อนผม มันไม่ได้โดนยิงโดนอะไร มันทิ้งผมไม่ได้ พอกอดคอผมได้มันก็พาผมโดดลงน้ำครำ สัญชาตญาณเอาตัวรอด ทั้งๆ ที่รู้ว่าหนีลงน้ำก็ไม่รอดหรอก ทหารมาก็ยิงตามลงไปอีก 2 นัด แต่ไม่โดน แล้วเขาก็ลากผมขึ้นมา ผมบอก พี่ ผมโดนยิง เขาบอกเดี๋ยวกูเอาส่งโรงบาล เขาก็มาส่งจริงๆ โรงบาลนี้แหละ”
“พอมาถึงปุ๊บ พวกพลเปลเขาก็เตรียมจะเอาผมลง มันก็ออกรถเลย แล้วก็เอาผมไปขังไว้ที่ พล 1 ร.อ. จนถึงแปดโมงเช้า โดยไม่ได้ปฐมพยาบาลอะไรเลย แล้วมันก็ลากผมออกมาสอบ ลากนะ หิ้วปีกสองข้างลากมา ขาก็ถูกับพื้น เลือดก็ไหล แล้วก็วางผมกองไว้กับพื้น (เสียงเริ่มสั่น) เขาก็จะสอบ แต่พอดีเห็นสภาพผมไม่ค่อยไหวแล้ว ไม่มีสุนัขตัวไหนมันพูดอะไรเลย เผอิญทหารเสนารักษ์เขาผ่านมา เขาก็เลยปฐมพยาบาลให้ ห้ามเลือด เขาก็ถามว่าทำไมไม่เอาผมไปส่งโรงบาลก่อน เขาโดนหนักนะ นั่นแหละ มันถึงได้เลิ่กลั่กๆ กัน แล้วก็มีนายทหารคนหนึ่งเข้ามา ในชุดเครื่องแบบสนาม แกก็บอก เออ น้องใจเย็นๆ เดี๋ยวพี่จะดูแลให้เต็มที่ แต่พี่ไม่มีอำนาจสั่งการอะไรนะ แล้วก็โทรหาระดับนาย นาน (เน้นเสียง) กว่ารถพยาบาลจะมารับผม รถพยาบาลก็ไม่ใช่ด้วย เป็นรถทหารนั่นแหละ แล้วก็เอามาส่ง ผมผ่าตัด 4 รอบแล้ว มันติดเชื้อ เพราะน้ำครำน่ะ....”
“ทำไมเราต้องขอพูดว่าสื่อไม่เป็นกลาง ก็สื่อไม่เป็นกลางจริงๆ แล้วผมก็ไม่เข้าใจแกนนำ คุณก็ไปที่ช่องสามเลยสิ เอาผมไปก็ได้ สรยุทธ์ สุทัศนะจินดา เนี่ยอ่านข่าวที่นักข่าวเขาเสนอตามรัฐปาวๆ อะไรก็แดงผิดๆ นักข่าวเนชั่นมา ผมก็ตะเพิดไปแล้ว จะคุยทำแพะอะไร พวกเดียวกับสนธิ (ลิ้มทองกุล) ทั้งนั้น เด็กที่มาทำข่าวทำข่าวไปดี แต่พอไปถึงกอง บก.มันคนละเรื่องมาตลอด ผมก็ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ แกนนำเขาคิดยังไง ต่อสู้ยังไงแค่ชิงพื้นที่ทางสื่อก็ยังไม่ได้ ทั้งๆ ที่เรามีความจริงทั้งนั้น แต่เรากลับสู้เขาไม่ได้ ไม่เข้าใจ อย่างไทยรัฐ ก็ไปไล่จี้ดิ เอาผู้เสียหายเข้าไปเลย”
“หรือพวกที่เขียนเชียร์ประชาธิปัตย์อย่างนู้นอย่างนี้ แต่ถามว่าคนที่เขารักทักษิณเขาผิดหรือ นายกฯ ประเทศไทยมีมากี่คน มีเคยมีซักครั้งไหมที่ประชาชนเรียกร้องให้กลับมาแบบนี้ ฉะนั้น กรุณาเอาหัวแม่ตีนคิดหน่อยว่าเหตุมันเพราะอะไร แสดงว่าเขาก็ต้องมีส่วนดี และเพราะความไม่เป็นธรรมที่ผ่านมาใช่ไหม ก็ไม่รู้เหมือนกันพวกแกนนำคิดอะไร ไปเรื่อยๆ ไม่ on time, on target เลย ช่องสามเนี่ย (ชี้ไปที่โทรทัศน์ ที่กำลังเปิดรายการข่าวช่อง 3-ประชาไท) ผมมีทั้งลูกกระสุน มีใบรับรองแพทย์ ผมเอาแน่ แกนนำไม่เอา ผมเอาเอง”
“ยังไม่ได้เจอแกนนำใครเลย มีหมอเหวง (โตจิราการ) มา 3 นาทีก่อนผมผ่าตัด กับครูประทีป (อึ้งทรงธรรม) ก็มา พวกแกนนำ พวกเขาเป็นไอดอล มาให้กำลังใจซักหน่อยก็ดี หลายๆ ครั้งการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย นี่พูดไม่ได้อะไรหรอกนะ แต่มันไม่ค่อยมีหรอกที่แกนนำจะมาโดนยิงอย่างเรา เขาเป็นผู้นำทางความคิดก็เข้าใจ แต่ผมก็อยากเจอพวกวีระ (มุสิกพงศ์) ณัฐวุฒิ (ใสยเกื้อ) จตุพร (พรหมพันธุ์) ถามว่าท้อมั้ย ก็นิดหนึ่ง แต่ยังไงก็ต้องสู้ต่อ”
“ถามว่าออกมาสู้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ ตัวหรือใจล่ะ ถ้าใจก็ตั้งแต่บัง (พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน) ออกมาปฏิวัติแล้ว แต่ตัวออกมาสู้ก็ตั้งแต่มีการยิงที่วิภาวดีซอย 3 ตั้งแต่นั้นมาก็สู้เต็มตัวมาตลอด อย่างน้อยได้คุยได้ระบายอะไรกับคุณบ้างมันก็ดีขึ้นนะ”
“ผมยังรอโอกาสเปิดว่าจะมีใครซักคนมาให้เราพูดความจริงว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง เห็นอะไรมาบ้าง ต่อหน้าต่อตาเรา คุณเชื่อไหมว่าผมฝันมา 2 คืนติด สตาร์ทที่เดียวกันและจบลงที่เดียวกันเด๊ะ เหมือนฉายซีดี ทุกคนยืนอยู่ยังไง ใครเดินยังไง ใครล้มยังไง ใครขว้างก้อนหินยังไง เหมือนกันเป๊ะสองคืนมาแล้ว”
“ถ้าผมทำอาชีพนักข่าว ผมจะเก็บภาพพวกนี้ ผมคงรุ่ง แต่บังเอิญผมไม่มีความรู้ตรงนี้ นักข่าวก็พอมีตอนนั้น แต่เขากลัว เข้าไม่ถึงด้านหน้าหรอก”
“ถามว่าผมมาสู้เพื่ออะไร ก็กฎหมายมันสองมาตรฐาน ปากก็พูดปาวๆๆ ไม่สองมาตรฐาน ไม่สองได้ยังไง ก็ยิงซอย 3 เห็นอยู่โต้งๆ จับก็ไม่จับ ตำรวจก็อยู่ ทะเบียนเจ้าของก็มีให้ ยังไม่จับเลย แต่มาแหกปากบอกว่ามาตรฐานเดียวกัน บ้ารึเปล่า วันๆ นึงจบอ๊อกฟอร์ดมา ไม่ทำไร นั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อคิดคำพูดสวยๆ ผมถามว่าอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) มานั่งกับผม แล้วพูดกันภาษาบ้านๆ กับผม ให้ผมถามเลย ผมอยากรู้มันจะมีปัญญาตอบไหม อ๊อกฟอร์ด อ๊อกเหล็กอะไรน่ะ คุณให้สัมภาษณ์ว่ากระสุนกระดาษ กระดาษพ่อกระดาษแม่มึงเหรอเล่นเสียสะบ้ากูทะลุเลย ผมพูดแล้วอารมณ์มันขึ้นทุกที”
“คุณคิดว่ายังไงคุณก็ถูก เอะอะอะไรก็ไม่ได้รับรายงาน แสดงว่าคุณเป็นนายกฯ ที่ไม่ได้ลงพื้นที่เลยนี่หว่า อย่างนี้ลูกน้องสอพลอหน่อย บอกไม่มีอะไร ก็ไม่มีหมด พูดมาได้ว่าเช็คจากโรงพยาบาลทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑลแล้วไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืน เอาสมองส่วนไหนให้สัมภาษณ์ คนอย่างนี้เหรอจะเป็นผู้บริหารประเทศ”
“บอกคนเสื้อแดงสู้เพื่อทักษิณคนเดียว สำหรับผม ถ้าผมบอกว่า ใช่ล่ะ นายกฯ ผ่านมากี่สิบคน มันมีคนที่ยิงตรงเป้าไหม ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลมากี่สมัย เป็นนายกฯ เยอะกว่าคนอื่นด้วยซ้ำไป เคยมีความคิดแบบนี้บ้างไหมล่ะ ที่มันเป็นอย่างนี้เพราะมันอิจฉา เขาดีแต่ปั้นคำพูดสวยหรูทุกอย่าง ถนัดแต่เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น เหตุผลเรื่องการขายหุ้นก็อธิบายหมดแล้ว ก็ยัง 'ขายชาติๆ' พอ 'ขายชาติ' ไม่ได้แล้วก็ 'ไม่จงรักภักดี' พูดได้แค่นี้”
“ผมบอกให้ ถ้าผมเกิดและโตในสมัยทักษิณอยู่ สมองระดับผม รับรองไปได้ไกลกว่าเป็นช่างซ่อมรถ เพราะผมเรียนเก่งแต่เด็ก แต่บ้านจนมาก ถ้ามีเงิน มีโอกาส มันไปได้ไกลกว่านี้ สมัยทักษิณผมก็เห็นว่าอนาคตลูกหลานสดใสมากขึ้น อาจจะได้ไปหนึ่งอำเภอหนึ่งนักเรียนนอกบ้างก็ได้ ฝันไว้ แต่ตอนนี้มันสลายทุกอย่าง คุณไม่ต้องการให้คนจนโงหัวได้ คุณไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของคนจนชาวรากหญ้าหรอก ที่เขารักทักษิณเพราะมันมีเหตุให้รักให้ชอบ เพราะมันเข้าใจคนจน อภิสิทธิ์มาบริหาร คิดได้ยังไง ผู้ประกันตนเงินเดือนไม่เกิน 15,000 รัฐบาลให้ 2,000 แล้วยายมีขายไก่ ตาใสขายแกง แล้วผมซ่อมรถเนี่ย จะมีสิทธิได้กับเขาไหม แค่นี้คุณยังไม่มีสมอง ไม่เอารากหญ้าเลย คุณจะไปให้ทำเ_ย อะไรเงินเดือนตั้ง 15,000 ผมไม่รู้จะพูดยังไงกับรัฐบาลชุดนี้”
“ผมโกรธ โกรธมาตั้งแต่มันปฏิวัติ ตอนนั้นเศรษฐกิจก็ยังดีๆ ไม่ได้แย่นะ กำลังจะเป็นผู้ให้กู้แล้ว คุณลองถามพวกแม่บ้าน มอเตอร์ไซด์ พวกแท็กซี่ พวกอะไรต่อมิอะไร เขารักเขาชอบทักษิณเพราะอะไร ผมเป็นคนที่โกรธแล้วช้างจะตัวเท่ามดเลย แต่ผมไม่ได้จะโกรธอะไรง่ายๆ ปกติจะเฮฮา แต่มันหลายเรื่องหลายราวเหลือเกินที่ผ่านมา”

ศุภสิทธิ์ คนโทสิมพลี
ช่างเหล็กไซท์งานก่อสร้าง อายุ 46 ปี
ข้อมูลเฉพาะ: พื้นเพเป็นคนปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เป็นช่างเหล็กในไซท์งานก่อสร้างแห่งหนึ่ง เริ่มติดตามการเมืองมาตั้งแต่หลังรัฐประหาร และร่วมชุมนุมตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืน โดยไม่ได้เห็นหัวกระสุน แพทย์ระบุว่าเป็นลูกซองสั้น ปัจจุบันแพทย์อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แต่ยังติดต่อญาติมาเซ็นรับรองไม่ได้
“ผมก็มาชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ที่มาชุมนุมสามเหลี่ยมดินแดงเพื่อกดดันรัฐบาลอภิสิทธิ์ให้แก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ให้ยกเลิก 50 แล้วเอา 40 มาใช้ เพราะปัจจุบันมันยังไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ผมก็เลยเข้ามาชุมนุม”
“มาชุมนุมตั้งแต่เดือนมกรามาแล้ว ผมทำงานที่กรุงเทพฯ แกนนำเขาจะประกาศว่าจะชุมนุมที่ไหนบ้าง ผมติดตามตลอด และไปตลอด ที่เขาออกไปต่างจังหวัดผมไม่ได้ติดตาม เพราะต้องทำงานในกรุงเทพฯ พอเขานัดชุมนุมใหญ่เมื่อวันที่ 26 มีนา ผมก็เลยเข้ามาที่สนามหลวงครั้งหนึ่ง แล้วก็ยกขบวนกันเข้าไปที่รอบทำเนียบฯ ผมมาคนเดียว ไซท์งานนั้นชวนเพื่อนก็ไม่มีใครมา ผมทำงานก่อสร้าง เป็นช่างเหล็ก ผมมาทุกวัน เลิกงานก็มา วันนั้นก็กลัวเขามาสลาย และกลัวมือที่สองที่สามเข้ามาทำร้าย แต่ผมก็ยังทำงานอยู่ เพราะถ้าผมไม่ทำก็จะไม่มีรายได้อะไร ที่ผมไปไม่ได้มีค่าจ้างอะไรเลย ค่ารถเมล์ก็ต้องออกเอง เสื้อแดงไม่มีการจ้างใครทั้งนั้น ใครมีอุดมการณ์ที่จะกอบกู้ประชาธิปไตยก็เข้าร่วมได้หมด”
“ที่สามเหลี่ยมดินแดง ก็คือ แกนนำเขาประกาศรับอาสาสมัคร คืนนั้นจำนวน 50 คนเอง ผมก็มา แต่ปรากฏคนมากันร้อยสองร้อยคน ตอนนั้นผมรู้ว่าทหารจะต้องมาสลายจุดนี้แน่นอน ผมตั้งเป้าหมายในความคิดของผมเองว่าเขาจะโจมตีจุดไหนๆ เพราะที่วิภาวดีมีทหาร ถ้าเขาไม่เข้าเส้นพหลโยธิน ก็จะเข้าทางสามเหลี่ยมดินแดงเข้าไปถนนศรีอยุธยา จุดนี้ ผมก็เลยมาเฝ้าสังเกตการณ์ ก็ไม่ได้หลับเลย อ่อนเพลียมาก ไม่ได้นอนตั้งหลายคืน ผมก็เอนกายตรงสนามหญ้าสามเหลี่ยมดินแดง แต่หูผมฟัง คอยฟังรถถัง รถถังจะมาแบบไหนผมรู้ ถนนนี่เสียงจะดังเหมือนฟ้าผ่า ฮึ่ม ฮึ่ม ฮึ่ม มาเลยแหละถ้าเป็นรถถัง ผมก็หูแนบดินไว้ แต่ก็ไม่มีวี่แวว”
“จนถึงตีสี่ แกนนำก็ประกาศว่าขณะนี้เวลาศูนย์สี่นาฬิกา ผมก็ยังได้ยินอยู่นะ ทีนี้ซักครู่นึง ก็มีม้าเร็วที่เป็นมอเตอร์ไซด์เสื้อแดง เขามาแจ้งว่าทหารเข้ามาแล้ว พวกผมก็เลยพากันลุก ตั้งหน้ากระดาน เพื่อจะไปป้องกันทหาร ไม่ให้มาสลายกลุ่มเสื้อแดงที่สามเหลี่ยม พวกผมก็ตั้งหน้ากระดาน มีคนวิ่งเข้าไป ใกล้จะถึงแล้ว ทหารเขายิงปืนไล่พวกผมเลย ขึ้นฟ้าหรือลงดินก็ไม่รู้แหละ แต่มันเข้าใกล้กันมาก แล้วเขาก็เขวี้ยงแก๊สน้ำตาเข้ากลุ่มเสื้อแดง เป็นคล้ายๆ ถังดับเพลิงอันเล็กๆ สีขาวๆ อะลูมิเนียม เต็มถนนไปหมดเลยทีนี้ ผมก็โดน แสบตาเหมือนกัน ดีที่ผมพกน้ำมา แต่บังเอิญบุญ เทพยดาฟ้าสางอะไรไม่รู้ ลมพัดกลับไปทางกลุ่มทหาร ทหารต้องร่นถอยกำลัง”
“พวกผมก็เคลียร์อยู่ในสนาม ตอนนั้นยังไม่เห็นคนเจ็บ เห็นแต่คนกุมหน้า ถอยกันหมดแล้ว แต่ผมไม่ถอย พอผมล้างหน้าแล้วก็สู้ต่อ ยังมีคนสู้ต่อ ก็ตั้งหน้ากระดานสู้ทหารอีก ไม้คนละท่อนเข้าสู้ทหาร ตอนนั้นคิดว่ายังไงเขาต้องเอาเราแน่ เพราะเสียงปืนลั่นแล้ว ถ้าเขาไม่ยิงปืนวันนั้น ก็คงจะพอเจรจากันได้ ด่านทหารกับด่านพวกผม ผมจะอธิบายว่าเรามาชุมนุมเพื่อกดดันเรียกร้องประชาธิปไตยกับรัฐบาล ไม่ได้มีทิฐิอะไรที่จะมาทะเลาะเบาะแว้งอะไรกับทหารเลย ทหารถือปืนมาแบบนี้ มาถึงเหมือนเตรียมการมาฆ่าประชาชน ตอนนั้นผมบันดาลโทสะแล้ว ถือไม้วิ่งเข้าสู้ทหารเลย ยิงแก๊สน้ำตาก็ยิงแล้ว ยิงก็ยิงแล้ว เราดาหน้าเข้าไปใหม่ มีประมาณ 6-7 คน”
“ที่มากันเป็นร้อยอยู่ด้านหลังหมดแล้ว โดนแก๊สน้ำตา ฟูมฟายกันแล้ว แต่พวกผมไม่สนแล้ว ยังไงเขาก็ต้องฆ่าเรา ตายก็ตาย ต้องสู้ ตอนนั้นทหารก็ยังไม่หยุดยิง ยังยิงอยู่อย่างนั้น ยิงไม่หยุดไม่หย่อน วิ่งเข้าสู้ แต่ตอนหลังผมคิดว่าคงสู้ไม่ไหวแล้ว กำลังคนผมน้อย ผมเริ่มใจอ่อน แล้วจะวิ่งหนีทหาร วิ่งเข้าไปหลบในปั๊มน้ำมันเชลล์ ห่างทหารไม่เท่าไหร่ แล้วเขาก็ยิงตามผมมา ผมก็ล้ม ไปไม่ไหว ก็นำพาชีวิตผมกระเสือกกระสนเข้าไปในปั๊มน้ำมัน ไปหลบที่ต้นดอกไม้ต้นหนึ่ง กระเสือกกระสนด้วยขาเดียว มือกุมขาอีกข้างหนึ่ง กระดูกผมแตก โดนยิงตรงหน้าแข้งขวา กระดูกแตกร้าวมาด้านบน ผมก็ไปซุกอยู่ตรงต้นไม้ ทหารก็รุดหน้าไป หางแถวก็ผ่านมา ตรงหางแถวก็จะมีแพทย์ทหารแล้วก็มีหน่วยคุมด้านหลังอีก เขาเห็นก็เข้ามาทำร้ายผม ตีผม เข้าไปตีจนผมคิดว่าจะตายคาที่อยู่ตรงนั้น แต่ซักพักหนึ่งยังฟื้นสติขึ้นมาได้ ตีปุงปังเลย ใช้กระบอง ตีผมเสร็จก็ลากผมออกมาถนนใหญ่ ถอดรองเท้า เอกสารที่ผมคาดเอวอยู่เอาของผมไปหมด กางเกงก็ตัดของผมทิ้ง ทีนี้ก็จับขึ้นเปลทหารยกขึ้นรถ แต่ก็ยังดี เขายังมีจิตใจไม่พาผมหนีไปลพบุรี แต่พามาโรงพยาบาลนี่”
“ก็มาเจรจากับผอ.อยู่พักหนึ่ง ผอ.ก็รับ ยังไงเขาก็คงจะช่วยชีวิตผม รออยู่ชั่วโมงสองชั่วโมงก็ได้ผ่าตัด เสร็จก็เอาผมพักฟื้นจากยาสลบ ผมก็ยังมึนๆ งงๆ มาอยู่บนตึกเกือบเจ็ดโมงแล้วมั้ง สว่างโล่แล้ว เสียงปืนยังไม่หยุดเลย ผมไม่รู้เลย แต่ประเมินว่าคนตายเยอะแน่ ก็เสียงปืนยิงไม่หยุดตั้งสองสามชั่วโมงขนาดนั้น”
“ของผมผ่าตัดแล้วก็เอ็กซเรย์พบกระดูกหักแล้วก็แตกร้าวขึ้นมาด้านบนเป็นเสี่ยง ท่าน ผอ.ก็มาบอกตอนพักฟื้นว่า ไม่เป็นไร โรงพยาบาลจะรักษาจนหาย ไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ผมก็ชื่นใจ แพทย์ผ่าออกมาชันสูตร แล้วมาบอกว่ากระสุนลูกซองสั้น ผมก็ไปโต้กับนายแพทย์อีกครั้งหนึ่งว่า ทหารจะพกปืนลูกซองสั้นเหมือนเอกชนนี่เป็นไปไม่ได้ ทหารต้องติดอาวุธสงครามเท่านั้น ผมไม่เห็นหัวกระสุน ผอ.ท่านเก็บไว้เลย ไม่ให้ผมดูเลย แต่มาบอกว่าเป็นลูกซองสั้น ผมคิดว่าไม่เป็นอาก้า ก็เอ็ม 16 หรือไม่ก็ 9 มม. ของทหารสัญญาบัตรที่จะพกได้ พวกสัญญาบัตรนี่เขาจะมีกุญแจ วิทยุ ปืนสั้น ปืนยาว”
“ตอนผมมานี่เขาเอาใส่รถมาคนเดียวโดดๆ เลย ตอนนั้นไม่กลัวแล้ว ตายเป็นตายแล้วจิตใจผม ผมโส (ไม่คิดหน้าคิดหลัง ไม่มีพะวง สู้ตาย) ตั้งแต่ตอนเอากระบองมาตีผม ตอนนั้นทำใจแล้ว มันมืดไปเลย แต่มันยังไงไม่รู้ มันยังโงกเงกๆ ขึ้นมาได้ ทหารแพทย์ที่มีกากบาทสีแดงด้านซ้ายเอาผมมาส่ง ผมมารอคิวเข้าห้องผ่าตัด เพราะทหารก็โดนเหมือนกัน เขาเอาทหารเข้าก่อน ผมก็ไม่ทราบว่าเขาโดนอะไร กลุ่มฝ่ายขวาก็บุกสู้กับทหารด้วยไม้เหมือนกัน กลุ่มนี้มี 20 กว่าคน”
“อ้อ ตอนอยู่ในปั๊มก็มีเพื่อนเสื้อแดงยืนหลบกระสุนอยู่เหมือนกัน ยืนกันโหงกเหงกๆ อยู่ ผมก็มองเห็นสองคน เลยกวักมือเรียกให้มาช่วย เขาก็อุ้มผมขึ้นจริงๆ สองมือผมก็กอดขาผมไว้ แล้วทหารก็กรูมา ตีผมด้วย ตีคนอุ้มด้วย บอกให้วาง แล้วเพื่อนผมยังร้องว่า ผมจะเอาเพื่อนผมเข้าโรงบาล “วางเดี๋ยวนี้เลย” ทหารก็ขู่ เขาก็วางผมลง แล้วก็ตีผมอีก สุดท้ายก็มารักษาตัวที่นี่ ตอนตกฟากเข้า 13 แล้ว”
“วันนี้วันที่ 27 แพทย์ให้อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ตั้งแต่วันที่ 24 ทีนี้ต้องรอญาติมาเซ็นออกแล้วก็ไปเข้าเฝือกที่บ้าน ต้องรักษาเป็นปีหมอบอก แต่ญาติไม่รู้เรื่องรู้ราว พ่อแม่แก่ๆ อยู่ที่บ้าน ญาติในกรุงเทพฯ ก็มีหลานที่เขาได้รู้ข่าวจากโทรทัศน์ก็มาเยี่ยมวันก่อน แต่ผมไม่ได้ขอเบอร์โทรศัพท์เขาไว้ ปากกาก็ไม่มี สมุดก็ไม่มี กำลังเจ็บ และคิดว่าจะได้ออกจากโรงบาลเอง ก็เลยติดต่อกันไม่ได้ แต่เขาคงพยายามรายงานพ่อแม่พี่น้องผมที่บ้านนอก แต่ผมติดต่อไม่ได้เพราะว่าไม่มีเบอร์ใครไว้”
--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 29/4/2552
015.Thaksin who are you ?: โซโมซา หรือ ซานดินิสตา
Thaksin who are you ?: โซโมซา หรือ ซานดินิสตา จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคม ภาคใต้
หลังจากกระทรวงต่างประเทศของไทยยกเลิกหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ผันตัวเองเป็นผู้ปลุกปั่นประชาชนในประเทศตัวเองให้ลุกขึ้นมาขับไล่รัฐบาลจนนำไปสู่การจลาจลกลางเมือง เปิดแนวรบทุกด้านกับรัฐบาลปัจจุบันในทุกรูปแบบ ก็มีข่าวว่าผู้นำประเทศนิคารากัวได้ออกหนังสือเดินทางในนามทูตพิเศษของนิคารากัวให้แก่อดีตนายกรัฐมนตรีจากประเทศไทย ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรก็คงเป็นที่ประจักษ์ชัดกันอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่านั้นก็คือ ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์และพัฒนาการทางการเมืองของประเทศนิคารากัว
ประเทศนิคารากัว ชื่อประเทศมาจากชื่อของหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงที่ชื่อ “นิคาริโอ”(Nicario) ได้ชื่อว่าเป็นประเทศต้นแบบของการปฏิวัติประชาชนในประเทศด้อยพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในอเมริกากลาง ในการโค่นล้มอำนาจเผด็จการอย่างน้อยใน 2 ประการ คือ
1. แบบอย่างหรือวิธีการในการต่อสู้เพื่อล้มอำนาจเผด็จการ
2. แนวทางนโยบายในการสร้างสรรค์สังคมใหม่หลังการปฏิวัติ
นิคารากัว เป็นประเทศเล็กๆ 1 ใน 7 ของประเทศในภูมิภาคอเมริกา ซึ่งประกอบด้วย กัวเตมาลา ฮอนดูรัส เอลซัลวาดอร์ คอสตาริกา ปานามา เบไลซ์(บริติช ฮอนดูรัส) และนิคารากัว ตั้งอยู่บริเวณคอคอดของอเมริกากลางพอดี ทิศเหนือจอประเทศฮอนดูรัส ทิศใต้จดประเทศคอสตาริกา ทิศตะวันออกจดทะเลแคริบเบียน ทิศตะวันตกจดมหาสมุทรแปซิฟิก มีเนื้อที่ประมาณ 57,143 ตารางไมล์(ราว 1 ใน 4 ของประเทศไทย) เมืองหลวงชื่อมานากัว ปัจจุบันมีประชากรประมาณ 5,487,000 คน(พ.ศ.2548) เป็นอินเดียนแดงและเมสติโซ(ลูกผสมอินเดียนแดงกับสเปน) ประมาณ 80 % และเป็นผิวดำ ประมาณ 7 % เป็นชนชั้นต่ำในสังคม อ่านออกเขียนได้แค่ 30 % เท่านั้น อีกส่วนหนึ่ง ได้แก่ ชาวสเปนที่สืบเชื้อสายจากขุนนางสเปนยุคศักดินา ชาวยุโรปและอเมริการวมกันประมาณ 10 % เป็นชนชั้นสูงในระดับต่างๆกัน โดยเฉพาะตระกูลเจ้าที่ดินสเปนไม่กี่ตระกูล เป็นผู้ผูกขาดตำแหน่งชนชั้นนำของประเทศ โดยผลัดเปลี่ยนขึ้นมาเป็นผู้นำกันเป็นระยะ ตั้งแต่ได้รับเอกราชจนถึงการปฏิวัติในปี ค.ศ.1979 (พ.ศ.2522)
ความเหมือนกับประเทศไทยของนิคารากัวคือมีภูมิอากาศแบบร้อนชื้น มีฝนตกชุก มีทะเลสาบ 2 แห่ง คือทะเลสาบนิคารากัวและทะเลสาบมานากัว สินค้าออกเป็นผลิตผลทางการเกษตร ได้แก่ กาแฟ ข้าวโพด น้ำตาลและผลผลิตทางประมง การเมืองและเศรษฐกิจถูกผูกขาดจากคนไม่กี่ตระกูล ได้แก่ ตระกูลโซโมซาและนายทุนจากอเมริกาซึ่งค้ำจุนระบบการโซโมซา
ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์และการเมืองของนิคารากัว เดิมเป็นที่อยู่ของอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ สมัยอาณาจักรแอชแตคและอาณาจักรอินคา เป็นอาณาจักรอินเดียนแดงโบราณที่พัฒนาจนเป็นสังคมเมือง มีการเกษตรที่เป็นหลักแหล่งและมีศิลปะวิทยาการพอสมควร รุ่งเรืองอยู่ในยุคที่ชาวสเปนเข้ามาในทวีปอเมริกา อาณาจักรทั้งสองต้อนรับชาวสเปนเป็นอย่างดี แต่เนื่องจากในท้องพระคลังของกษัตริย์แอซแตคและอินคามีทองคำมาก จึงถูกสเปนปล้นและทำลายอย่างเหี้ยมโหดโดยการนำของคอร์เตซ(Cortez)และปีซาโร(Pizaro) วีรบุรุษผู้พิชิตตะวันตกของชาวสเปน
สเปนยึดครองนิคารากัวตั้งแต่ ค.ศ.1522 (พ.ศ.2065) โดยการปราบปรามสังหารชาวอินเดียนแดงที่ต่อต้านอย่างเหี้ยมโหด นำระบบการผลิตแบบไร่นาขนาดใหญ่(Plantation) เข้ามาใช้ โดยมีชาวสเปนเป็นเจ้าของที่ดินและเกณฑ์แรงงานชาวพื้นเมือง รวมทั้งนิโกรที่ซื้อมาทำงานในไร่ บังคับชาวพื้นเมืองให้เข้ารีต นับถือพระเจ้าองค์เดียวกับชาวสเปน สเปนครองนิคารากัวเป็นเวลายาวนานนับสามร้อยปีด้วยความขมขื่นยากแค้นของชาวนิคารากัวและชาวลาตินอเมริกา
นิคารากัวร่วมก่อตั้งสหพันธรัฐแห่งอเมริกากลาง(Confederal of central America) จนเกิดความแตกแยกและสงครามระหว่างรัฐ จึงแยกตัวออกมาประกาศเอกราชในปี ค.ศ.1838 (พ.ศ.2381) การเมืองนิคารากัวเต็มไปด้วยความปั่นป่วน เกิดสงครามกลางเมืองสลับกับการสู้รบกับประเทศเพื่อนบ้านเกือบตลอดเวลา
สงครามกลางเมืองเกิดจากความขัดแย้งระหว่าง 2 กลุ่มการเมืองใหญ่คือกลุ่มเสรีนิยม ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเลออง(Leon) และกลุ่มอนุรักษ์นิยม ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองกรานาดา(Granada)
เกือบตลอด 50 ปีแรกของการมีเอกราช ประชาชนต้องอยู่ท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจและสงครามระหว่างเมืองทั้งสอง
สหรัฐอเมริกาเข้าครอบครองนิคารากัวจนกระทั่งปี ค.ศ.1933(พ.ศ.2476) จึงถอนกำลังออกไป หลังจากก่อตั้งกองกำลังรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ(National Guard) มีอานัสตาริซิโอ โซโมซา กราเซีย(Anastasio Somoza Gracia) เป็นผู้บัญชาการทหาร ระบบนี้มีชาวนิคารากัวชื่อออกัสโต เซซาร์ ซานดิเอโก(Augusto Cecar Sandino) จัดตั้งกองกำลังรักชาตินิคารากัว ต่อต้านการครอบงำของอเมริกา ต่อมาเขาถูกกองทหารรักษาความปลอดภัยแห่งชาติจับประหารชีวิตในปี ค.ศ.1934(พ.ศ.2477) ขณะมีอายุ 41 ปี แต่เขากลายเป็นวีรบุรุษแห่งชาตินิคารากัวในเวลาต่อมา
ปี ค.ศ.1936(พ.ศ.2479) นายพลอานัว ตาซิโอ โซโมซา กราเซีย ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความปลอดภัยแห่งชาติก่อการรัฐประหาร สถาปนาตนเองขึ้นเป็นประธานาธิบดี เป็นการเริ่มต้นยุคเผด็จการของตระกูลโซโมซา ล้มเลิกการเลือกตั้ง ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ปราบปรามนักการเมืองและผู้ต่อต้านนโยบายเผด็จการอย่างเหี้ยมโหด
ปี ค.ศ.1956(พ.ศ.2499) ผู้รักชาติชาวนิคารากัวบุกสังหารนายพลโซโมซา แต่รัฐสภายังเลือกหลุยส์ โซโมซาผู้พี่เป็นประธานาธิบดีและอานัสตาซิโอ ผู้น้องเป็นผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ
ปี ค.ศ.1959(พ.ศ.2502) เกิดการต่อต้านอำนาจของโซโมซาโดยสหภาพแรงงานต่างๆพากันนัดหยุดงาน ต่อมาสมาคมธุรกิจต่างๆเข้าร่วมด้วยเรียกร้องให้หลุยส์ โซโมซา ลาออก แต่กลุ่มผู้ต่อต้านถูกปราบปราม
หลุยส์ โซโมซา หลุดจากอำนาจปี ค.ศ.1963(พ.ศ.2503) เพราะแพ้เลือกตั้งให้แก่เรเน สชิค กูติเรซ(Rene S-chick Gutirez) นโยบายเผด็จการต่างๆถูกยกเลิก ปี ค.ศ.1966(พ.ศ.2509) สชิคถึงแก่กรรม ลอเรนโซ เกอเรอโร ขึ้นเป็นประธานาธิบดี ปี ค.ศ.1967(พ.ศ.2510) อานาสตาซิโอ โซโมซา ก่อการรัฐประหาร นักศึกษา ประชาชนต่อต้านแต่ถูกปราบปรามอย่างเหี้ยมโหด มีผู้เสียชีวิตมากมาย โซโมซาประกาศล้มเลิกรัฐธรรมนูญ เลิกการเลือกตั้ง ประกาศกฎอัยการศึก ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นรองรับอำนาจของตน ให้อำนาจประธานาธิบดีอย่างล้นฟ้า จนมีคำกล่าวว่า
“ทุกสิ่งทุกอย่างในนิคารากัว นอกจากอากาศแล้วเป็นของโซโมซาทั้งสิ้น”
ขบวนการซานดินิสต้า(Frente Sandinista de Liberacian National/FSLN) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1962(พ.ศ.2505) ของผู้รักชาติที่ต่อต้านโซโมซาด้วยกำลังอาวุธ ผู้ได้รับเลือกให้เป็นผู้แทนคนแรกคือคาร์ลอส ฟอนเซคา อมาเดอร์(Carlos Fonseca Amedor) ได้รับการฝึกฝนจากคิวบา เอาชื่อ ออกัสโต ซีซาร์ ซานดิโน มาเป็นชื่อขบวนการ จุดมุ่งหมายเพื่อโค่นระบบเผด็จการตระกูลโซโมซา ขจัดอิทธิพลการครอบงำของเอมริกาและสร้างเอกราชประชาธิปไตย ยุทธวิธียุคแรกๆใช้สงครามกองโจรแบบการปฏิวัติคิวบา ต่อมามี 3 แนวทางคือ
1. แนวทางชนบท เน้นการต่อสู้ในชนบทโดยการปลุกระดมประชาชนขึ้นทำ
สงครามกองโจรในรูปแบบเดิม
2. แนวทางกรรมาชีพ มุ่งปลุกระดมและจัดตั้งกรรมาชีพในเมืองและคนยากจนในสลัมเป็น
กำลังสำคัญ
3. แนวทางแนวร่วมทุกระดับชั้น คือการเน้นการสร้างแนวร่วมอันกว้างใหญ่ เพื่อโดดเดี่ยวเผด็จการ โซโมซาและใช้ปฏิบัติการทางทหารจุดชนวนสงคราม
เดือน ก.ค.1979(พ.ศ.2512) โซโมซา ลาออกและลี้ภัยไปอเมริกา ซานดินิสต้าจัดตั้งรัฐบาลและยกกำลังเข้ากรุงมานากัว วันที่ 19 ก.ค.1979 ชัยชนะของขบวนการซานดินิสต้าเกิดจาก
1. ได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากประชาชน
2. การวางยุทธวิธีที่เฉียบแหลม
3. ประสบความสำเร็จในการสร้างแนวร่วมภายในประเทศอย่างกว้างขวางสามารถดึงมวลชนทุกชั้น
4. ดำเนินนโยบายโดดเดี่ยวโซโมซาทางสากลในประเด็นละเมิดสิทธิมนุษยชน
ในประเทศไทย อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นกล่องดวงใจของคนเสื้อแดง แต่ในนิคารากัวไม่
มั่นใจว่าท่านเป็นแนวร่วมของกลุ่มไหน ระหว่างตระกูลโซโมซากับขบวนการซานดินิสต้า
โดย : ประชาไท วันที่ : 29/4/2552
Resource:http://www.prachatai.com/05web/th/home/16652
เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคม ภาคใต้
หลังจากกระทรวงต่างประเทศของไทยยกเลิกหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ผันตัวเองเป็นผู้ปลุกปั่นประชาชนในประเทศตัวเองให้ลุกขึ้นมาขับไล่รัฐบาลจนนำไปสู่การจลาจลกลางเมือง เปิดแนวรบทุกด้านกับรัฐบาลปัจจุบันในทุกรูปแบบ ก็มีข่าวว่าผู้นำประเทศนิคารากัวได้ออกหนังสือเดินทางในนามทูตพิเศษของนิคารากัวให้แก่อดีตนายกรัฐมนตรีจากประเทศไทย ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรก็คงเป็นที่ประจักษ์ชัดกันอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่านั้นก็คือ ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์และพัฒนาการทางการเมืองของประเทศนิคารากัว
ประเทศนิคารากัว ชื่อประเทศมาจากชื่อของหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงที่ชื่อ “นิคาริโอ”(Nicario) ได้ชื่อว่าเป็นประเทศต้นแบบของการปฏิวัติประชาชนในประเทศด้อยพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในอเมริกากลาง ในการโค่นล้มอำนาจเผด็จการอย่างน้อยใน 2 ประการ คือ
1. แบบอย่างหรือวิธีการในการต่อสู้เพื่อล้มอำนาจเผด็จการ
2. แนวทางนโยบายในการสร้างสรรค์สังคมใหม่หลังการปฏิวัติ
นิคารากัว เป็นประเทศเล็กๆ 1 ใน 7 ของประเทศในภูมิภาคอเมริกา ซึ่งประกอบด้วย กัวเตมาลา ฮอนดูรัส เอลซัลวาดอร์ คอสตาริกา ปานามา เบไลซ์(บริติช ฮอนดูรัส) และนิคารากัว ตั้งอยู่บริเวณคอคอดของอเมริกากลางพอดี ทิศเหนือจอประเทศฮอนดูรัส ทิศใต้จดประเทศคอสตาริกา ทิศตะวันออกจดทะเลแคริบเบียน ทิศตะวันตกจดมหาสมุทรแปซิฟิก มีเนื้อที่ประมาณ 57,143 ตารางไมล์(ราว 1 ใน 4 ของประเทศไทย) เมืองหลวงชื่อมานากัว ปัจจุบันมีประชากรประมาณ 5,487,000 คน(พ.ศ.2548) เป็นอินเดียนแดงและเมสติโซ(ลูกผสมอินเดียนแดงกับสเปน) ประมาณ 80 % และเป็นผิวดำ ประมาณ 7 % เป็นชนชั้นต่ำในสังคม อ่านออกเขียนได้แค่ 30 % เท่านั้น อีกส่วนหนึ่ง ได้แก่ ชาวสเปนที่สืบเชื้อสายจากขุนนางสเปนยุคศักดินา ชาวยุโรปและอเมริการวมกันประมาณ 10 % เป็นชนชั้นสูงในระดับต่างๆกัน โดยเฉพาะตระกูลเจ้าที่ดินสเปนไม่กี่ตระกูล เป็นผู้ผูกขาดตำแหน่งชนชั้นนำของประเทศ โดยผลัดเปลี่ยนขึ้นมาเป็นผู้นำกันเป็นระยะ ตั้งแต่ได้รับเอกราชจนถึงการปฏิวัติในปี ค.ศ.1979 (พ.ศ.2522)
ความเหมือนกับประเทศไทยของนิคารากัวคือมีภูมิอากาศแบบร้อนชื้น มีฝนตกชุก มีทะเลสาบ 2 แห่ง คือทะเลสาบนิคารากัวและทะเลสาบมานากัว สินค้าออกเป็นผลิตผลทางการเกษตร ได้แก่ กาแฟ ข้าวโพด น้ำตาลและผลผลิตทางประมง การเมืองและเศรษฐกิจถูกผูกขาดจากคนไม่กี่ตระกูล ได้แก่ ตระกูลโซโมซาและนายทุนจากอเมริกาซึ่งค้ำจุนระบบการโซโมซา
ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์และการเมืองของนิคารากัว เดิมเป็นที่อยู่ของอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ สมัยอาณาจักรแอชแตคและอาณาจักรอินคา เป็นอาณาจักรอินเดียนแดงโบราณที่พัฒนาจนเป็นสังคมเมือง มีการเกษตรที่เป็นหลักแหล่งและมีศิลปะวิทยาการพอสมควร รุ่งเรืองอยู่ในยุคที่ชาวสเปนเข้ามาในทวีปอเมริกา อาณาจักรทั้งสองต้อนรับชาวสเปนเป็นอย่างดี แต่เนื่องจากในท้องพระคลังของกษัตริย์แอซแตคและอินคามีทองคำมาก จึงถูกสเปนปล้นและทำลายอย่างเหี้ยมโหดโดยการนำของคอร์เตซ(Cortez)และปีซาโร(Pizaro) วีรบุรุษผู้พิชิตตะวันตกของชาวสเปน
สเปนยึดครองนิคารากัวตั้งแต่ ค.ศ.1522 (พ.ศ.2065) โดยการปราบปรามสังหารชาวอินเดียนแดงที่ต่อต้านอย่างเหี้ยมโหด นำระบบการผลิตแบบไร่นาขนาดใหญ่(Plantation) เข้ามาใช้ โดยมีชาวสเปนเป็นเจ้าของที่ดินและเกณฑ์แรงงานชาวพื้นเมือง รวมทั้งนิโกรที่ซื้อมาทำงานในไร่ บังคับชาวพื้นเมืองให้เข้ารีต นับถือพระเจ้าองค์เดียวกับชาวสเปน สเปนครองนิคารากัวเป็นเวลายาวนานนับสามร้อยปีด้วยความขมขื่นยากแค้นของชาวนิคารากัวและชาวลาตินอเมริกา
นิคารากัวร่วมก่อตั้งสหพันธรัฐแห่งอเมริกากลาง(Confederal of central America) จนเกิดความแตกแยกและสงครามระหว่างรัฐ จึงแยกตัวออกมาประกาศเอกราชในปี ค.ศ.1838 (พ.ศ.2381) การเมืองนิคารากัวเต็มไปด้วยความปั่นป่วน เกิดสงครามกลางเมืองสลับกับการสู้รบกับประเทศเพื่อนบ้านเกือบตลอดเวลา
สงครามกลางเมืองเกิดจากความขัดแย้งระหว่าง 2 กลุ่มการเมืองใหญ่คือกลุ่มเสรีนิยม ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเลออง(Leon) และกลุ่มอนุรักษ์นิยม ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองกรานาดา(Granada)
เกือบตลอด 50 ปีแรกของการมีเอกราช ประชาชนต้องอยู่ท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจและสงครามระหว่างเมืองทั้งสอง
สหรัฐอเมริกาเข้าครอบครองนิคารากัวจนกระทั่งปี ค.ศ.1933(พ.ศ.2476) จึงถอนกำลังออกไป หลังจากก่อตั้งกองกำลังรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ(National Guard) มีอานัสตาริซิโอ โซโมซา กราเซีย(Anastasio Somoza Gracia) เป็นผู้บัญชาการทหาร ระบบนี้มีชาวนิคารากัวชื่อออกัสโต เซซาร์ ซานดิเอโก(Augusto Cecar Sandino) จัดตั้งกองกำลังรักชาตินิคารากัว ต่อต้านการครอบงำของอเมริกา ต่อมาเขาถูกกองทหารรักษาความปลอดภัยแห่งชาติจับประหารชีวิตในปี ค.ศ.1934(พ.ศ.2477) ขณะมีอายุ 41 ปี แต่เขากลายเป็นวีรบุรุษแห่งชาตินิคารากัวในเวลาต่อมา
ปี ค.ศ.1936(พ.ศ.2479) นายพลอานัว ตาซิโอ โซโมซา กราเซีย ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความปลอดภัยแห่งชาติก่อการรัฐประหาร สถาปนาตนเองขึ้นเป็นประธานาธิบดี เป็นการเริ่มต้นยุคเผด็จการของตระกูลโซโมซา ล้มเลิกการเลือกตั้ง ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ปราบปรามนักการเมืองและผู้ต่อต้านนโยบายเผด็จการอย่างเหี้ยมโหด
ปี ค.ศ.1956(พ.ศ.2499) ผู้รักชาติชาวนิคารากัวบุกสังหารนายพลโซโมซา แต่รัฐสภายังเลือกหลุยส์ โซโมซาผู้พี่เป็นประธานาธิบดีและอานัสตาซิโอ ผู้น้องเป็นผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ
ปี ค.ศ.1959(พ.ศ.2502) เกิดการต่อต้านอำนาจของโซโมซาโดยสหภาพแรงงานต่างๆพากันนัดหยุดงาน ต่อมาสมาคมธุรกิจต่างๆเข้าร่วมด้วยเรียกร้องให้หลุยส์ โซโมซา ลาออก แต่กลุ่มผู้ต่อต้านถูกปราบปราม
หลุยส์ โซโมซา หลุดจากอำนาจปี ค.ศ.1963(พ.ศ.2503) เพราะแพ้เลือกตั้งให้แก่เรเน สชิค กูติเรซ(Rene S-chick Gutirez) นโยบายเผด็จการต่างๆถูกยกเลิก ปี ค.ศ.1966(พ.ศ.2509) สชิคถึงแก่กรรม ลอเรนโซ เกอเรอโร ขึ้นเป็นประธานาธิบดี ปี ค.ศ.1967(พ.ศ.2510) อานาสตาซิโอ โซโมซา ก่อการรัฐประหาร นักศึกษา ประชาชนต่อต้านแต่ถูกปราบปรามอย่างเหี้ยมโหด มีผู้เสียชีวิตมากมาย โซโมซาประกาศล้มเลิกรัฐธรรมนูญ เลิกการเลือกตั้ง ประกาศกฎอัยการศึก ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นรองรับอำนาจของตน ให้อำนาจประธานาธิบดีอย่างล้นฟ้า จนมีคำกล่าวว่า
“ทุกสิ่งทุกอย่างในนิคารากัว นอกจากอากาศแล้วเป็นของโซโมซาทั้งสิ้น”
ขบวนการซานดินิสต้า(Frente Sandinista de Liberacian National/FSLN) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1962(พ.ศ.2505) ของผู้รักชาติที่ต่อต้านโซโมซาด้วยกำลังอาวุธ ผู้ได้รับเลือกให้เป็นผู้แทนคนแรกคือคาร์ลอส ฟอนเซคา อมาเดอร์(Carlos Fonseca Amedor) ได้รับการฝึกฝนจากคิวบา เอาชื่อ ออกัสโต ซีซาร์ ซานดิโน มาเป็นชื่อขบวนการ จุดมุ่งหมายเพื่อโค่นระบบเผด็จการตระกูลโซโมซา ขจัดอิทธิพลการครอบงำของเอมริกาและสร้างเอกราชประชาธิปไตย ยุทธวิธียุคแรกๆใช้สงครามกองโจรแบบการปฏิวัติคิวบา ต่อมามี 3 แนวทางคือ
1. แนวทางชนบท เน้นการต่อสู้ในชนบทโดยการปลุกระดมประชาชนขึ้นทำ
สงครามกองโจรในรูปแบบเดิม
2. แนวทางกรรมาชีพ มุ่งปลุกระดมและจัดตั้งกรรมาชีพในเมืองและคนยากจนในสลัมเป็น
กำลังสำคัญ
3. แนวทางแนวร่วมทุกระดับชั้น คือการเน้นการสร้างแนวร่วมอันกว้างใหญ่ เพื่อโดดเดี่ยวเผด็จการ โซโมซาและใช้ปฏิบัติการทางทหารจุดชนวนสงคราม
เดือน ก.ค.1979(พ.ศ.2512) โซโมซา ลาออกและลี้ภัยไปอเมริกา ซานดินิสต้าจัดตั้งรัฐบาลและยกกำลังเข้ากรุงมานากัว วันที่ 19 ก.ค.1979 ชัยชนะของขบวนการซานดินิสต้าเกิดจาก
1. ได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากประชาชน
2. การวางยุทธวิธีที่เฉียบแหลม
3. ประสบความสำเร็จในการสร้างแนวร่วมภายในประเทศอย่างกว้างขวางสามารถดึงมวลชนทุกชั้น
4. ดำเนินนโยบายโดดเดี่ยวโซโมซาทางสากลในประเด็นละเมิดสิทธิมนุษยชน
ในประเทศไทย อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นกล่องดวงใจของคนเสื้อแดง แต่ในนิคารากัวไม่
มั่นใจว่าท่านเป็นแนวร่วมของกลุ่มไหน ระหว่างตระกูลโซโมซากับขบวนการซานดินิสต้า
โดย : ประชาไท วันที่ : 29/4/2552
Resource:http://www.prachatai.com/05web/th/home/16652
014.สื่อ นักวิชาการ ฝ่ายก้าวหน้า ขัดขวางขบวนการประชาธิปไตย?

สื่อ นักวิชาการ ฝ่ายก้าวหน้า ขัดขวางขบวนการประชาธิปไตย?
ศานติ เพียงใจ
ความพยายามที่จะดึงเอาความขัดแย้งทางการเมืองเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคาดหวังว่าสถาบันการเมืองแห่งนี้จะลดระดับความขัดแย้ง แสวงหาทางออก แต่เอาเข้าจริงก็เป็นแค่ฉายภาพซ้ำและตอกย้ำความคิดความเชื่อเดิมของฝ่ายตน
ยิ่งกว่านั้นยังได้เปิดเผยการดำรงอยู่ของอีกขั้วในมุมมืด นั่นก็คือกลุ่มไทยน้ำเงิน ที่ยกตนอย่างเลิศลอยว่าเป็นผู้จงรักภักดี รักชาติบ้านเมืองอย่างยิ่งยวด และพร้อมจะเป็นกองหน้าพิทักษ์สถาบันสูงสุด
ไม่แปลกอะไรเลยหากชาวเหลืองและแดงจะระแวงว่ากลุ่มใหม่จะเป็นตาอยู่ของที่คอยจ้องเขมือบชิ้นปลามัน นอกจากนี้ยังได้สะท้อนอีกว่ามีตัวแปรที่เพิ่มขึ้นหลากหลายยิ่งขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งใหญ่ที่ดำรงอยู่
ความจริงแล้วไม่เฉพาะสถาบันรัฐสภาอันเป็นรูปองค์กรอธิปไตยแห่งรัฐ ที่สูญเสียบทบาทหน้าที่ตนในการจัดการวิกฤติการเมือง หากทว่าทุกๆ คน ทุกๆ องค์กรทั้งหลายบรรดามี ต่างถูกกระแสมหึมานี้ดึงเข้าสู่แกนการต่อสู้ แปรสภาพเป็นอาวุธหลากชนิดเข้าห้ำหั่นศัตรูคู่อาฆาตอย่างเอาเป็นเอาตาย
หนึ่งในนั้นก็คือยุทธศาสตร์ตุลาการภิวัฒน์ ที่เคยหวังกันอย่างสูงว่าจะดาบอาญาสิทธิ์ปิดบัญชีได้ ต่อมาด้วยความรู้เท่าทันของคู่ปฏิปักษ์ นอกจากจะไม่สามารถเอาชนะกันอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ยังส่งผลให้กระบวนการยุติธรรมทั้งระบบเกิดวิกฤติศรัทธา ด้วยข้อหาหนักว่าเลือกปฏิบัติ ให้ความยุติธรรมเฉพาะฝ่าย ทำลายระบบนิติรัฐนิติธรรมอย่างมีนัยสำคัญ ไม่แปลกอะไรเลยหากหลายๆ คนจะเชื่อโดยสนิทใจว่า ระบบศาลบ้านเราได้กลายเป็นศาลเตี้ยไปแล้วหรืออย่างไร มีภารกิจเฉพาะอย่างตามใบสั่งสำคัญของผู้มีอำนาจหรือไม่
และที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านี้ก็คือสถาบันสื่อสารมวลชนและนักวิชาการซึ่งกำลังค้อมตัวเองให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และถูกเพ่งเล็งอย่างหนักในขณะนี้
สื่อมวลชนรวมถึงเหล่านักวิชาการได้ชื่อว่าเป็นฐานันดรพิเศษ ได้รับความเชื่อถือว่ามีความก้าวหน้าสูงกว่าภาคส่วนอื่นๆ ของสังคม กำลังถูกดึงเข้าร่วมวงไพบูลย์ในเกมแห่งอำนาจ ประกาศตนเป็นมือตบขนาดมหึมาไล่ต้อนคู่ต่อสู้สำคัญ ผลิตวาทกรรมรายสะดวก อาทิ ระบอบทักษิณ ทุนสามานย์ ตุลาการภิวัฒน์ และประชาภิวัฒน์ ฯลฯ
แต่ที่แน่ๆ ดูเหมือนจะมีเป้าหมายไล่ล่าครั้งนี้เฉพาะแค่ปุถุชนคนหนึ่งนามทักษิณ มองข้ามผลิตผลจากโครงสร้างสังคมเดิมที่มีคนอย่างทักษิณอีกมากมาย ไม่เว้นฝ่ายที่ลงขันร่วมแรงโค่นอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็มีร่องรอยความไม่ชอบมาพากลอีกหลายอย่าง เป็นเรื่องเป็นราวที่โต้กันไม่มีจบเพราะเป็นการปะทะกันระดับต่ำ ชี้ขาดกันไม่ได้ว่าใครดีกว่าใคร ใครเลวก็กว่าใคร
ลืมพิจารณาสังคมทั้งระบบอย่างเป็นเหตุเป็นผล โดยเฉพาะการพิจารณาทฤษฎีการเมือง หรือความเห็นร่วมต่อการเมืองบ้านเราที่ดำรงอยู่ ว่าเป็นการเมืองของคนส่วนน้อยหรือคนส่วนใหญ่ ชี้ขาดกันได้หรือยังว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยหรือเผด็จการ?? หรือเพียงมองกันต่างมุมแล้วสร้างวาทกรรมแปลกใหม่รายวันให้งงงวยอยู่ร่ำไป
ปรากฏการณ์ที่ฝ่ายก้าวหน้าละเลยที่จะสืบค้นภวการณ์ ไม่ยอมพิจารณาตนด้วยมีสติ หรือยอมรับฟังการวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องสะเทือนถึงฐานะทางสังคมของตน เกรงตนจะตกจากหอคอยงาช้าง และหากพวกเขาเหล่านั้นใช้ฐานะทางสังคมเป็นเครื่องมือกำจัดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะฝ่ายประชาชน การเลือกที่จะสะท้อนเฉพาะสียงของชนชั้นกลางในเมือง และเชื่ออย่างไม่มีการตรวจสอบประชามติในทางลึก ว่าประชาชนส่วนใหญ่มีความปรารถนาต่อบ้านเมืองเช่นไร ใช้ความเห็นตนเข้าตัดสินชี้ขาดสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งโดยฉับพลันและไม่แก้ไข เท่ากับว่าได้ละเมิดจรรยาบรรณวิชาชีพตนอย่างร้ายแรง
ล่าสุดก็คือเหตุการณ์สงกรานต์เลือด ที่กำลังตกเป็นประเด็นวิวาทะอย่างกว้างขวาง กระทั่งลุกลามไปถึงประเด็นแมลงวันตอมแมลงวันหรือสื่อตอมสื่อ ประชาชนหลายคนเบื่อหน่าย ปิดกั้นตัวเองจากสื่อ หรือแม้กระทั่งการล้อมกรอบรุมสอบถามเค้นเอาเรื่องกับนักข่าวภาคสนามถึงความชอบธรรมและเป็นกลาง
การปิดหูปิดตาประชาชนของสื่อกระแสหลักโดยเฉพาะฟรีทีวี การปิดประตูตีแมวคนเสื้อแดงของรัฐบาลอภิสิทธิ์ การใช้ทางลัดขอใบอนุญาตจากเฉพาะชนชั้นกลางในเมือง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ทหารพร้อมอาวุธสงครามออกมาสลายการชุมนุม พร้อมกับการตราหน้าผู้ร่วมชุมนุมว่าเป็นศัตรูอันตรายต่อประเทศชาติ ซึ่งหลุดจากปากนายกรัฐมนตรีอย่างชัดถ้อยชัดคำ (ต่อมาภายหลังกลืนน้ำลายว่าเป็นชัยชนะร่วมกันของสังคม) การมองข้ามเจตนารมณ์คนเสื้อแดงหลายแสนที่แสดงออกอย่างอดทนครั้งแล้วครั้งเล่า ว่ามีเจตนารมณ์ที่งดงามต่อชาติบ้านเมืองไม่ต่างกัน สิ่งเหล่านี้ล้วนกลายเป็นประเด็นให้ถกเถียงกันหนาหูขึ้นทุกที
ฐานันดรที่ ๔ นักวิชาการทั้งหลายซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีทัศนวิสัยที่ก้าวหน้า
ได้สำรวจตนอย่างลึกซึ้งเพียงพอหรือไม่ ว่าตนได้ขัดขวางขบวนการประชาธิปไตยที่ลึกๆ ตนเองก็ปรารถนา หรือหวังจะใช้แค่ศักยภาพตนเข้ายุติความขัดแย้งแบบง่ายทำนองซุกขยะเข้าสู่ใต้พรม และตนเองก็ทำหน้าที่ต่อไปข้ามวัน ข้ามปี ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น รอระเบิดเวลาที่ส่อไปในทางสงครามกลางเมืองเช่นทุกวันนี้
สถานการณ์ที่นโยบายของรัฐเป็นแค่ลมปากเพ้อเจ้อ รัฐสภาเป็นแหล่งรวมของชนชั้นมีอันจะกินและอ้างเก่งเฉพาะตัวบทกฎหมาย สถาบันศาลที่แปดเปื้อนคำนินทา ผู้คนโต้เถียงบ้างก็หมางใจกัน บ้างก็รวมกลุ่มกันพร้อมแสดงพลังปะทะฝ่ายตรงข้าม ทุกองคาพยพสั่นไหวตื่นตัว บ้างดึง บ้างดัน บ้างสู้ บ้างถอย บ้างแสวงหามิตร บ้างทำลาย และอีกหลายรูปการที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า
ขอเรียนเชิญท่านทั้งหลายลงไปสัมผัสรับรู้สิ่งที่มวลมหาชนเป็นอยู่ พูดคุยหรือแสดงออกว่าเป็นอย่างไร การใส่เสื้อกั๊กขลุกแต่ในห้องสมุดอาจจะหลุดกระแสสังคมไปไกลแล้วก็ได้ สื่อมวลชนที่ทำงานแบบงานประจำทำเนียบรัฐบาล รัฐสภาหรือหน่วยงานใดๆ ต้องพิจารณาตนหนักกว่า เสนอข่าวได้ครบถ้วนรอบด้านหรือยัง ท่านหัวหน้าข่าว ผู้บริหารสำนักข่าว นานมาแล้วท่านอาจห่างเหินกับสถานการณ์จริงของบ้านเมือง นอกจากแหล่งข่าวระดับสูงที่คุ้นเคยกันที่ป้อนข้อมูลให้ท่าน คนอื่นๆ ละ ความหลากหลายละ มีช่องทางสักเล็กน้อยไหมในสื่อของท่าน
ยังมีผู้นำมวลชนจากอาชีพต่างๆ อีกมากมายซึ่งทำงานภาคสนามปฏิบัติส่วนรวมอย่างต่อเนื่อง คนเหล่านี้อาจเสนอความเห็นต่อบ้านเมืองได้อย่างแหลมคมเป็นประโยชน์ สมควรนำเสนอไม่แพ้น้ำคำคนที่เราคุ้นหน้าเช่นกัน
หวังว่าเราจะได้เห็นประชามติประชาธิปไตยจะไม่ถูกละเลยหรือขัดขวางอีกต่อไปทั้งโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
ระบอบการเมืองที่ได้ชื่อว่ามีคุณธรรมสูงกว่าการเมืองชนิดอื่นจะได้เบ่งบานในสังคมไทยเสียที
โดย : ประชาไท วันที่ : 29/4/2552
Resource:http://www.prachatai.com/05web/th/home/16655
วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552
013.ประเด็นจริยธรรมสื่อ
ไทยโพสต์แทบลอยด์: สัมภาษณ์สุกัญญา สุดบรรทัด ประเด็นจริยธรรมสื่อ
ที่มา: เผยแพร่ครั้งแรกใน ไทยโพสต์แทบลอยด์, 26 เม.ย. 2552
"บางครั้งสื่ออาจจะเลือกข้างได้ แต่ให้รู้ว่าการเลือกข้างนั้นเสี่ยง เสี่ยงมาก เพราะพอเราเลือกข้างปุ๊บเราจะเกิดอคติ พอเราเอาความรักและความเกลียดเป็นตัวตั้ง มันทำให้สื่อไม่สามารถจะลงลึกได้ในสิ่งที่ควรลึก ไม่สามารถลงรอบได้ในสิ่งที่ควรจะรอบด้าน ไม่สามารถรักษาความเที่ยงธรรม คือความแฟร์ ในที่ที่ควรจะเที่ยงธรรม หลายๆ อย่างเราไม่สามารถจะทำได้ เพราะว่าเรามีความรักและความเกลียดเป็นตัวตั้ง"
"สื่อมวลชนมีความรับผิดชอบยิ่งใหญ่มหาศาลที่คนอื่นไม่มี สื่อมวลชนแบกสังคมไว้ทั้งสังคม คุณมีส่วนที่จะทำให้สังคมนี้เป็นสังคมพึ่งพาตัวเองได้หรือไม่ เป็นสังคมที่มีวิจารณญาณหรือไม่ หรือเป็นเพียงสังคมที่ไหลลอยไปตามกระแสของเหตุการณ์ เดี๋ยวก็เกลียดคนนี้เดี๋ยวก็รักคนนั้น เดี๋ยวก็ร้องไห้เดี๋ยวก็หัวเราะ"
ศาสตราจารย์ด้านนิเทศศาสตร์ ผู้สอนวิชา "จริยธรรมสื่อมวลชน" ที่นิเทศศาสตร์ จุฬาฯ มายาวนาน ก่อนจะมาเป็นคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ และปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาอธิการบดี
สมาชิกวุฒิสภาจากการสรรหา ซึ่งมาในสายของสื่อเพื่อเยาวชน เป็นตัวแทนมูลนิธิสื่อศีลธรรมเพื่อเยาวชน
จากที่มีบทบาทเรียบๆ มาตลอด ณ วันนี้เมื่อเห็นว่าความรุนแรงในสังคมกำลังระเบิดขึ้น อ.สุกัญญาจึงอดรนทนไม่ได้ กระทั่งเขียนบทความ "ปริมณฑลแห่งสี" ลงในหนังสือพิมพ์มติชน วิพากษ์วิจารณ์และกระตุกจริยธรรมของสื่อกระแสหลักที่มีบทบาทสำคัญในการสุมไฟ
เมื่อถามว่าอาจารย์ออกมาอย่างนี้ไม่กลัวโดนสื่ออัดกลับหรือ
"ตรงนี้ก็ตั้งคำถามเหมือนกัน สื่อวิจารณ์คนเขาได้ทั้งประเทศ พอตัวเองถูกวิจารณ์บ้างชักจะรับไม่ไหว ก็เป็นหน้าที่ของเราที่เป็นครูบาอาจารย์ด้านนี้ก็ควรจะต้องพูด ยิ่งมาเป็นวุฒิสมาชิกแล้วไม่พูดก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่มานั่งตรงนี้"
000
สีของแว่น
"ความพยายามให้คนปรองดองกันเป็นภาระที่ยากมาก เพราะเขากำลังจะตีกัน จะไปพูดให้เขาหยุดคงเป็นไปไม่ได้ แต่ส่วนที่ตัวเองจะต้องเกี่ยวพันอยู่ไม่สามารถเลี่ยงได้คือเรื่องของสื่อมวลชน เพราะว่าสอนหนังสือด้านนี้มากว่า 40 ปี เพราะฉะนั้นมีอะไรที่พอจะพูดทักสื่อมวลชนได้บ้างก็พยายามทำ เจอลูกศิษย์ลูกหาก็จะพูด มีความรู้สึกว่าจริงๆ แล้วสื่อมวลชนก็พยายามทำให้ดีที่สุด แต่บางครั้งด้วยสถานการณ์ที่มันรุนแรงมาก เวลาเราเป็นสื่อบางทีเราวนอยู่ในกระแส วนอยู่ในสถานการณ์ เหมือนเราตกเป็นส่วนหนึ่งของสถานการณ์ เราจะมองไม่ค่อยเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ฉะนั้นเวลาสอนลูกศิษย์จะบอกเธอต้องทำตัวเป็นยักษ์ ลอยออกมานอกโลกแล้วก็มองย้อนกลับไปให้โลกมันเหลือลูกเล็กนิดเดียว แล้วจะเห็นว่ามันเกิดอะไร อย่าเอาตัวไปเป็นส่วนหนึ่งของข่าว เพราะมีความรู้สึกว่าสื่อมวลชนทุกวันนี้เหมือนกับจะเอาตัวเองเป็นข่าวนะ กลายเป็นเป้าให้โดนวิพากษ์วิจารณ
"คนอ่านเขาก็วิจารณ์ ผู้ชมเขาก็วิจารณ์ ว่าสื่อมวลชนไม่เป็นกลาง ซึ่งเหตุการณ์อย่างนี้มันไม่น่าเกิดขึ้นได้ ประชาชนไม่น่าจะมาติฉินนินทาสื่อมวลชน เพราะโดยหลักการของวารสารศาสตร์ สื่อมวลชนคือส่วนหนึ่งของประชาชน สื่อมวลชนไม่สามารถแยกตัวเองออกจากประชาชนได้ แต่ทำไมประชาชนถึงเริ่มติติงและวิพากษ์วิจารณ์สื่อ แสดงว่าสื่อมวลชนกำลังแยกตัวเองออกจากประชาชนหรือเปล่า และยิ่งคุณแยกออกจากประชาชนไปมากเท่าไหร่ คุณก็จะไปเกาะเกี่ยวกับรัฐบาล เกาะเกี่ยวกับนายทุน เกาะเกี่ยวกับองค์กรใครต่อใคร คุณลืมประชาชนหรือเปล่า"
อาจารย์มองเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมาอย่างไร
"ขอแยกเป็น 2 ระดับนะ มองการทำงานของสื่อในสังคมไทยตั้งแต่ 19 กันยาเป็นต้นมา นั่นคือระดับที่หนึ่ง อีกระดับหนึ่งมองอย่างกว้าง"
"ในแง่ของความเป็นสื่อ เราต้องยอมรับว่าทุกวันนี้สื่อมีอิทธิพลต่อสังคมมาก ทั้งสื่อโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ถึงแม้ว่าจะมีคนดูโทรทัศน์มากกว่าอ่านหนังสือพิมพ์ แต่ส่วนใหญ่ก็ดูละคร ในด้านการเมืองหนังสือพิมพ์มีบทบาทมาก เพราะหนังสือพิมพ์สามารถจะวิเคราะห์เจาะลึก สามารถให้รายละเอียดได้มากกว่า และหนังสือพิมพ์เป็นสื่อที่คงทน อยู่ตรงไหนก็อ่านได้"
"เมื่อสื่อมวลชนมีบทบาทต่อสังคมมาก โดยเฉพาะในทางการเมือง มันก็จะมีบุคคล กลุ่มบุคคล ซึ่งในที่นี้เรียกว่าแหล่งข่าว เขาก็มองเห็นช่องทางในการที่จะสร้างอำนาจหรือสร้างประโยชน์ และเขาก็มองเห็นว่าถ้าเขาสามารถเอาสื่อมวลชนไว้ในมือได้ เขาก็จะได้ประโยชน์ แหล่งข่าวบางคนจึงคิดที่จะเอาสื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างอำนาจสร้างประโยชน์ให้ตัวเอง อันนี้เป็นสิ่งที่สื่อมวลชนต้องระวังตัว เพราะว่าเราอาจจะถูกแหล่งข่าวหลอกใช้เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นบางครั้งเราก็ต้องยอมรับว่า รู้ว่าเขาหลอกก็ต้องให้เขาหลอกเหมือนกัน"
"ในวิกฤติทางการเมืองขณะนี้มีคน 2 ฝ่ายที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน ตอนแรกก็ไม่ได้สุดโต่งขนาดนี้นะ แต่อยู่ไปๆ มันเหมือนจะยิ่งห่างออกไป และมันสุดโต่งพูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว ในสถานการณ์อย่างนี้สื่อมวลชนจะทำอย่างไร เมื่อวันพฤหัสบดีนั่งฟังคุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ท่านพูดในสภาฯ ท่านพูดถึงบทบาทของสื่อรัฐว่ารัฐจะไม่แทรกแซง จะทำทุกอย่างเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ รัฐต้องการความสมดุลรอบด้าน จะไม่ปล่อยให้มีสื่อทางเดียว สื่อที่จะยั่วยุให้เกิดความรุนแรง และท่านก็บอกว่าบทบาทของสื่อคือ สื่อต้องเปิดพื้นที่อันกว้างขวาง เพื่อบริการข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชน สนองเจตนารมณ์ของรัฐ-อันนี้ชักจะยังไงแล้ว ทำไมไม่สนองเจตนารมณ์ของประชาชน ชักสะดุด"
"สื่อจะต้องช่วยคลี่คลายสถานการณ์ และสื่อต้องบอกข้อเท็จจริงด้วยความโปร่งใส นี่คือหลักวารสารศาสตร์ ถ้าฟังแล้วท่านสาทิตย์พูดถูกต้องแล้ว แต่เราจะมาพูดกันถึงแว่นสายตาสีต่างๆ คนที่ใส่แว่นสีเหลืองมองอะไรเห็นสีเหลืองหมดเลย และคนที่ใส่แว่นสีแดงเห็นอะไรก็เป็นสีแดง สมมติคุณสาทิตย์ใส่แว่นสีเหลือง-ท่านไม่ได้ผิดนะ แต่ท่านใส่แว่นสีเหลือง ฉะนั้นเวลาที่ท่านพูดว่าท่านจะเปิดพื้นที่อันกว้างขวาง มันก็คือพื้นที่อันกว้างขวางที่ท่านมองจากแว่นสีเหลืองของท่าน ถูกไหม เท่าที่แว่นสีเหลืองจะสามารถมองเห็นได้ เมื่อท่านมองด้วยแว่นสีเหลืองมันก็เลยคล้ายๆ กับว่าเป็นพื้นที่อันกว้างขวางเท่าที่รัฐมองเห็น และอนุญาตให้สื่อสามารถนำเสนอได้ นี่พูดกันถึงเรื่องสีของแว่น"
"ถ้าจะพูดกันเรื่องความเที่ยงธรรม ความสมดุลของข่าว ก็อีกนั่นแหละ พอท่านใส่แว่นสีเหลือง มันก็คือความเที่ยงธรรม และความสมดุลในสายตาของท่านว่าจะต้องเสนอข่าวอย่างนี้นะ จึงจะถือว่าเป็นข่าวที่เที่ยงธรรมเป็นกลางและมีความสมดุลโปร่งใส ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าโดยทั่วไปรัฐดูเหมือนจะเป็นผู้ผูกขาดความถูกต้อง นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง นี่คือสิ่งที่ประชาชนควรจะต้องรู้ ท่านมีความปรารถนาดีนะ มีเจตนารมณ์ที่ดี และท่านก็บอกสื่อว่า-ท่านจะแทรกแซงสื่อหรือไม่ก็ไม่รู้-ท่านก็บอกว่าควรจะเสนอข่าวแบบนี้ อย่าไปเสนอข่าวที่ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง"
"เวลาท่านใช้คำว่าอย่าเสนอข่าวที่ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง ท่านหมายถึงข่าวฝั่งทางโน้นใช่ไหม แต่เวลาที่ท่านพูดแม้ท่านจะใช้ถ้อยคำที่ราบเรียบสุภาพ แต่ถ้อยคำเหล่านั้นอาจจะยั่วยุให้เกิดความรุนแรงก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอันนี้ก็อยากจะฝากบอกสื่อมวลชนด้วย บางครั้งรัฐมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนคนที่อยู่ข้างบนมองลงมาข้างล่าง top down มองในฐานะที่ฉันเป็นรัฐ ฉันคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง สังคมนี้ควรจะเป็นอย่างนี้ ถามว่ารัฐผิดไหม ไม่ผิดหรอก แต่เขามองแบบรัฐ ประชาชนควรจะรู้อย่างนี้ นี่คือความถูกต้อง นี่คือความดีงาม นี่คือความชอบธรรม คนนั้นเลวคนนี้ดี ก็พยายามบอกประชาชน เวลาที่รัฐทำตัวเหมือนตัวเองมองจากข้างบนลงล่าง มันก็เลยเหมือนผู้มีอาวุโสกับผู้ด้อยอาวุโส เหมือนผู้ใหญ่พูดกับเด็ก"
"อันนี้คือสังคมโบราณหรือเปล่า ไม่ใช่สังคมที่ไม่ดีนะ สังคมที่ดี เรามีจารีตประเพณี เรามีสังคมที่ดี ผู้ใหญ่กับเด็กถ้อยทีถ้อยอาศัย เด็กเคารพผู้ใหญ่ แต่ทุกวันนี้รัฐบาลก็จะติดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่และสอนเด็ก แต่เหตุการณ์โลกมันเปลี่ยนมาจนถึงปัจจุบัน คลื่นประชาธิปไตย อาจจะดีหรือไม่ดีก็ไม่รู้ แต่เขาบอกว่านี่คือระบอบการปกครองที่ดีที่สุดในโลกนี้ มันเป็นระบอบที่ว่าด้วยความเสมอภาค ภราดรภาพ ทุกคนเท่าเทียมกัน เคยทำวิจัยสังคมไทยเป็นสังคมแบบพ่อปกครองลูก เป็นสังคมพี่น้อง มีความรักใคร่ปรองดอง เราเป็นของเราอย่างนี้มา วันดีคืนดีคลื่นประชาธิปไตยก็ตูมเข้ามา และมันก็บอกว่าการปกครองแบบผู้อาวุโสปกครองผู้ด้อยอาวุโสเป็นเรื่องของเผด็จการ เพราะฉะนั้นต้องปกครองแบบประชาธิปไตย ความขัดแย้งเกิดขึ้นในสังคมไทยเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ตั้งแต่หมอบรัดเลย์เข้ามาทำหนังสือพิมพ์ เอาความคิดประชาธิปไตยเข้ามา ก็กระแทกเข้ามา แต่สังคมไทยเก่งนะสามารถยืดหยุ่นได้ ขณะที่ตัวเองมองแบบบนลงล่าง แต่อีกข้างมองแบบเสมอภาค ก็ค่อยๆ เอื้ออาทรต่อกัน เราก็อยู่ของเรามาได้จนกระทั่งปัจจุบัน"
"มีความรู้สึกว่าทุกวันนี้รัฐบาลหรือผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็ยังมองแบบนั้นอยู่ คือท่านอยู่บนหอคอยแล้วท่านก็มองลงมาด้วยความปรารถนาดี แต่คนที่อยู่ข้างล่างเริ่มเรียกร้อง และก็เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี มันมีสื่อมากมาย เขาได้รับข้อมูลข่าวสารมากมาย เขาก็เริ่มที่จะมีความต้องการที่หลากหลาย เขาเริ่มที่จะไม่ได้เป็นแค่ผู้บริโภคข่าวสาร แต่เขาเป็นผู้สร้างข่าวสารด้วย เขามีเว็บไซต์ เขาเข้าไปแลกเปลี่ยนความเห็น เขาสร้างสื่อ เขาผลิตซีดี เมื่อก่อนเขาเป็นผู้บริโภคสื่ออย่างเดียว พอเหตุการณ์มันผ่านไปเขาเริ่มมีบทบาทมีอำนาจมากขึ้น เขาเริ่มเรียกร้องมาขึ้น เขาเริ่มมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ขณะที่ผู้ใหญ่บอกเขาว่าเอ็งยังโง่อยู่ เอ็งไม่รู้ คนข้างล่างเขาก็บอกว่าบางทีฉันฉลาดกว่าเธออีก ฉันรู้เพราะฉันอ่าน ฉันเข้าถึงข่าวสารมากมาย"
"เพราะฉะนั้นสิ่งที่พยายามจะบอกคือ ถ้าท่านเป็นผู้ใหญ่แล้วท่านใส่แว่นตาสีเหลือง แล้วคนเหล่านี้ใส่แว่นตาสีแดง เขาก็มองเห็นแบบคนใส่แว่นเหลืองนั่นแหละ คือเขาก็จะมองเห็นในปริมณฑลของสีแดง เขาก็จะพูดจากับคนที่เป็นสีแดงด้วยกัน เขาก็จะบริโภคข่าวสารที่เขาไม่เจ็บปวด ถ้าอ่านไทยโพสต์เจ็บปวดเขาก็จะไม่อ่าน เขาก็จะไปอ่านอะไรก็ตามที่ไม่เจ็บปวด เขาก็จะซึมซับเอาวาทกรรมต่างๆ ถ้อยคำต่างๆ อุดมการณ์ต่างๆ แลกเปลี่ยนกันในเพื่อนพ้องน้องพี่ทั้งหลายในปริมณฑลแห่งสี ดื่มด่ำในปริมณฑลแห่งสี รับฟังและก็ผลิต แลกเปลี่ยนข่าวสารกันในปริมณฑลแห่งสี มันก็เกิดอารมณ์ที่ดื่มด่ำไปกับสี จนกระทั่งไม่ว่าจะทำอย่างไรคุณก็ไปดึงเขาออกมาจากสีแดงไม่ได้ เพราะมันเป็นความเชื่อแล้ว มันเป็นอุดมการณ์ไปแล้ว พอมีคนมาบอกว่าพวกเขาโง่ พวกเขาไม่มีอุดมการณ์ ถูกจ้างมา แล้วเขาจะคิดอย่างไร สมมติรัฐบอกว่าคนกลุ่มสีแดงเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นคนชอบความรุนแรง ขณะเดียวกันก็ปิดกั้น ที่ท่านสาทิตย์บอกว่าเปิดพื้นที่อันกว้างขวางของท่าน แต่บังเอิญว่าพื้นที่อันกว้างขวางของท่านเป็นพื้นที่เพื่อบริการข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนเพื่อสนองเจตนารมณ์ของรัฐ และบังเอิญคนสีแดงทั้งหลายเขาไม่ได้สนองเจตนารมณ์ของรัฐก็เลยขึ้นมาพื้นที่นี้ไม่ได้ ขึ้นได้แต่ก็ยากมาก ในขณะที่รัฐครอบคลุมสื่อเกือบทุกชนิด"
"ที่ไม่สบายใจก็คือหลายๆ ครั้ง คนของรัฐบาลออกมาให้สัมภาษณ์ในทำนองเหมือนกับให้ร้ายป้ายสีเสื้อแดง จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจไม่รู้ มันสร้างความเจ็บปวดและมันสร้างศัตรู การที่เราใช้ถ้อยคำเสียดสีทิ่มแทงคนอื่น มันเหมือนน้ำหยดลงหิน มันค่อยๆ ร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนเขาโกรธว่าทำไมมาว่าเขา เขาโกรธว่าทำไมมาปิดกั้นสื่อเขา แล้วมันจะนำไปสู่ความรุนแรง ตรงนี้กลัวมากเลย เปิดทีวีเจอท่านโฆษกคนนี้พูด คนนั้นพูด ไม่ดีนะ เพราะถ้าเขาสั่งสมความโกรธมากๆ มันจะพาประเทศไปสู่ความหายนะ"
สื่อดรามา
อ.สุกัญญาชี้ว่า บทบาทของสื่อคือควรจะ play it deep ทำข่าวลึก play it round ทำข่าวรอบด้าน play it soft ทำข่าวรอบคอบ อย่าหาแพะ play it fair ทำข่าวอย่างเที่ยงธรรม และ play it wise ทำข่าวด้วยปัญญา
"สื่อควรจะ play it deep เล่นข่าวลึกเท่าที่จะลึกได้ เข้าใจดีในข้อจำกัด แต่เราพยายามเจาะให้ลึกให้ได้ จริงๆ แล้วสื่อก็คือมนุษย์ธรรมดา ย่อมมีโกรธ มีชอบไม่ชอบ อันนี้เป็นปกติของมนุษย์ เราทุกคนมีอารมณ์ทั้งนั้นแหละ บางครั้งสื่อก็บอกว่าผมต้องเลือกข้าง เคยมีลูกศิษย์มาถามเหมือนกันนะ สื่อเลือกข้างได้ไหม ก็บอกว่าบางครั้งสื่ออาจจะเลือกข้างได้นะ เพราะในต่างประเทศสื่อเขาก็เลือกข้างเหมือนกัน แต่ให้รู้ว่าการเลือกข้างนั้นเสี่ยง เสี่ยงมาก เพราะพอเราเลือกข้างปุ๊บเราจะเกิดอคติ พอเราเอาความรักและความเกลียดเป็นตัวตั้ง มันทำให้สื่อไม่สามารถจะลงลึกได้ในสิ่งที่ควรลึก ไม่สามารถลงรอบได้ในสิ่งที่ควรจะรอบด้าน ไม่สามารถที่จะรักษาความเที่ยงธรรม คือความแฟร์ ในที่ที่ควรจะเที่ยงธรรม หลายๆ อย่างเราไม่สามารถจะทำได้ เพราะว่าเรามีความรักและความเกลียดเป็นตัวตั้ง"
"เรื่องความเป็นกลางของสื่อมวลชน จริงๆ แล้วเป็นข้อที่ถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากเลยว่าสื่อมวลชนไม่ใช่ก้อนหินนะถึงจะเป็นกลางได้ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยหรือต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ต้องมีอารมณ์ทั้งนั้นแหละ แต่ปัญหาของสื่อมวลชนอยู่ที่เรามีภาระหน้าที่ที่คนอื่นไม่มี เรามีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่มหาศาลที่คนอื่นไม่มี สื่อมวลชนแบกสังคมไว้ทั้งสังคม คุณต้องมีความรับผิดชอบมากกว่าคนอื่น มีคนเคยถามว่าทำไมสื่อต้องมีความรับผิดชอบอะไรมากมาย มีจรรยาบรรณเยอะแยะไปหมด ก็บอกว่าหมอรับผิดชอบแค่คนไข้ใช่ไหม ตำรวจรับผิดชอบแค่งานตัวเองไปจับผู้ร้าย แต่สื่อมวลชนต้องรับผิดชอบทั้งสังคม เพราะคุณมีส่วนที่จะทำให้สังคมนี้เป็นสังคมพึ่งพาตัวเองได้หรือไม่ เป็นสังคมที่มีวิจารณญาณหรือไม่ หรือเป็นเพียงสังคมที่ไหลลอยไปตามกระแสของเหตุการณ์ เดี๋ยวก็เกลียดคนนี้เดี๋ยวก็รักคนนั้น เดี๋ยวก็ร้องไห้เดี๋ยวก็หัวเราะ"
"สื่อมวลชนสนองแค่ความรู้สึกของคน หรือสื่อมวลชนจริงๆ แล้วมีหน้าที่สนองสติปัญญา สื่อมวลชนต้องให้ความรู้แก่สังคม หรือสื่อมวลชนพึงให้แค่ความรู้สึกแก่ประชาชน ถ้าสื่อมวลชนให้เพียงแค่อารมณ์ความรู้สึกที่พร้อมจะเปลี่ยนเป็นความชื่นชมเป็นการดูถูก นั่นก็คือเรากำลังมีส่วนหรือเปล่าที่จะทำให้ผู้คนในสังคมไหลไปตามกระแส ไหลลอยไป ไหลไปไหนก็ไม่รู้ และไม่รู้ว่าจะออกไปที่ไหน หาทางออกไปที่ไหนก็ไม่เจอ วันก่อนนั่งในสภาฯ 2 ฝ่ายก็ยกข้อมูล 2 ด้านมาชนกัน เหมือนเราอยู่ในเหวนะ ไม่รู้จะออกไปทางไหน อะไรก็ตามที่มันสนองแค่อารมณ์และความรู้สึก มันทำให้เรามองไม่เห็นทางออก แต่ถ้าสื่อมวลชนมีบทบาทหน้าที่ในการให้ความรู้แก่ประชาชน เขาจะมีสติปัญญาที่จะช่วยกันแสวงหาทางออก อันนี้คือสิ่งที่อยากจะขอจากสื่อมวลชน"
สื่อคิดว่าตัวเองมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย อย่าง 14 ตุลา พฤษภา ไล่รัฐบาลมาทุกชุด สื่อจึงคิดว่าตัวเองควรมีบทบาทชี้นำสังคม
"สื่อชี้นำได้นะแต่ในระดับหนึ่ง สื่อไม่ใช่ผู้พิพากษาว่าคนนี้ดีคนนี้เลว สังคมควรไปทางนี้ สังคมอย่าไปทางโน้น ท่านเป็นได้แค่สื่อกลางเท่านั้น บางทีเราต้องบอกตัวเองนะ ความที่เรามีอำนาจมากๆ บางครั้งเราก็หลุดเหมือนกัน เอ๊ะนี่ฉันล้มรัฐบาลได้ นี่ฉันทำอะไรต่ออะไรได้มากมาย อย่ากระนั้นเลยฉันจะทำต่อไป มันไม่ค่อยถูกหรอก เพราะเราต้องเลือกก่อนว่าเราจะอยู่ในสังคมอะไร ถ้าเราจะอยู่ในสังคมประชาธิปไตย ถ้าเราคิดว่าเราคือสื่อในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนเป็นตัวตั้ง สังคมนี้จะไปทางไหน รัฐบาลนี้จะดีจะเลวอย่างไร สื่อมีหน้าที่วิ่งไปบอกประชาชน ในกรณีคอรัปชั่น เจ้านี่คอรัปชั่น เจ้านี่ทำ
ให้ประเทศชาติเสียหาย รัฐบาลทำไม่ดี หน้าที่ของสื่อวิ่งไปบอกประชาชน คุณก็ทำไปให้ประชาชนทราบ หน้าที่ของการไล่รัฐบาลอยู่ที่ประชาชน อาจจะโดยผ่านการเลือกตั้ง หรือโดยการประชามติหรืออะไรก็แล้วแต่ มันเป็นหน้าที่ของประชาชน นี่พูดถึงหลักการวารสารศาสตร์ว่าหน้าที่ของสื่อมวลชนคืออะไร"
"สื่อมวลชนเกิดขึ้นมาได้เพราะประชาชน เจ้านายที่ท่านจะต้องจงรักภักดีคือประชาชน เพราะมันเกิดสงครามปฏิวัติในยุโรป หลังจากประชาชนชนะเกิดระบอบประชาธิปไตยสมัยศตวรษที่ 18 ประชาชนบอกอย่ากระนั้นเลยฉันจะเอาสื่อมวลชน หนังสือพิมพ์ มาเป็นเครื่องมือให้ข่าวสารกับฉัน นี่ประชาชนเป็นคนบอก ให้ข่าวสารให้ความรู้กับฉัน พอรู้แล้วฉันจะเป็นคนตัดสินเองว่ารัฐบาลนี้จะอยู่หรือจะไป เพราะฉะนั้นหน้าที่ของ media มัน media จริงๆ คืออยู่ตรงกลาง หน้าที่แท้ๆ ของคุณจะออกห่างประชาชนไม่ได้ คุณไปอิงรัฐบาลไม่ได้ คุณต้องอิงกับประชาชน ก็คือต้องไปบอกประชาชนว่าขณะนี้เป็นอย่างนี้ ท่านเลือกเอาเองนะ ประชาชนเลือกเอาเองว่าจะไปทางไหน สังคมประชาธิปไตยขึ้นอยู่กับประชาชน ถามว่าแล้วประชาชนจะสร้างระบอบ
ประชาธิปไตยที่ดีได้อย่างไร สำหรับระบอบประชาธิปไตยหน้าที่ของประชาชนก็คือทำให้สังคมของพวกเขาดีขึ้น ทำอย่างไรสังคมที่เขาใช้ชีวิตอยู่ถึงจะอยู่ดีและสุข หน้าที่ของสื่อคุณต้องไปบอกเขาว่าตอนนี้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ๆ เขาก็เลือกวิถีทางของเขาเอง นี่คือสื่อในระบอบประชาธิปไตย"
"โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมตอนนี้ชุลมุนวุ่นวาย ประชาชนสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น หน้าที่ของสื่อมวลชนที่มองเห็นขณะนี้ อยากให้ลดเรื่องอารมณ์ความรู้สึกทั้งหลายลง แล้ววิเคราะห์เจาะลึกให้มากขึ้น รอบด้านมากขึ้น เอาข้อมูลมาตีแผ่เชื่อมโยงให้เห็นว่าขณะนี้มันเกิดอะไร เท่าที่เราจะสามารถนำเสนอได้ จะเป็นคุณูปการกับประชาชนเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าทุกวันนี้คนสับสนไม่รู้ว่าเรื่องจริงคืออะไร เพราะทุกคนที่ออกมาพูดของผมจริงทั้งนั้น รัฐบาลก็บอกว่าเขาเรื่องจริง คนเสื้อแดงก็บอกว่าของเขาคือเรื่องจริง มันก็เป็นเรื่องจริง 2 ด้าน ต่างคนต่างก็เล่าความจริงครึ่งเดียว สื่อมวลชนอาจจะต้องเชื่อมโยงเรียงร้อยข้อมูลทั้งหลาย"
"ทุกวันนี้ข่าวสารค่อนข้างจะกระโดดไปกระโดดมา เมื่อมีเหตุการณ์ใหม่เกิดขึ้นก็เสนอเหตุการณ์ใหม่ เรื่องเก่าก็ลดความสำคัญลง มันกระโดด เราเป็นสื่อเราอยู่ท่ามกลางข้อมูลข่าวสาร เรามีหน้าที่จะต้องเรียงร้อยข้อมูลให้ประชาชนเห็น เอาไปแบไว้เบื้องหน้าประชาชน ให้เขาตัดสินกันเอง สิ่งที่เรียกร้องจากสื่อก็คือ อยากให้มีการวิเคราะห์เจาะลึกรอบด้านมากขึ้น สิ่งที่เรียกร้องจากรัฐบาลก็คือ อยากให้ช่วยลงมามองในสายตาสีแดงเขาบ้าง ดูซิจะเห็นอะไร ลงมาอยู่ในระนาบเดียวกับประชาชนบ้าง ไม่ใช่พอเป็นรัฐบาลแล้วก็ขึ้นไปอยู่บนหอคอย คิดในแนวขนานบ้างอย่าคิดในแนวตั้งอย่างเดียว บางทีการที่เราไปสวมแว่นสีอื่น เราจะมองเห็นภาพอื่นๆ แล้วเราจะเข้าใจความต้องการอันหลากหลายมากขึ้น"
สื่อไทยเหมือนมีความรู้สึกว่าประชาชนไม่ตื่นตัว เราเลยตัดสินเอง และการเล่นข่าวของสื่อก็จะออกแนวดรามา
"dramatize มีพระเอก มีผู้ร้าย มีเรื่องอะไรต่ออะไรตื่นเต้นมากมาย"
"จริงๆ แล้วสื่อเราจะยกตัวสูงกว่าประชาชนไม่ได้ เราจะมองว่าประชาชนโง่กว่าเราไม่ได้ เช่นเดียวกับรัฐบาลมองประชาชนโง่ จริงๆ แล้วเขาอาจจะฉลาดกว่าเรานะ สื่อมวลชนบางครั้งอยู่กับข้อมูลเยอะ เราก็นึกว่าประชาชนไม่รู้ โอเคเรื่องที่ท่านรู้ประชาชนอาจไม่รู้ แต่ประชาชนอาจจะรู้ในเรื่องที่ท่านไม่รู้ก็ได้ เพราะฉะนั้นยิ่งเราเป็นสื่อ เราไม่ควรวางตัวอยู่เหนือประชาชน จริงๆ แล้วเราคือผู้รับใช้ประชาชนไม่ใช่หรือ สื่อจะต้องรับใช้ประชาชน เพราะฉะนั้นอย่างน้อยเราต้องอยู่ในระนาบเดียวกับประชาชน จำเป็นอย่างยิ่งที่สื่อมวลชนจะต้องไปสวมแว่นสีของประชาชน เพื่อที่จะเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของประชาชน แม้จะเป็นกลุ่มที่ท่านคิดว่าไม่มีคุณภาพหรืออะไรก็แล้วแต่ บางครั้งถ้าเราเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือเราพยายามไปเป็นเขา บางทีเราจะมีความเข้าใจเขามากขึ้น"
ตัวอย่าง2 มุม
อ.สุกัญญายกตัวอย่าง เอเมอรี คิง บรรณาธิการข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 แห่งดีทรอยต์ ซึ่งเมื่อตอนเกิดเหตุจลาจลจากความขัดแย้งระหว่างคนผิวขาวกับผิวดำในแอลเอ. เมื่อปี 1992 ดีทรอยต์เป็นเมืองที่เคยมีความขมขื่นจากการแยกผิว คนผิวดำเคยลุกฮือเผาบ้านเผาเมืองเมื่อปี 1967 สถานีช่อง 4 จึงต้องใช้วิจารณญาณอย่างมากในการเสนอข่าวจลาจลที่แอลเอ.ในแนวทางเพื่อสร้างสันติภาพ มากกว่าจะสร้างสงครามกลางเมือง โดยส่งนักข่าวลงไปสัมภาษณ์คนในเหตุการณ์เมื่อ 25 ปีที่แล้ว ในแนวของการมองเพื่อนร่วมชาติต่างผิวเชิงบวก
"เมื่อเกิดเหตุขึ้นมาเขาก็ส่งนักข่าวทั้งผิวดำ-ผิวขาวลงไปทำข่าว ผ่านสายตาอันหลากหลาย ดูซิว่าจะเห็นอะไร ตรงนั้นทำให้ได้ไปรับอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนทุกกลุ่มที่มีความหลากหลาย การนำเสนอข่าวสารก็เลยหลากหลายรอบด้าน ความหลากหลายและรอบด้านถูกนำเสนอครั้งแล้วครั้งเล่า เอามาเสนอติดๆ กันเป็นเวลาหลายๆ วัน เป็นการเน้นย้ำข่าวสารของความรักความเมตตาที่เพื่อนมนุษย์มีต่อกัน อันนี้คือบทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชนในเชิงบวก"
ตัวอย่างตรงข้ามคือสื่อรวันดา ที่ปลุกระดมให้คนต่างเผ่าฆ่ากันจนเกิดสงครามกลางเมือง
"รวันดาเป็นเรื่องของ 2 ชนเผ่า คือฮูตูกับตุซซี ฮูตูเป็นรัฐบาล ตุซซีเป็นประชาชน ซึ่งขัดแย้งกัน ความขัดแย้งกันตอนแรกมันก็เป็นแค่วิวาทธรรมดา แต่ตอนท้ายนี่ร้าวลึก โดยการกระทำของสื่อมวลชนที่เสนอข่าวด้านเดียว โจมตีด่าทอเสียดสี ปิดกั้นสื่อของฝ่ายตุซซีทุกประการ และนำเสนอวาทกรรมที่ว่าฆ่าคนชั่วไม่ผิด ก็คล้ายๆ กับที่เรากำลังพูดนี่แหละ ไอ้นี่มันชั่วไอ้นี่มันไม่ดีเพราะฉะนั้นฆ่ามันเสีย ผลที่เกิดขึ้นก็คือมีคนตายประมาณ 5 แสนถึง 1 ล้านคน โดยที่นักวิเคราะห์บอกว่า สื่อมวลชนเป็นตัวจักรสำคัญที่ก่อให้เกิดการสังหารหมู่ในครั้งนั้น"
"เป็นโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายมาก ยูเอ็นต้องส่งกองทัพเข้าไป ท้ายที่สุดพวกฮูตูก็ถูกขับไล่ออกนอกประเทศ อพยพข้ามประเทศ รัฐบาลฆ่าเขาแล้วตัวเองก็แพ้ ออกนอกประเทศแล้วก็ไปสร้างความร้าวฉานทั้งภูมิภาคในแถบนั้น ทุกวันนี้รวันดาก็ยังไม่สงบสุข ข้อเตือนใจสำหรับเหตุการณ์ในรวันดาก็คือบทบาทของสื่อมวลชน ที่พิพากษาว่าคนนี้ถูกคนนั้นผิด และการพิพากษานั้นเมื่อใช้วิธีการนำเสนอข่าวแบบข้างเดียว นำเสนอข่าวที่เต็มไปด้วยอคติ สร้างความโกรธแค้นรุนแรง ท้ายที่สุดทำให้เกิดโศกนาฏกรรม อันนั้นยกให้เป็นตัวอย่าง มันคงไม่เกิดกับประเทศไทยหรอก แต่ก็ระวัง"
"บางครั้งเวลาเราเป็นสื่อ เราก็เรียนว่าหมากัดคนไม่เป็นข่าว คนกัดหมาเป็นข่าว เราก็เอาแต่เรื่องที่มันแปลกประหลาด ตื่นเต้น ความขัดแย้ง มันก็เป็นการสร้างอารมณ์ความรู้สึกในข่าว ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ขณะเดียวกันสังคมมันไม่ได้มีแต่ด้านลบ ไม่ได้มีแต่ความเกลียดชัง อยุติธรรม สังคมมันก็มีด้านดี ทำไมเราไม่นำสิ่งเหล่านั้นมานำเสนอในสังคมที่กำลังอยู่ในภาวะความแตกแยกอย่างมโหฬารในขณะนี้บ้าง อันนี้ไม่ใช่หมายความว่าให้สื่อไปเสนอข่าวเชิงบวกทั้งหมด แต่หมายความว่าอย่าละเลยการนำเสนอข่าวสารที่จะสะท้อนบริบทในด้านดีของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และถ้าการนำเสนอข่าวแบบนี้ที่รอบด้านที่ลงลึกหลากหลาย มันจะเป็นประโยชน์ทำให้สังคมนี้ดีขึ้น นั่นเป็นสิ่งที่สื่อมวลชนควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะเป้าหมายของระบอบประชาธิปไตยก็คือทุกคนต้องช่วยกันทำให้สังคมนี้ดีขึ้น และสื่อมวลชนถือว่าเป็นแสงสว่างในความมืด ท่านสามารถเป็นแสงสว่างได้ แต่ท่านก็สามารถเป็นอาวุธได้เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะเป็นอะไร ถ้าท่านเป็นแสงสว่างท่านต้องให้ความรู้เขา เขาก็จะมองเห็นทางออกที่ปลายอุโมงค์ แต่ถ้าท่านให้อาวุธเขาเพื่อไปฆ่ากัน มันก็เป็นเรื่องที่สื่อมวลชนต้องตัดสินใจ"
แต่ตอนนื้สื่อส่วนใหญ่นำเสนอเพื่อเอาชนะ เพราะเราเลือกข้างไปแล้ว
"ท่านเลือกข้างได้ แต่ท่านกรุณาถอยจากข้างท่านแล้วมาดูข้างอื่นบ้าง ถ้าสื่อไทยลดการทำข่าวแบบสัมภาษณ์คนนี้ที แล้วมาถามคนนี้ที-ตอนนี้ข่าวจะนำเสนอแบบนี้เยอะมาก เวลาอ่านข่าวก็เลยจะดูแต่หัวข้อ มันเหมือนกับเอาคำพูดของคนมาต่อๆ กัน อ่านจบแล้วก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จะเป็นคุณูปการกับดิฉันมากเลยถ้าสื่อจะทำข่าวแบบเล่าเหตุการณ์เกิดอะไรขึ้น Who What When Where Why How มันเกิดอะไรขึ้น ขณะนี้คนกลุ่มหนึ่งกำลังคิดอะไร คนอีกกลุ่มกำลังคิดอะไร ข้อเสนอทางออกของคนนี้คืออะไร ทำไมเขาถึงคิดอย่างนี้ จะเป็นคุณูปการต่อผู้อ่าน"
การพาดหัว สรุป ชี้นำ ที่จริงก็เป็นมานานแล้ว
"อะไรที่เป็นอยู่แล้วเราเห็นว่ามันน่าจะไม่ดีนะ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้"
ในวิกฤติครั้งนี้ สื่อส่วนใหญ่ตัดสินใจเลือกข้างแล้วว่าจะไล่ทักษิณ ซึ่งอันที่จริงก็เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ไล่ถนอม ไล่สุจินดา ไล่ชวน ไล่จิ๋ว ไล่บรรหาร สื่อก็คิดว่าการเลือกข้างไม่ได้ผิดอะไร แต่ครั้งนี้มันยืดเยื้อ
"มันลงจากหลังเสือไม่ได้หรือเปล่า คือไล่แล้ว แต่ครั้งนี้ถ้าทักษิณเป็นสิงโต หางสิงโตมันติดไฟ ลากไปเผาบ้านเผาเมือง ในอดีตสิ่งที่เราทำไม่ได้ ทำให้เกิดมหันตภัยร้ายแรงขนาดนี้ แต่ทุกวันนี้รัฐบาลถูกวิจารณ์ว่าจะจับหนูตัวเดียวเผาบ้านทั้งหลัง ถ้าสื่อคิดว่าฉันจะต้องไล่ทักษิณให้ได้ หนูตัวนั้นกำลังทำให้ไฟเผาเมือง บางครั้งเราอาจจะต้องทำอะไรสักอย่างหรือเปล่า ก็ทิ้งไว้ให้สื่อพิจารณากันเอง มีความเชื่อในวิจารณญาณของสื่อมวลชน คนในวงการสื่อก็รู้จักหลายคน แต่บางครั้งเรากำลังวิ่งเกาะกระแสไปเรื่อยๆ แต่ต้องคิดว่าจะพาลงเหวหรือเปล่า หรือขับรถไปเครื่องมันกำลังรวน สิ่งที่ควรทำต้องชะลอใช่ไหม ไม่ใช่ดันทุรังแล้วขับไปอย่างนั้น หยุดคิดสักนิดแล้วมาช่วยกัน บางทีอาจจะถึงเวลาแล้ว เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตามปัญหาเศรษฐกิจมาถึงเราแน่นอน และถ้าเรายังเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่แค่เราจะล้าหลังประเทศเพื่อนบ้าน แต่เราจะพังกันทั้งประเทศ"
มหาวิกฤติ
ทำไมไล่ทักษิณไม่เหมือนไล่คนอื่น ทำไมวิกฤติครั้งนี้จึงจบยาก อ.สุกัญญาบอกว่าเพราะเป็นมหาวิกฤติ
"ดิฉันเรียกปรากฏการณ์นี้ว่าเป็น มหาวิกฤติในสายพานแห่งการเคลื่อนไปของสังคม ในเครื่องจักรของสังคมที่กำลังแล่นไปมันมีสายพานทางการเมือง สายพานทางเศรษฐกิจ สายพานทางสังคม สายพานทางสื่อ เมื่อก่อนมันก็ไปด้วยกันดี แต่การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้โลกก้าวไปสู่โลกาภิวัตน์ มันส่งผลกระทบสายพานทั้ง 4 ตัว ในทางด้านเศรษฐกิจจะเห็นได้ว่าเกิดระบบทุนนิยมสามานย์ที่เรียกกัน และเราจะมองเห็นความต้องการของรากหญ้าที่ดิ้นรนจะมีอำนาจทางเศรษฐกิจมากขึ้น สายพานทางการเมืองเราจะเห็นว่ามีความปั่นป่วนมากขึ้น มันกำลังเกิดความเรียกร้องต้องการใหม่ๆ ซึ่งจะสัมพันธ์กับสายพานทางสังคมและสายพานทางสื่อ เนื่องจากประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากช่องทางที่หลากหลาย มีอินเทอร์เน็ต ยิ่งถ้ามี 3G จะยิ่งมีเทคโนโลยีในการสื่อสาร ซึ่งไปถึงประชาชนทุกคนในราคาถูก ข้อสังเกตสำหรับการเข้ามาของเทคโนโลยี อันทำให้เกิดคลื่นของโลกาภิวัตน์ยุคใหม่ก็คือ มันทำให้เกิดการแยกย่อย เกิดคนที่มีความต้องการที่หลากหลาย ขณะนี้ประชาชนกำลังมีความต้องการที่หลากหลายมากๆ และเรียกร้องความต้องการของตัวเองด้วย เช่นบอกว่ารัฐบาลแบบนี้ฉันไม่เอา ฉันอยากได้รัฐบาลอย่างโน้น เศรษฐกิจอย่างนี้ฉันไม่เอา ฉันจะเอาเศรษฐกิจอย่างโน้น และสื่ออย่างนี้ฉันไม่เอา ฉันจะเอาสื่ออีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นสังคมจะเต็มไปด้วยความต้องการที่หลากหลาย และประชาชนเรียกร้องอย่างหลากหลาย"
"อันนี้คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเป็นสิ่งที่เชื่อว่ายากจะหยุดยั้งได้ เพราะเท่าที่ดูประวัติศาสตร์ไทยมาตั้งแต่อดีต เราไม่สามารถต้านทานกระแสโลกาภิวัตน์ได้เลย เพราะฉะนั้นความเปลี่ยนแปลงในระดับรากหญ้าที่กำลังจะหลากหลายมากขึ้น ประชาชนมีความเรียกร้องต้องการมากขึ้น มันจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน"
"สำหรับสื่อแล้วเขาไม่ได้เป็นเพียงผู้บริโภค แต่เขาเป็นผู้ผลิตด้วย คือเขาสามารถจะสร้างเว็บไซต์เอง เดี๋ยวนี้เด็กๆ ทำได้เก่งกว่าเราอีก และก็มีสื่อมากมายที่เขาสามารถผลิตขึ้นมาเองได้ เขาจะเริ่มรู้สึกว่าเขามีอำนาจทางสื่อ ประชาชนเริ่มรู้สึกว่าเขามีอำนาจทางสื่อ รากหญ้ารู้สึกว่าเขามีอำนาจทางเศรษฐกิจ เมื่อก่อนรากหญ้าขึ้นอยู่กับผู้ที่อุปถัมภ์ เจ้านายขุนนาง เศรษฐีทั้งหลายจะมาชูชุบอุปถัมภ์ แต่ตอนนี้ชาวบ้านเริ่มเรียกร้อง เช่นการรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นเหตุที่คุณทักษิณได้รับความนิยม เพราะไปสนองความต้องการของชาวบ้าน"
"สิ่งต่างๆ เหล่านี้กำลังเกิดขึ้นอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไปปะทะกับมัน ไปกั้นมัน เหมือนกับมีเขื่อนจะไปปะทะไม่ให้น้ำไหล เขื่อนมันจะแตกเพราะน้ำไหลมาแรงมาก การปิดกั้นความเปลี่ยนแปลงทางสังคมในระดับโลกาภิวัตน์เป็นสิ่งที่ยากมาก นอกจากเราจะปิดประเทศ ซึ่งเชื่อว่าสังคมไทยปิดประเทศไม่ได้เพราะเราเคยตัวแล้ว เราเคยชินกับการมีเสรี เคยชินกับการอยากบริโภคอะไรก็บริโภค จู่ๆ จะไปปิดกั้นเป็นไปไม่ได้แน่ๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนคิดว่าจะปิดกั้น พอปิดกั้นปุ๊บจะมีคนไม่พอใจ มันเกิดจะเกิด 2 ชนชั้นขึ้นมา ซึ่งสังคมไทยไม่เคยเกิดนะ คือผู้กดขี่ คนที่คิดว่าตัวเองอยู่บนหอคอยและมองไปข้างล่าง พวกนี้มันโง่ อีกชนชั้นก็จะมีความรู้สึกว่าถูกกดขี่ มันจะเกิดความรุนแรง และจะเกิดการปะทะ"
"นี่คือวิกฤติ มันเป็นวิกฤติทั้งทางเศรษฐกิจ มันเป็นวิกฤติทั้งทางการเมือง มันเป็นวิกฤติทางสื่อ ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะสื่อสารมวลชน มันเกิดสื่อใหม่ๆ มหาศาล และกำลังจะลงสู่รากหญ้าในราคาถูกด้วย สังคมก็เกิดวิกฤติเพราะพ่อแม่ไม่เข้าใจลูก ลูกก็ไม่เข้าใจพ่อแม่ว่าทำไมคิดอย่างนี้ มันก็เกิด generation gap ขึ้นมา วิกฤติทั้งหลายมันรวมตัวกัน กลายเป็นมหาวิกฤติในสายพานแห่งการเคลื่อนไปของเครื่องจักรทางสังคม เป็นมหาวิกฤติใหญ่มากเลย มันจะทำให้พวกเราทุกคนมีความรู้สึกเหมือนตกลงไปในวังน้ำวน หมุนๆๆๆ เกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ สื่อก็บอกไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นอย่ากระนั้นเลย ฉันก็ไปแสวงหาข่าวสารของฉันเอง ฉันก็ใส่แว่นสีเหลือง สีแดง สีฟ้า เลือกข่าวสารที่ตัวเองต้องการ แสวงหาเอง ต่างคนต่างก็ว่ายน้ำกระเสือกกระสนหาทางรอด และก็ต่างคนต่างจะยิ่งเอาตัวรอด แล้วมหาวิกฤตินี้จะพาเราไปไหนก็ไม่รู้ มันจะสร้างหายนะให้แก่เราขนาดไหนก็ยังไม่รู้"
วิกฤติมาเกิดตอนทักษิณพอดี ทักษิณเป็นตุ๊กตาของปัญหา
"เขาอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤติ อาจจะเป็นเพราะเทคโนโลยีทำให้เกิดคนอย่างทักษิณขึ้น ซึ่งไม่ใช่คนอย่างทักษิณคนเดียว อาจจะมีคนอื่นๆ อีกเยอะ แต่ทักษิณก็เป็นคนหนึ่ง ซึ่งอาจจะมีความคิดว่าจะเป็นอัศวินแห่งคลื่นลูกที่ 3 หรืออะไรของเขา ก็เกิดคนอย่างทักษิณขึ้นมา แล้วบังเอิญว่าคนอย่างทักษิณไปสนองความต้องการอันหลากหลายของประชาชน ซึ่งไม่เคยมีใครสนใจเขามาก่อน เมื่อก่อนเขาไม่เรียกร้องอะไร เขาขึ้นอยู่กับผู้อุปถัมภ์ แต่ตอนนี้เขากำลังต้องการและมีคนไปสนองความต้องการเขา เขาก็เริ่มเรียกร้องสิ ฉันจะเอาทักษิณ ใครจะว่ายังไง พอคนบอกให้ไม่ได้ก็โกรธไม่พอใจ ก็จะมีส่วนนี้ที่ขึ้นอยู่กับทักษิณ"
"แต่ดิฉันเชื่อว่ามีคนอีกจำนวนมากที่เคลื่อนไหวในเวลานี้ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทักษิณ แต่เขากำลังขับเคลื่อนกลไกบางอย่างเพื่อที่จะเรียกร้องอุดมการณ์บางอย่าง ที่เขาคิดว่าเป็นสิ่งที่ต้องการ อาจจะเป็นอุดมการณ์ประชาธิปไตยก็ได้ แต่เขาไม่ได้ขึ้นกับทักษิณหรอก เขาอาจจะมีความรู้สึกว่าสังคมเก่าแบบนี้มันอาจจะไปไม่ได้นะ มันอาจะมีปัญหา มันต้องเปลี่ยนแปลง เขาอาจจะลงไป join ตรงนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้นการที่เราไปชี้หน้าว่าพวกสีแดงเป็นพวกรากหญ้าทั้งหมด เป็นพวกไม่รู้เรื่อง ไม่ถูกต้อง"
ตอนนี้ก็มีความพยายามจะปิดกั้นความต้องการที่หลากหลายโดยยกเรื่องคุณธรรมความดีงาม
"เรื่องของคุณธรรมความดีงามมันเลื่อนไหลไปมาได้ ความดีระดับโลกุตระ เรื่องที่เราต้องมีศีลมีธรรม อันนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับ แต่เวลาที่มีคนบางคน คนบางกลุ่ม พูดว่านี่คือความดี นี่คือความถูกต้อง ใช่-มันเป็นความดีและความถูกต้อง และท่านก็มีเหตุผลที่จะสนับสนุนความดีและความถูกต้องของท่าน แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องยอมรับวามันยังมีความดีและความถูกต้องของคนอื่นด้วย เพราะความที่เป็นมนุษย์เรามักจะมองเห็นอะไรจากภูมิหลังที่เรามีอยู่ จากบริบทต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นตัวเรา และเราก็ยกว่านี่คือความดีงาม ส่วนนั่นคือความชั่วนะ สอนลูกอย่าทำนะ แต่อาจจะมีอีกครอบครัวหนึ่งเขาอาจจะบอกว่าสอนลูกอย่างนั้นไม่ถูกหรอก ความจริงที่ลูกเขาทำน่ะดีแล้ว เพราะมาตรฐานความดีของครอบครัวหนึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่ง เช่นอเมริกันบอกว่าลูกอายุ 18 ออกจากบ้านไปได้แล้ว ไปเผชิญชีวิตของตัวเอง ไปสร้างโอกาสของตัวเอง แล้วเจ้าจะภูมิใจที่สร้างชีวิตของเจ้าเองได้ นี่คือพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ทำทุกอย่างด้วยมือของตัวเอง แต่ครอบครัวไทยอายุ 18 ไปอยู่หอ พ่อแม่อกจะแตก เพราะฉะนั้นแค่คำว่าลูกที่ดี พ่อแม่ยังเข้าใจไม่เหมือนกันเลย"
"ฉะนั้นการที่เราคิดว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ดี สิ่งนั้นคือสิ่งที่ไม่ดี ถือว่าคนนั้นเป็นคนดีนะเพราะเขาคิดถึงความดี สื่อมวลชนถ้าคิดว่าพฤติกรรมอันนี้ บทบาทหน้าที่ของหนังสือพิมพ์อย่างนี้คือสิ่งที่ดี และอันนั้นคือสิ่งไม่ดี อันนี้ดิฉันถือว่าคือจริยธรรม เพราะเขาคิดถึงเรื่องความดี แต่เราต้องไม่คิดว่ามีแต่ความดีของเราเท่านั้นที่ถูก เพราะมันอาจจะมีอีกตั้งสารพัดความดี ซึ่งถ้าเราไปรับฟังเขา บางทีความดีของเขาอาจจะดีกว่าความดีของเราก็ได้"เหมือนเรื่องทักษิณคอรัปชั่น คนรากหญ้าก็ยอมรับแต่มองคนละมุม และสื่อหรือผู้ที่โจมตีมักจะทำให้สีเทากลายเป็นสีดำ
"เป็นเรื่องอันตรายเหมือนกัน ในการที่เราจะเล่นข่าวในทำนองขาวกับดำ พระเอกกับผู้ร้าย เพราะมันเป็นการตัดสินไปเลยว่านี่คือคนดี นั่นคือคนชั่ว ซึ่งบางครั้งคนเรามันมีทั้งดีและชั่ว อย่างกรณีคุณทักษิณท่านอาจจะมีส่วนของความไม่ดี เช่นการคอรัปชั่น สื่อหรือคนกลุ่มหนึ่งก็จะบอกว่าคุณทักษิณคอรัปชั่น เป็นนายกฯ ที่ไม่ดี คนรากหญ้าก็บอกว่าทักษิณคอรัปชั่นเหรอ นักการเมืองคนอื่นก็คอรัปชั่นเหมือนกัน ไม่เป็นไรหรอกถ้าคอรัปชั่น แต่ทักษิณมีความดีด้านอื่น เขามาช่วยฉัน มันเป็นเรื่องที่โต้เถียงกันไม่จบ นี่คือความดีของคนกลุ่มหนึ่ง และนี่คือความดีของคนอีกกลุ่ม-ปะทะกัน ถ้าเรายังมองอยู่ตรงนี้ เกรงว่าพวกเราจะพากันตกอยู่ในมหาวิกฤตินี่แหละ แล้วหาทางออกไม่ได้ ปะทะกันไปปะทะกันมา จนกระทั่งอาจจะนำไปสู่ความรุนแรงมากขึ้นกว่านี้"
"ความรุนแรงสามารถเกิดขึ้นได้ ถ้าเราซึ่งเป็นสื่อมวลชนบางครั้งเราใช้ภาษา... ดูจากงานวิจัยของเด็กปริญญาโทนะ ภาษาเป็นเรื่องสำคัญ มันปลุกอารมณ์ เราอาจจะต้องระวังกันหน่อย มันทำให้คนมีความรู้สึกว่าถูกทิ่มแทง ฉันแพ้แล้วใช่ไหม ยิ่งโกรธ จริงๆ แล้วทุกฝ่ายไม่มีใครอยากจะลงไปลึกกว่านี้ คือขณะนี้คิดว่าเราอยู่ในจุดที่น่ากลัวอยู่แล้วนะ มันลึกแล้วนะ ไม่อยากลงไปลึกกว่านี้แล้ว ถ้าเราไม่อยากลงไปลึกกว่านี้ ทุกฝ่ายก็ต้องค่อยๆ ชะลอรถคันนี้ แล้วหลายๆ ฝ่ายต้องมาช่วยกันคิด ดิฉันเชื่อในความรู้ความสามารถของคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล, ส.ส., ส.ว.และสื่อมวลชน รวมทั้งประชาชน อย่าไปดูถูกว่าเขาไม่รู้ ถึงบอกว่าบางทีเขารู้มากกว่าเรา เขาอาจจะกำลังบอกว่าจริงๆ แล้วเราไม่รู้อะไรเลยก็ได้"
เลือกข้างต้องถูกวิจารณ์
สื่อที่เลือกข้างในการไล่ทักษิณ เขาคิดว่าเป็นอุดมการณ์ที่ต้องทำ เป็นการเลือกข้างเพื่อนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
"ถ้าท่านคิดว่านี่คือการทำหน้าที่ที่ดีของสื่อมวลชน ดิฉันเชื่อว่าท่านเป็นสื่อที่ดีนะ เพราะท่านคิดว่านี่คือสิ่งที่ดีที่ท่านต้องการทำให้สังคมนี้ดีขึ้น แต่ตอนนี้เจ้าราชสีห์ตัวนี้มันลากคบเพลิงไปด้วย ท่านจะทำอย่างไรต่อไป"
เท่าที่เห็นคือพอเลือกข้างแล้วก็เอียงข้างทุกอย่าง เช่น สื่อที่ควรจะสนับสนุนประชาธิปไตยกลับสนับสนุนรัฐประหาร เป็นไปได้ไหมที่สื่อเลือกข้างแล้วจะยังรักษาจรรยาบรรณไว้ได้
"เรื่องของจริยธรรมที่สูงสุดเลยคือ จริยธรรมที่เกิดขึ้นจากสามัญสำนึกของตัวเอง สื่ออาจจะเลือกข้างเพราะคิดว่านี่คือข้างที่ดีที่สุดของสังคมไทย นั่นก็คือท่านกำลังคำนึงถึงประชาชน พันธะทางสังคม แต่มันยังมีจริยธรรมที่ลึกกว่านั้น คือมันเป็นสิ่งเราคิดว่านี่คือความดีแล้ว เราตระหนักได้ด้วยสามัญสำนึกของเราเอง มันอยู่ข้างในใจของเราเอง ถ้าท่านรู้ว่าสิ่งใดดีสิ่งใดไม่ดี ถ้าท่านเป็นห่วงว่าสิ่งที่ทำลงไปแล้วและคิดว่าดี ขณะนี้มันชักจะลึกลงไปแล้ว ก็เชื่อว่ามาจากจิตวิญญาณความเป็นสื่อมวลชนที่ตอบตัวเองว่าท่านลงลึกไปแล้ว"
"เมื่อลงลึกไปแล้ว และมันไปกระทบกับความเป็นนักวารสารศาสตร์ของท่านเอง ที่จะต้องเป็นกลางที่จะต้องไม่เข้าข้างใคร-ท่องได้เลย ต้องไม่เข้าข้างใคร ต้องรอบด้าน ต้องเป็นธรรม เวลาเข้าข้างเราจะรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม แต่เราก็กล้ำกลืนมันมา ยอมรับแม้กระทั่งรัฐประหาร ซึ่งรัฐประหารเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับประชาธิปไตย อันเป็นตัวก่อกำเนิดสื่อมวลชน ท่านกำลังไปเอาเผด็จการ ซึ่งเผด็จการนั้นในอดีตสื่อตะวันตกเขาโค่นมาแล้ว เป็นทรราช ฉันเป็นของประชาชน ฉันโค่นเผด็จการ สื่อแห่งระบอบประชาธิปไตย-นี่คือศักดิ์ศรีของสื่อมวลชน"
"แต่พอเกิดปัญหาท่านก็คงรู้ข่าวสารลึกกว่าคนอื่น แล้วท่านก็บอกว่าอันนี้เป็นสิ่งดีที่ท่านอยากจะมอบให้แก่สังคม ถึงแม้ท่านอาจจะต้องผิดจริยธรรมไปบ้าง ก็คือท่านไปเข้าข้างเผด็จการ เข้าข้างรัฐประหาร ท่านกำลังมีอคติ แต่ท่านบอกว่าทั้งหมดนี้มันเป็นเครื่องมือที่จะนำไปสู่สังคมที่ดีงาม ท่านก็เลยเลือกทำ"
"อันนี้ไม่ว่ากันนะ มันเป็นเรื่องที่ตัดสินกันได้ในสื่อมวลชนด้วยกันเอง แต่ดิฉันพูดแล้วว่าการเลือกข้างนั้นเสี่ยง ท่านเลือกได้ แต่ท่านเสี่ยง และท่านต้องยอมรับความเจ็บปวดภายหลังที่เกิดขึ้นด้วยตัวท่านเอง ถ้าเมืองนี้ถูกเผาท่านก็ต้องรับความร้อนนั้นเอง แล้วท่านมีส่วน แต่ขณะนี้เมืองยังไม่ถูกเผา ทำยังไงให้มันเย็นขึ้นล่ะ พูดได้แค่นี้แหละ"
เราเลือกข้างแล้วคงจรรยาบรรณได้ไหม เช่นเลือกไล่ทักษิณ แต่ไม่ใช่พันธมิตรฯ ทำอะไรก็เชียร์หมด แยกแยะถูกผิด มันเป็นสิ่งที่เลื่อนลอยไหม
"มันเสี่ยง และท่านจะอยู่ในจุดที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม สังคมกำลังมองว่าสื่อไม่เป็นกลาง ทุกวันนี้ท่านโดนอยู่ เขาวิจารณ์ว่าท่านไม่เป็นกลาง ท่านเข้าข้าง เวลาบางครั้งดิฉันนั่งดูทีวี คำถามที่นักข่าวป้อนแหล่งข่าว โห-มันแรงเกินไป ถามนำ และแสดงให้เห็นอคติของนักข่าว ซึ่งไม่ดีเลยนะ เราไม่สบายใจ ไม่อยากเห็นสื่อเป็นอย่างนั้น เพราะเรามีความรู้สึกว่าสื่อต้องสง่างาม เวลาเราเป็นกลางเราจะรู้สึกว่าเรามีศักดิ์ศรีนะ เราสง่างาม เราไม่เข้าใครออกใคร ฉันเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา ฉันกำลังเสนอความจริง รัฐบาลบอกว่ากำลังเสนอความจริง แต่เรากำลังจะบอกว่านั่นคือความจริงของรัฐบาล เสื้อแดงบอกว่าความจริงวันนี้ของเขาคือความจริง แต่เรากำลังบอกว่าเราจะเสนอความจริงให้รอบด้าน เสนอของทุกฝ่าย เวลาทำแบบนี้เราจะมีความสุข เราจะมีความรู้สึกว่าเราสง่างาม และนี่คือศักดิ์ศรีของสื่อมวลชน และจะไม่มีใครสามารถมาติติงวิพากษ์วิจารณ์เราได้"
"เราวิจารณ์ชาวบ้านได้ แต่พอประชาชนเขาเริ่มวิจารณ์เรา เราก็ต้องสะดุ้งแล้วละว่า เอ๊ะที่ฉันทำไปฉันคิดว่ามันถูก แต่คนอื่นเขากำลังบอกว่าฉันไม่ถูก ประชาชนผู้ที่เราคิดว่าเขาเป็นเพียงผู้บริโภคเริ่มเสียงดังมากขึ้น วิพากษ์วิจารณ์เรา และนับวันเสียงวิพากษ์วิจารณ์จะยิ่งดังมากขึ้น ถ้าดูจากเทคโนโลยีและความก้าวหน้าของการสื่อสาร เราในฐานะเป็นสื่อมวลชนที่เราคิดว่าทำดีที่สุดแล้ว ก็เชื่อนะ ในวิจารณญาณของนักหนังสือพิมพ์อาวุโสหลายๆ คน ท่านมีเหตุผลของท่าน และท่านก็เชื่อว่าท่านได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว แต่พอถูกวิจารณ์ปุ๊บเราก็ต้องฟัง เพราะเราบอกรัฐบาลต้องฟังเสียงสื่อมวลชน ประชาชนกำลังวิจารณ์เรา เราก็ต้องฟังเสียงของประชาชน ไม่รับฟังไม่ได้ ทุกวันนี้ก็เชื่อว่าสื่อเองต้องถามตัวเอง นี่ฉันกำลังทำผิดอยู่หรือเปล่า พอเราถามตัวเองและเริ่มมีความรู้สึกชักไม่มั่นใจ เราจะมีความรู้สึกว่าศักดิ์ศรี เกียรติยศแห่งฐานันดรที่ 4 ของเรามันเริ่มที่จะลดน้อยถอยลง บางทีเราต้องตั้งสติและอาจะต้องช่วยกันทำอะไรบางอย่าง"
สื่อส่วนใหญ่รู้สึกว่าในการไล่ทักษิณ ตัวเองจะไปยืนอยู่ข้างเวทีหรืออยู่นอกโลกไม่ได้ เป็นหน้าที่ที่จะต้องเลือกข้าง แต่เลือกแล้วจะตีเส้นให้อยู่ในกรอบของจรรยาบรรณและความเป็นมืออาชีพอย่างไร
"ถ้าวิธีการมีปัญหา มันเสี่ยงต่อการละเมิดจริยธรรม และมันต้องอาศัยอคติ อาศัยการเลือกข้าง วิธีการมันเสี่ยง มันก็จะทำให้เกิดผลร้ายขึ้นมาได้ นั่นเป็นสิ่งที่เราจะต้องระวัง"
"เราบอกว่าเรามีหน้าที่ต้องไล่ทักษิณ ในความรู้สึกของดิฉันคุณทักษิณก็ถูกไล่ไปแล้ว ตอนนี้อาจจะอยู่แอฟริกา แกน่ะไปแล้วอย่างดีก็ส่งเสียงตามสายมา เราประสบความสำเร็จแล้วในการไล่ แต่เรื่องมันยังไม่จบ เพราะจริงๆ แล้วเราอาจจะต้องถามตัวเราเองว่าปัญหาอยู่ที่ทักษิณจริงหรือเปล่า ทักษิณทิ้งซากอะไรไว้ มันจะเป็นสายใยของทักษิณหรือเป็นสิ่งที่ผูกพันระหว่างทักษิณกับรากหญ้า หรือมันจะเป็นอะไรบางอย่างซึ่งมองไม่เห็น มันยังมีอยู่ตรงนั้นใช่ไหม ที่คุณยังไล่ไม่ได้ คุณยังไล่สิ่งที่ประชาชนผูกพันอยู่ไม่ได้ ตัวทักษิณไปไหนแล้วก็ไม่รู้แต่สิ่งที่ประชาชนผูกพันอยู่คุณยังไล่ไม่ได้ จะไปไล่ในสิ่งที่เป็นความเชื่อเป็นความฝัน จะถูกไม่ถูกเราไม่รู้ แต่เป็นความเชื่อเป็นความฝันของเขา เรายังจะไปไล่ เกรงจะเกิดความรุนแรง และยิ่งไปปิดกั้นสื่อ ไปปิดสื่อของเขาแล้วสื่อของเรายังไม่ปิด มันสร้างความโกรธ เพราะฉะนั้นในสภาพที่เราอยู่ใกล้กองไฟขนาดนี้อย่าไปเติมเชื้อ ขอสักที ไหว้หละ"
สื่อทางเลือกที่น่ากลัว
ถ้าพูดถึงการปิด D Station ข้างเดียวก็ไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเปิดสองข้างประชันกับ ASTV ก็ต่างฝ่ายต่างปลุกอารมณ์
"สื่อทางเลือกต้องยอมรับว่าทั้ง D Station ASTV วิทยุชุมชน ประชาชนเป็นคนผลิตสื่อเอง แม้ ASTV มีคุณสนธิซึ่งก็เป็นสื่อด้วย แต่นับวันประชาชนจะยิ่งมีความสามารถผลิตสื่อมากขึ้น มันมีทั้งส่วนดีและส่วนเสีย ส่วนดีก็คือประชาชนจะเข้าถึงสื่อมากขึ้น ผลิตสื่อได้มากขึ้น ผลิตสื่อด้วยตัวเอง สามารถสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ส่วนที่ดีมีความเป็นประชาธิปไตย แต่ส่วนเสียก็คือสื่อมวลชนอย่างพวกคุณเป็นมืออาชีพ และคุณจะพูดถึงจริยธรรม จรรยาบรรณสื่อมวลชน แต่ถ้านึกถึงประชาชนทั่วไป เยาวชน ที่กำลังผลิตคลิปวิดีโอ กำลังผลิตสื่ออะไรต่างๆ มากมาย พวกเขาไม่ใช่มืออาชีพ ถ้าเขาไม่มีสิ่งใดที่จะดึงเขาไว้ในเรื่องของความรับผิดชอบในการส่งสาร จะเกิดผลกระทบรุนแรงกับสังคมไทย"
"ดิฉันไม่ได้บอกว่า D Station ไม่ปลุกปั่นไม่ยั่วยุ รู้สึกไม่ค่อยต่างกันนะ D Statio กับ ASTV มาสไตล์เดียวกัน การสร้างสื่อผลิตสื่อที่ไม่มีกลไกของความรับผิดชอบรองรับ จะเป็นผลเสียกับสังคมไทยในอนาคตอย่างแน่นอน มหาวิกฤติครั้งนี้ที่มันกำลังเกิดขึ้น และกำลังมีคนสร้างสื่อ และมันกำลัง crash กันใหญ่ ทีนี้จะแก้ไขอย่างไร มหาวิกฤติที่ใหญ่โตขนาดนี้มันเป็นเรื่องที่จะต้องมีความเปลี่ยนแปลงทั้งสังคม เศรษฐกิจ การเมือง สื่อมวลชน มันต้องมีความเปลี่ยนแปลง ปฏิรูปสังคมทั้งหมด จะปฏิรูปยังไง อย่างน้อยปฏิรูปให้ผู้คนมีศีลธรรมมากขึ้น มีคุณธรรมมากขึ้น รู้จักความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย คืออย่างไร"
"สิ่งสำคัญที่สุดของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นสังคมแห่งเสรีภาพ มีเสรีภาพในการพูดในการคิดในการทำทุกสิ่งทุกอย่าง คุณธรรมพื้นฐานของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยคือจะต้องมีความนับถือผู้อื่น เราอยู่ D Stion นับถือ ASTV อยู่ ASTV นับถือ D Station เขาก็เป็นเพื่อนมนุษย์เหมือนกับคุณ เขากำลังต้องการจะถ่ายทอดข่าวสารที่คิดว่าถูกต้อง อย่างน้อยมีความนับถือกัน เด็กๆ เยาวชนตั้งแต่เล็ก พลเมืองของประเทศที่เจริญแล้วที่เป็นประชาธิปไตย เขาสั่งสอนอบรมความเป็นพลเมืองที่ดีของระบอบประชาธิปไตย จะต้องรู้จักดำรงตนอยู่ได้ท่ามกลางความขัดแย้ง ท่ามกลางความหลากหลาย เพื่อนคนนี้คิดอย่างนี้ อีกคนคิดอีกอย่าง คุณต้องสามารถยอมทนเจ็บปวดได้ คือเจ็บปวดเกลี๊ยดเกลียดคนคนนี้โง่อะไรอย่างนี้ ต้องยอมทนรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง เพราะคนที่เราคิดว่าโง่อาจจะฉลาดกว่าเราก็ได้ในบางเรื่อง เขาอาจจะเป็นคนหาทางออกได้ก็ได้ อย่างน้อยต้องนับถือคนอื่น และต้องรู้จักยอมทนเจ็บปวดรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง"
"แต่ว่าไม่ใช่การสยบยอม เราไม่สยบยอมในสังคมประชาธิปไตย แต่เรารับฟัง เรานับถือเขา เขาเป็นเพื่อนมนุษย์เช่นเดียวกับเรา และรู้จักใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา เด็กๆ ของเราต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ ให้รู้จักคิดรู้จักใช้เหตุผล ทุกวันนี้เราตกอยู่ในอารมณ์มากเกินไป ดูละครตบตีกันมันเร้าอารมณ์นะ ผลผลิตจากสื่อมวลชนมากมายเลย เป็นผลผลิตที่เร้าอารมณ์เร้าความรู้สึก คนเราเวลามีความรู้สึกมากๆ มันหาทางออกไม่เจอ ถ้าจะสร้างสังคมให้ดีขึ้นต้องสร้างด้วยปัญญาไม่ใช่สร้างด้วยอารมณ์"
ตอนนี้มันไม่ใช่แค่สื่อ แต่ผู้ใหญ่ในสังคม นักวิชาการ ก็ช่วยกันสร้างอารมณ์
"เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราอยู่ในกระแสคลื่น อยู่ใน chaos ในวิกฤติการณ์ เราก็อยู่ในสังคมเดียวกัน ถามว่าสื่อมวลชนเป็นใคร สื่อมวลชนก็คือคนไทยคนหนึ่ง เรียนหนังสือมา อบรมบ่มนิสัยมาเหมือนกัน อยู่ในจารีตประเพณีเหมือนกันหมด เพียงแต่เรียกตัวเองว่าเป็นสื่อมวลชน ที่จริงๆ แล้วภูมิหลังก็คือคนไทย แต่ตอนนี้ถ้าเราพบว่าปัญหาส่วนหนึ่งมันเกิดจากพวกเราที่เราไม่ค่อยฟังเสียงคนอื่น เราคิดว่าเราถูก ก็ต้องฉุกคิดบ้าง"
กรณีของ ASTV กับ D Station ดูเหมือนจะไม่สามารถใช้กระบวนการทางกฎหมายจัดการได้ บางเรื่องก็ฟ้องหมิ่นประมาทไม่ได้ หรือบางคนฟ้องจนขี้เกียจฟ้อง ทั้งสองฝ่ายปลุกปั่นรุนแรง ถ้าจะให้รัฐควบคุมก็กลายเป็นการแทรกแซงสื่อ เรามีทางอื่นในการควบคุมไหม
"ในประเทศประชาธิปไตยจะให้สิทธิเสรีภาพกับสื่อมวลชนสูงมาก และขณะเดียวกันเขาก็ให้ความนับถือสื่อมวลชนว่าเมื่อท่านมีเสรีภาพแล้วท่านควรจะรู้ว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร แต่ทีนี้พอท่านมีเสรีภาพแล้วท่านไปด่าคนอื่น ไปโจมตีคนอื่นจนรุนแรงร้าวลึกขึ้นเรื่อยๆ บางส่วนกฎหมายอาจจะเข้ามาจัดการได้ อย่างกฎหมายหมิ่นประมาท แต่บางครั้งมันทุกเมื่อเชื่อวัน มันกลายเป็นตัวจักรตัวหนึ่งซึ่งจะนำไปสู่ความรุนแรงแล้ว ก็ไม่รู้จะว่ายังไง นอกจากว่าถ้ามีการสั่งปิด D Station นี่คือใช้อำนาจรัฐแล้ว ซึ่งดิฉันก็ไม่แฮปปี้เท่าไหร่ เพราะว่าสื่อมวลชนควรมีเสรีภาพในการแสดงออก แต่ขณะเดียวกัน D Station ก็ควรมีความรับผิดชอบในการแสดงออกเหมือนกัน ไม่ควรไปปลุกปั่นทำให้เกิดความบาดหมาง แล้วรัฐบาลก็มองว่าไม่รับผิดชอบเพราะฉะนั้นฉันปิด ขณะเดียวกันพอย้ายไปดู ASTV ทำก่อนเขาอีก ท่านมีเสรีภาพแต่ท่านก็โจมตีเขา แต่ว่าท่านยังไม่โดนปิด เขาเลยบอกว่าอะไรกันประเทศนี้ สองมาตรฐาน เพราะฉะนั้นสื่อมวลชนเมื่อมีเสรีภาพแล้ว ดิฉันเชื่อว่าหลายๆ ฝ่าย กระทั่ง ASTV เป็นมืออาชีพ เขาต้องตระหนักเรื่องจริยธรรม แต่มันเป็นเพราะอะไรที่ทำให้บางครั้งอาจจะก้าวร้าวรุนแรง ดิฉันไม่ต้องไปพูดว่าเป็นเพราะอะไร ให้วงการสื่อสารมวลชนตัดสินเอง เพราะท่านเป็นมืออาชีพ คร่ำหวอดในวงการสื่อสารมวลชนยาวนาน"
วิทยุแท็กซี่ก็เป็นสังคมของเขา ใช้ภาษาใช้วิธีการแบบของเขา
"ข้อสำคัญคือทำอย่างไรที่จะปลุกจิตสำนึกในทางคุณธรรม ความรับผิดชอบในหมู่ประชาชนได้ เพราะถ้าไล่ปิดเว็บไซต์วันนี้พรุ่งนี้เขาก็เปิดใหม่ เพราะในอนาคตมันจะเป็นสื่อภาคประชาชน"
งูเห่าจะฉกกัน
ถามตอนหนึ่งว่าที่อาจารย์เปรียบเป็นมหาวิกฤต ใช่ไหมว่าคือการต่อสู้กันระหว่างระบอบพ่อปกครองลูกกับระบอบประชาธิปไตย ซึ่งระบอบแรกพยายามอ้างคุณงามความดีและวัฒนธรรมประเพณีมาป้องกันตัว
"ดิฉันเชื่อในผู้ใหญ่นะ ผู้อาวุโสของเรา ถ้าดูจากอดีตท่านสามารถที่จะปรับตัวเข้ากับกระแสโลกาภิวัตน์ได้ แต่ขณะเดียวกันท่านก็ยังต้องรักษาจารีตประเพณีไว้ ปัญหาคือในเมื่อคลื่นประาธิปไตยมันถาโถมมาแรง เราก็ยอมรับว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองที่ดีที่สุด แต่ทำอย่างไรที่เราจะอยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ นี่แหละ คือเป็นประชาธิปไตยที่เรายังมีความเคารพเชื่อฟังผู้อาวุโส ในระดับที่สามารถจะยินยอมพร้อมใจกันได้ มันเหมือนเป็นดุลแห่งอำนาจ ระหว่างผุ้อาวุโสกับผู้ด้อยอาวุโส ที่จะสารถอยู่ด้วยกันได้"
ใช่หรือไม่ว่าผู้อาวุโสต้องยอมเสียดุลบ้างแต่ไม่ยอมเสีย
“ก็อาจจะเป็นไปได้ ผู้ใหญ่บางคนท่านก็ยังมีค่านิยมของท่าน ก็เป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆ พูดจากัน เชื่อว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่ประนีประนอม ในท้ายที่สุดน่าจะจบลงได้ด้วยดี แต่ถ้าไม่สามารถประนีประนอมกันได้... ระยะนี้ค่อนข้างจะมองว่ามันเลยจุดเจรจาแล้ว ก่อนหน้านี้ยังเป็นช่วงที่สามารถเจรจากันได้ ตอนนี้ไม่ใช่ เหมือนกับที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ท่านเขียนเกี่ยวกับ 6 ตุลาว่า เหมือนงูเห่า 2 ตัวจะฉกกันแล้วผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร งูเห่ามันไม่เจรจากันแล้ว มันจะฉกกันแล้ว อยากจะเรียนว่าวันนี้เราเริ่มปะทะกันแล้ว มันอยู่ใน process ของการปะทะกันแล้ว ระหว่างนี้เรายังจะทำอะไรกันได้หรือเปล่า”
โดย : ประชาไท วันที่ : 28/4/2552
Resource:http://www.prachatai.com/05web/th/home/16639

ที่มา: เผยแพร่ครั้งแรกใน ไทยโพสต์แทบลอยด์, 26 เม.ย. 2552
"บางครั้งสื่ออาจจะเลือกข้างได้ แต่ให้รู้ว่าการเลือกข้างนั้นเสี่ยง เสี่ยงมาก เพราะพอเราเลือกข้างปุ๊บเราจะเกิดอคติ พอเราเอาความรักและความเกลียดเป็นตัวตั้ง มันทำให้สื่อไม่สามารถจะลงลึกได้ในสิ่งที่ควรลึก ไม่สามารถลงรอบได้ในสิ่งที่ควรจะรอบด้าน ไม่สามารถรักษาความเที่ยงธรรม คือความแฟร์ ในที่ที่ควรจะเที่ยงธรรม หลายๆ อย่างเราไม่สามารถจะทำได้ เพราะว่าเรามีความรักและความเกลียดเป็นตัวตั้ง"
"สื่อมวลชนมีความรับผิดชอบยิ่งใหญ่มหาศาลที่คนอื่นไม่มี สื่อมวลชนแบกสังคมไว้ทั้งสังคม คุณมีส่วนที่จะทำให้สังคมนี้เป็นสังคมพึ่งพาตัวเองได้หรือไม่ เป็นสังคมที่มีวิจารณญาณหรือไม่ หรือเป็นเพียงสังคมที่ไหลลอยไปตามกระแสของเหตุการณ์ เดี๋ยวก็เกลียดคนนี้เดี๋ยวก็รักคนนั้น เดี๋ยวก็ร้องไห้เดี๋ยวก็หัวเราะ"
ศาสตราจารย์ด้านนิเทศศาสตร์ ผู้สอนวิชา "จริยธรรมสื่อมวลชน" ที่นิเทศศาสตร์ จุฬาฯ มายาวนาน ก่อนจะมาเป็นคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ และปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาอธิการบดี
สมาชิกวุฒิสภาจากการสรรหา ซึ่งมาในสายของสื่อเพื่อเยาวชน เป็นตัวแทนมูลนิธิสื่อศีลธรรมเพื่อเยาวชน
จากที่มีบทบาทเรียบๆ มาตลอด ณ วันนี้เมื่อเห็นว่าความรุนแรงในสังคมกำลังระเบิดขึ้น อ.สุกัญญาจึงอดรนทนไม่ได้ กระทั่งเขียนบทความ "ปริมณฑลแห่งสี" ลงในหนังสือพิมพ์มติชน วิพากษ์วิจารณ์และกระตุกจริยธรรมของสื่อกระแสหลักที่มีบทบาทสำคัญในการสุมไฟ
เมื่อถามว่าอาจารย์ออกมาอย่างนี้ไม่กลัวโดนสื่ออัดกลับหรือ
"ตรงนี้ก็ตั้งคำถามเหมือนกัน สื่อวิจารณ์คนเขาได้ทั้งประเทศ พอตัวเองถูกวิจารณ์บ้างชักจะรับไม่ไหว ก็เป็นหน้าที่ของเราที่เป็นครูบาอาจารย์ด้านนี้ก็ควรจะต้องพูด ยิ่งมาเป็นวุฒิสมาชิกแล้วไม่พูดก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่มานั่งตรงนี้"
000
สีของแว่น
"ความพยายามให้คนปรองดองกันเป็นภาระที่ยากมาก เพราะเขากำลังจะตีกัน จะไปพูดให้เขาหยุดคงเป็นไปไม่ได้ แต่ส่วนที่ตัวเองจะต้องเกี่ยวพันอยู่ไม่สามารถเลี่ยงได้คือเรื่องของสื่อมวลชน เพราะว่าสอนหนังสือด้านนี้มากว่า 40 ปี เพราะฉะนั้นมีอะไรที่พอจะพูดทักสื่อมวลชนได้บ้างก็พยายามทำ เจอลูกศิษย์ลูกหาก็จะพูด มีความรู้สึกว่าจริงๆ แล้วสื่อมวลชนก็พยายามทำให้ดีที่สุด แต่บางครั้งด้วยสถานการณ์ที่มันรุนแรงมาก เวลาเราเป็นสื่อบางทีเราวนอยู่ในกระแส วนอยู่ในสถานการณ์ เหมือนเราตกเป็นส่วนหนึ่งของสถานการณ์ เราจะมองไม่ค่อยเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ฉะนั้นเวลาสอนลูกศิษย์จะบอกเธอต้องทำตัวเป็นยักษ์ ลอยออกมานอกโลกแล้วก็มองย้อนกลับไปให้โลกมันเหลือลูกเล็กนิดเดียว แล้วจะเห็นว่ามันเกิดอะไร อย่าเอาตัวไปเป็นส่วนหนึ่งของข่าว เพราะมีความรู้สึกว่าสื่อมวลชนทุกวันนี้เหมือนกับจะเอาตัวเองเป็นข่าวนะ กลายเป็นเป้าให้โดนวิพากษ์วิจารณ
"คนอ่านเขาก็วิจารณ์ ผู้ชมเขาก็วิจารณ์ ว่าสื่อมวลชนไม่เป็นกลาง ซึ่งเหตุการณ์อย่างนี้มันไม่น่าเกิดขึ้นได้ ประชาชนไม่น่าจะมาติฉินนินทาสื่อมวลชน เพราะโดยหลักการของวารสารศาสตร์ สื่อมวลชนคือส่วนหนึ่งของประชาชน สื่อมวลชนไม่สามารถแยกตัวเองออกจากประชาชนได้ แต่ทำไมประชาชนถึงเริ่มติติงและวิพากษ์วิจารณ์สื่อ แสดงว่าสื่อมวลชนกำลังแยกตัวเองออกจากประชาชนหรือเปล่า และยิ่งคุณแยกออกจากประชาชนไปมากเท่าไหร่ คุณก็จะไปเกาะเกี่ยวกับรัฐบาล เกาะเกี่ยวกับนายทุน เกาะเกี่ยวกับองค์กรใครต่อใคร คุณลืมประชาชนหรือเปล่า"
อาจารย์มองเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมาอย่างไร
"ขอแยกเป็น 2 ระดับนะ มองการทำงานของสื่อในสังคมไทยตั้งแต่ 19 กันยาเป็นต้นมา นั่นคือระดับที่หนึ่ง อีกระดับหนึ่งมองอย่างกว้าง"
"ในแง่ของความเป็นสื่อ เราต้องยอมรับว่าทุกวันนี้สื่อมีอิทธิพลต่อสังคมมาก ทั้งสื่อโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ถึงแม้ว่าจะมีคนดูโทรทัศน์มากกว่าอ่านหนังสือพิมพ์ แต่ส่วนใหญ่ก็ดูละคร ในด้านการเมืองหนังสือพิมพ์มีบทบาทมาก เพราะหนังสือพิมพ์สามารถจะวิเคราะห์เจาะลึก สามารถให้รายละเอียดได้มากกว่า และหนังสือพิมพ์เป็นสื่อที่คงทน อยู่ตรงไหนก็อ่านได้"
"เมื่อสื่อมวลชนมีบทบาทต่อสังคมมาก โดยเฉพาะในทางการเมือง มันก็จะมีบุคคล กลุ่มบุคคล ซึ่งในที่นี้เรียกว่าแหล่งข่าว เขาก็มองเห็นช่องทางในการที่จะสร้างอำนาจหรือสร้างประโยชน์ และเขาก็มองเห็นว่าถ้าเขาสามารถเอาสื่อมวลชนไว้ในมือได้ เขาก็จะได้ประโยชน์ แหล่งข่าวบางคนจึงคิดที่จะเอาสื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างอำนาจสร้างประโยชน์ให้ตัวเอง อันนี้เป็นสิ่งที่สื่อมวลชนต้องระวังตัว เพราะว่าเราอาจจะถูกแหล่งข่าวหลอกใช้เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นบางครั้งเราก็ต้องยอมรับว่า รู้ว่าเขาหลอกก็ต้องให้เขาหลอกเหมือนกัน"
"ในวิกฤติทางการเมืองขณะนี้มีคน 2 ฝ่ายที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน ตอนแรกก็ไม่ได้สุดโต่งขนาดนี้นะ แต่อยู่ไปๆ มันเหมือนจะยิ่งห่างออกไป และมันสุดโต่งพูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว ในสถานการณ์อย่างนี้สื่อมวลชนจะทำอย่างไร เมื่อวันพฤหัสบดีนั่งฟังคุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ท่านพูดในสภาฯ ท่านพูดถึงบทบาทของสื่อรัฐว่ารัฐจะไม่แทรกแซง จะทำทุกอย่างเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ รัฐต้องการความสมดุลรอบด้าน จะไม่ปล่อยให้มีสื่อทางเดียว สื่อที่จะยั่วยุให้เกิดความรุนแรง และท่านก็บอกว่าบทบาทของสื่อคือ สื่อต้องเปิดพื้นที่อันกว้างขวาง เพื่อบริการข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชน สนองเจตนารมณ์ของรัฐ-อันนี้ชักจะยังไงแล้ว ทำไมไม่สนองเจตนารมณ์ของประชาชน ชักสะดุด"
"สื่อจะต้องช่วยคลี่คลายสถานการณ์ และสื่อต้องบอกข้อเท็จจริงด้วยความโปร่งใส นี่คือหลักวารสารศาสตร์ ถ้าฟังแล้วท่านสาทิตย์พูดถูกต้องแล้ว แต่เราจะมาพูดกันถึงแว่นสายตาสีต่างๆ คนที่ใส่แว่นสีเหลืองมองอะไรเห็นสีเหลืองหมดเลย และคนที่ใส่แว่นสีแดงเห็นอะไรก็เป็นสีแดง สมมติคุณสาทิตย์ใส่แว่นสีเหลือง-ท่านไม่ได้ผิดนะ แต่ท่านใส่แว่นสีเหลือง ฉะนั้นเวลาที่ท่านพูดว่าท่านจะเปิดพื้นที่อันกว้างขวาง มันก็คือพื้นที่อันกว้างขวางที่ท่านมองจากแว่นสีเหลืองของท่าน ถูกไหม เท่าที่แว่นสีเหลืองจะสามารถมองเห็นได้ เมื่อท่านมองด้วยแว่นสีเหลืองมันก็เลยคล้ายๆ กับว่าเป็นพื้นที่อันกว้างขวางเท่าที่รัฐมองเห็น และอนุญาตให้สื่อสามารถนำเสนอได้ นี่พูดกันถึงเรื่องสีของแว่น"
"ถ้าจะพูดกันเรื่องความเที่ยงธรรม ความสมดุลของข่าว ก็อีกนั่นแหละ พอท่านใส่แว่นสีเหลือง มันก็คือความเที่ยงธรรม และความสมดุลในสายตาของท่านว่าจะต้องเสนอข่าวอย่างนี้นะ จึงจะถือว่าเป็นข่าวที่เที่ยงธรรมเป็นกลางและมีความสมดุลโปร่งใส ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าโดยทั่วไปรัฐดูเหมือนจะเป็นผู้ผูกขาดความถูกต้อง นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง นี่คือสิ่งที่ประชาชนควรจะต้องรู้ ท่านมีความปรารถนาดีนะ มีเจตนารมณ์ที่ดี และท่านก็บอกสื่อว่า-ท่านจะแทรกแซงสื่อหรือไม่ก็ไม่รู้-ท่านก็บอกว่าควรจะเสนอข่าวแบบนี้ อย่าไปเสนอข่าวที่ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง"
"เวลาท่านใช้คำว่าอย่าเสนอข่าวที่ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง ท่านหมายถึงข่าวฝั่งทางโน้นใช่ไหม แต่เวลาที่ท่านพูดแม้ท่านจะใช้ถ้อยคำที่ราบเรียบสุภาพ แต่ถ้อยคำเหล่านั้นอาจจะยั่วยุให้เกิดความรุนแรงก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอันนี้ก็อยากจะฝากบอกสื่อมวลชนด้วย บางครั้งรัฐมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนคนที่อยู่ข้างบนมองลงมาข้างล่าง top down มองในฐานะที่ฉันเป็นรัฐ ฉันคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง สังคมนี้ควรจะเป็นอย่างนี้ ถามว่ารัฐผิดไหม ไม่ผิดหรอก แต่เขามองแบบรัฐ ประชาชนควรจะรู้อย่างนี้ นี่คือความถูกต้อง นี่คือความดีงาม นี่คือความชอบธรรม คนนั้นเลวคนนี้ดี ก็พยายามบอกประชาชน เวลาที่รัฐทำตัวเหมือนตัวเองมองจากข้างบนลงล่าง มันก็เลยเหมือนผู้มีอาวุโสกับผู้ด้อยอาวุโส เหมือนผู้ใหญ่พูดกับเด็ก"
"อันนี้คือสังคมโบราณหรือเปล่า ไม่ใช่สังคมที่ไม่ดีนะ สังคมที่ดี เรามีจารีตประเพณี เรามีสังคมที่ดี ผู้ใหญ่กับเด็กถ้อยทีถ้อยอาศัย เด็กเคารพผู้ใหญ่ แต่ทุกวันนี้รัฐบาลก็จะติดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่และสอนเด็ก แต่เหตุการณ์โลกมันเปลี่ยนมาจนถึงปัจจุบัน คลื่นประชาธิปไตย อาจจะดีหรือไม่ดีก็ไม่รู้ แต่เขาบอกว่านี่คือระบอบการปกครองที่ดีที่สุดในโลกนี้ มันเป็นระบอบที่ว่าด้วยความเสมอภาค ภราดรภาพ ทุกคนเท่าเทียมกัน เคยทำวิจัยสังคมไทยเป็นสังคมแบบพ่อปกครองลูก เป็นสังคมพี่น้อง มีความรักใคร่ปรองดอง เราเป็นของเราอย่างนี้มา วันดีคืนดีคลื่นประชาธิปไตยก็ตูมเข้ามา และมันก็บอกว่าการปกครองแบบผู้อาวุโสปกครองผู้ด้อยอาวุโสเป็นเรื่องของเผด็จการ เพราะฉะนั้นต้องปกครองแบบประชาธิปไตย ความขัดแย้งเกิดขึ้นในสังคมไทยเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ตั้งแต่หมอบรัดเลย์เข้ามาทำหนังสือพิมพ์ เอาความคิดประชาธิปไตยเข้ามา ก็กระแทกเข้ามา แต่สังคมไทยเก่งนะสามารถยืดหยุ่นได้ ขณะที่ตัวเองมองแบบบนลงล่าง แต่อีกข้างมองแบบเสมอภาค ก็ค่อยๆ เอื้ออาทรต่อกัน เราก็อยู่ของเรามาได้จนกระทั่งปัจจุบัน"
"มีความรู้สึกว่าทุกวันนี้รัฐบาลหรือผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็ยังมองแบบนั้นอยู่ คือท่านอยู่บนหอคอยแล้วท่านก็มองลงมาด้วยความปรารถนาดี แต่คนที่อยู่ข้างล่างเริ่มเรียกร้อง และก็เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี มันมีสื่อมากมาย เขาได้รับข้อมูลข่าวสารมากมาย เขาก็เริ่มที่จะมีความต้องการที่หลากหลาย เขาเริ่มที่จะไม่ได้เป็นแค่ผู้บริโภคข่าวสาร แต่เขาเป็นผู้สร้างข่าวสารด้วย เขามีเว็บไซต์ เขาเข้าไปแลกเปลี่ยนความเห็น เขาสร้างสื่อ เขาผลิตซีดี เมื่อก่อนเขาเป็นผู้บริโภคสื่ออย่างเดียว พอเหตุการณ์มันผ่านไปเขาเริ่มมีบทบาทมีอำนาจมากขึ้น เขาเริ่มเรียกร้องมาขึ้น เขาเริ่มมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ขณะที่ผู้ใหญ่บอกเขาว่าเอ็งยังโง่อยู่ เอ็งไม่รู้ คนข้างล่างเขาก็บอกว่าบางทีฉันฉลาดกว่าเธออีก ฉันรู้เพราะฉันอ่าน ฉันเข้าถึงข่าวสารมากมาย"
"เพราะฉะนั้นสิ่งที่พยายามจะบอกคือ ถ้าท่านเป็นผู้ใหญ่แล้วท่านใส่แว่นตาสีเหลือง แล้วคนเหล่านี้ใส่แว่นตาสีแดง เขาก็มองเห็นแบบคนใส่แว่นเหลืองนั่นแหละ คือเขาก็จะมองเห็นในปริมณฑลของสีแดง เขาก็จะพูดจากับคนที่เป็นสีแดงด้วยกัน เขาก็จะบริโภคข่าวสารที่เขาไม่เจ็บปวด ถ้าอ่านไทยโพสต์เจ็บปวดเขาก็จะไม่อ่าน เขาก็จะไปอ่านอะไรก็ตามที่ไม่เจ็บปวด เขาก็จะซึมซับเอาวาทกรรมต่างๆ ถ้อยคำต่างๆ อุดมการณ์ต่างๆ แลกเปลี่ยนกันในเพื่อนพ้องน้องพี่ทั้งหลายในปริมณฑลแห่งสี ดื่มด่ำในปริมณฑลแห่งสี รับฟังและก็ผลิต แลกเปลี่ยนข่าวสารกันในปริมณฑลแห่งสี มันก็เกิดอารมณ์ที่ดื่มด่ำไปกับสี จนกระทั่งไม่ว่าจะทำอย่างไรคุณก็ไปดึงเขาออกมาจากสีแดงไม่ได้ เพราะมันเป็นความเชื่อแล้ว มันเป็นอุดมการณ์ไปแล้ว พอมีคนมาบอกว่าพวกเขาโง่ พวกเขาไม่มีอุดมการณ์ ถูกจ้างมา แล้วเขาจะคิดอย่างไร สมมติรัฐบอกว่าคนกลุ่มสีแดงเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นคนชอบความรุนแรง ขณะเดียวกันก็ปิดกั้น ที่ท่านสาทิตย์บอกว่าเปิดพื้นที่อันกว้างขวางของท่าน แต่บังเอิญว่าพื้นที่อันกว้างขวางของท่านเป็นพื้นที่เพื่อบริการข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนเพื่อสนองเจตนารมณ์ของรัฐ และบังเอิญคนสีแดงทั้งหลายเขาไม่ได้สนองเจตนารมณ์ของรัฐก็เลยขึ้นมาพื้นที่นี้ไม่ได้ ขึ้นได้แต่ก็ยากมาก ในขณะที่รัฐครอบคลุมสื่อเกือบทุกชนิด"
"ที่ไม่สบายใจก็คือหลายๆ ครั้ง คนของรัฐบาลออกมาให้สัมภาษณ์ในทำนองเหมือนกับให้ร้ายป้ายสีเสื้อแดง จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจไม่รู้ มันสร้างความเจ็บปวดและมันสร้างศัตรู การที่เราใช้ถ้อยคำเสียดสีทิ่มแทงคนอื่น มันเหมือนน้ำหยดลงหิน มันค่อยๆ ร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนเขาโกรธว่าทำไมมาว่าเขา เขาโกรธว่าทำไมมาปิดกั้นสื่อเขา แล้วมันจะนำไปสู่ความรุนแรง ตรงนี้กลัวมากเลย เปิดทีวีเจอท่านโฆษกคนนี้พูด คนนั้นพูด ไม่ดีนะ เพราะถ้าเขาสั่งสมความโกรธมากๆ มันจะพาประเทศไปสู่ความหายนะ"
สื่อดรามา
อ.สุกัญญาชี้ว่า บทบาทของสื่อคือควรจะ play it deep ทำข่าวลึก play it round ทำข่าวรอบด้าน play it soft ทำข่าวรอบคอบ อย่าหาแพะ play it fair ทำข่าวอย่างเที่ยงธรรม และ play it wise ทำข่าวด้วยปัญญา
"สื่อควรจะ play it deep เล่นข่าวลึกเท่าที่จะลึกได้ เข้าใจดีในข้อจำกัด แต่เราพยายามเจาะให้ลึกให้ได้ จริงๆ แล้วสื่อก็คือมนุษย์ธรรมดา ย่อมมีโกรธ มีชอบไม่ชอบ อันนี้เป็นปกติของมนุษย์ เราทุกคนมีอารมณ์ทั้งนั้นแหละ บางครั้งสื่อก็บอกว่าผมต้องเลือกข้าง เคยมีลูกศิษย์มาถามเหมือนกันนะ สื่อเลือกข้างได้ไหม ก็บอกว่าบางครั้งสื่ออาจจะเลือกข้างได้นะ เพราะในต่างประเทศสื่อเขาก็เลือกข้างเหมือนกัน แต่ให้รู้ว่าการเลือกข้างนั้นเสี่ยง เสี่ยงมาก เพราะพอเราเลือกข้างปุ๊บเราจะเกิดอคติ พอเราเอาความรักและความเกลียดเป็นตัวตั้ง มันทำให้สื่อไม่สามารถจะลงลึกได้ในสิ่งที่ควรลึก ไม่สามารถลงรอบได้ในสิ่งที่ควรจะรอบด้าน ไม่สามารถที่จะรักษาความเที่ยงธรรม คือความแฟร์ ในที่ที่ควรจะเที่ยงธรรม หลายๆ อย่างเราไม่สามารถจะทำได้ เพราะว่าเรามีความรักและความเกลียดเป็นตัวตั้ง"
"เรื่องความเป็นกลางของสื่อมวลชน จริงๆ แล้วเป็นข้อที่ถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากเลยว่าสื่อมวลชนไม่ใช่ก้อนหินนะถึงจะเป็นกลางได้ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยหรือต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ต้องมีอารมณ์ทั้งนั้นแหละ แต่ปัญหาของสื่อมวลชนอยู่ที่เรามีภาระหน้าที่ที่คนอื่นไม่มี เรามีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่มหาศาลที่คนอื่นไม่มี สื่อมวลชนแบกสังคมไว้ทั้งสังคม คุณต้องมีความรับผิดชอบมากกว่าคนอื่น มีคนเคยถามว่าทำไมสื่อต้องมีความรับผิดชอบอะไรมากมาย มีจรรยาบรรณเยอะแยะไปหมด ก็บอกว่าหมอรับผิดชอบแค่คนไข้ใช่ไหม ตำรวจรับผิดชอบแค่งานตัวเองไปจับผู้ร้าย แต่สื่อมวลชนต้องรับผิดชอบทั้งสังคม เพราะคุณมีส่วนที่จะทำให้สังคมนี้เป็นสังคมพึ่งพาตัวเองได้หรือไม่ เป็นสังคมที่มีวิจารณญาณหรือไม่ หรือเป็นเพียงสังคมที่ไหลลอยไปตามกระแสของเหตุการณ์ เดี๋ยวก็เกลียดคนนี้เดี๋ยวก็รักคนนั้น เดี๋ยวก็ร้องไห้เดี๋ยวก็หัวเราะ"
"สื่อมวลชนสนองแค่ความรู้สึกของคน หรือสื่อมวลชนจริงๆ แล้วมีหน้าที่สนองสติปัญญา สื่อมวลชนต้องให้ความรู้แก่สังคม หรือสื่อมวลชนพึงให้แค่ความรู้สึกแก่ประชาชน ถ้าสื่อมวลชนให้เพียงแค่อารมณ์ความรู้สึกที่พร้อมจะเปลี่ยนเป็นความชื่นชมเป็นการดูถูก นั่นก็คือเรากำลังมีส่วนหรือเปล่าที่จะทำให้ผู้คนในสังคมไหลไปตามกระแส ไหลลอยไป ไหลไปไหนก็ไม่รู้ และไม่รู้ว่าจะออกไปที่ไหน หาทางออกไปที่ไหนก็ไม่เจอ วันก่อนนั่งในสภาฯ 2 ฝ่ายก็ยกข้อมูล 2 ด้านมาชนกัน เหมือนเราอยู่ในเหวนะ ไม่รู้จะออกไปทางไหน อะไรก็ตามที่มันสนองแค่อารมณ์และความรู้สึก มันทำให้เรามองไม่เห็นทางออก แต่ถ้าสื่อมวลชนมีบทบาทหน้าที่ในการให้ความรู้แก่ประชาชน เขาจะมีสติปัญญาที่จะช่วยกันแสวงหาทางออก อันนี้คือสิ่งที่อยากจะขอจากสื่อมวลชน"
สื่อคิดว่าตัวเองมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย อย่าง 14 ตุลา พฤษภา ไล่รัฐบาลมาทุกชุด สื่อจึงคิดว่าตัวเองควรมีบทบาทชี้นำสังคม
"สื่อชี้นำได้นะแต่ในระดับหนึ่ง สื่อไม่ใช่ผู้พิพากษาว่าคนนี้ดีคนนี้เลว สังคมควรไปทางนี้ สังคมอย่าไปทางโน้น ท่านเป็นได้แค่สื่อกลางเท่านั้น บางทีเราต้องบอกตัวเองนะ ความที่เรามีอำนาจมากๆ บางครั้งเราก็หลุดเหมือนกัน เอ๊ะนี่ฉันล้มรัฐบาลได้ นี่ฉันทำอะไรต่ออะไรได้มากมาย อย่ากระนั้นเลยฉันจะทำต่อไป มันไม่ค่อยถูกหรอก เพราะเราต้องเลือกก่อนว่าเราจะอยู่ในสังคมอะไร ถ้าเราจะอยู่ในสังคมประชาธิปไตย ถ้าเราคิดว่าเราคือสื่อในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนเป็นตัวตั้ง สังคมนี้จะไปทางไหน รัฐบาลนี้จะดีจะเลวอย่างไร สื่อมีหน้าที่วิ่งไปบอกประชาชน ในกรณีคอรัปชั่น เจ้านี่คอรัปชั่น เจ้านี่ทำ
ให้ประเทศชาติเสียหาย รัฐบาลทำไม่ดี หน้าที่ของสื่อวิ่งไปบอกประชาชน คุณก็ทำไปให้ประชาชนทราบ หน้าที่ของการไล่รัฐบาลอยู่ที่ประชาชน อาจจะโดยผ่านการเลือกตั้ง หรือโดยการประชามติหรืออะไรก็แล้วแต่ มันเป็นหน้าที่ของประชาชน นี่พูดถึงหลักการวารสารศาสตร์ว่าหน้าที่ของสื่อมวลชนคืออะไร"
"สื่อมวลชนเกิดขึ้นมาได้เพราะประชาชน เจ้านายที่ท่านจะต้องจงรักภักดีคือประชาชน เพราะมันเกิดสงครามปฏิวัติในยุโรป หลังจากประชาชนชนะเกิดระบอบประชาธิปไตยสมัยศตวรษที่ 18 ประชาชนบอกอย่ากระนั้นเลยฉันจะเอาสื่อมวลชน หนังสือพิมพ์ มาเป็นเครื่องมือให้ข่าวสารกับฉัน นี่ประชาชนเป็นคนบอก ให้ข่าวสารให้ความรู้กับฉัน พอรู้แล้วฉันจะเป็นคนตัดสินเองว่ารัฐบาลนี้จะอยู่หรือจะไป เพราะฉะนั้นหน้าที่ของ media มัน media จริงๆ คืออยู่ตรงกลาง หน้าที่แท้ๆ ของคุณจะออกห่างประชาชนไม่ได้ คุณไปอิงรัฐบาลไม่ได้ คุณต้องอิงกับประชาชน ก็คือต้องไปบอกประชาชนว่าขณะนี้เป็นอย่างนี้ ท่านเลือกเอาเองนะ ประชาชนเลือกเอาเองว่าจะไปทางไหน สังคมประชาธิปไตยขึ้นอยู่กับประชาชน ถามว่าแล้วประชาชนจะสร้างระบอบ
ประชาธิปไตยที่ดีได้อย่างไร สำหรับระบอบประชาธิปไตยหน้าที่ของประชาชนก็คือทำให้สังคมของพวกเขาดีขึ้น ทำอย่างไรสังคมที่เขาใช้ชีวิตอยู่ถึงจะอยู่ดีและสุข หน้าที่ของสื่อคุณต้องไปบอกเขาว่าตอนนี้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ๆ เขาก็เลือกวิถีทางของเขาเอง นี่คือสื่อในระบอบประชาธิปไตย"
"โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมตอนนี้ชุลมุนวุ่นวาย ประชาชนสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น หน้าที่ของสื่อมวลชนที่มองเห็นขณะนี้ อยากให้ลดเรื่องอารมณ์ความรู้สึกทั้งหลายลง แล้ววิเคราะห์เจาะลึกให้มากขึ้น รอบด้านมากขึ้น เอาข้อมูลมาตีแผ่เชื่อมโยงให้เห็นว่าขณะนี้มันเกิดอะไร เท่าที่เราจะสามารถนำเสนอได้ จะเป็นคุณูปการกับประชาชนเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าทุกวันนี้คนสับสนไม่รู้ว่าเรื่องจริงคืออะไร เพราะทุกคนที่ออกมาพูดของผมจริงทั้งนั้น รัฐบาลก็บอกว่าเขาเรื่องจริง คนเสื้อแดงก็บอกว่าของเขาคือเรื่องจริง มันก็เป็นเรื่องจริง 2 ด้าน ต่างคนต่างก็เล่าความจริงครึ่งเดียว สื่อมวลชนอาจจะต้องเชื่อมโยงเรียงร้อยข้อมูลทั้งหลาย"
"ทุกวันนี้ข่าวสารค่อนข้างจะกระโดดไปกระโดดมา เมื่อมีเหตุการณ์ใหม่เกิดขึ้นก็เสนอเหตุการณ์ใหม่ เรื่องเก่าก็ลดความสำคัญลง มันกระโดด เราเป็นสื่อเราอยู่ท่ามกลางข้อมูลข่าวสาร เรามีหน้าที่จะต้องเรียงร้อยข้อมูลให้ประชาชนเห็น เอาไปแบไว้เบื้องหน้าประชาชน ให้เขาตัดสินกันเอง สิ่งที่เรียกร้องจากสื่อก็คือ อยากให้มีการวิเคราะห์เจาะลึกรอบด้านมากขึ้น สิ่งที่เรียกร้องจากรัฐบาลก็คือ อยากให้ช่วยลงมามองในสายตาสีแดงเขาบ้าง ดูซิจะเห็นอะไร ลงมาอยู่ในระนาบเดียวกับประชาชนบ้าง ไม่ใช่พอเป็นรัฐบาลแล้วก็ขึ้นไปอยู่บนหอคอย คิดในแนวขนานบ้างอย่าคิดในแนวตั้งอย่างเดียว บางทีการที่เราไปสวมแว่นสีอื่น เราจะมองเห็นภาพอื่นๆ แล้วเราจะเข้าใจความต้องการอันหลากหลายมากขึ้น"
สื่อไทยเหมือนมีความรู้สึกว่าประชาชนไม่ตื่นตัว เราเลยตัดสินเอง และการเล่นข่าวของสื่อก็จะออกแนวดรามา
"dramatize มีพระเอก มีผู้ร้าย มีเรื่องอะไรต่ออะไรตื่นเต้นมากมาย"
"จริงๆ แล้วสื่อเราจะยกตัวสูงกว่าประชาชนไม่ได้ เราจะมองว่าประชาชนโง่กว่าเราไม่ได้ เช่นเดียวกับรัฐบาลมองประชาชนโง่ จริงๆ แล้วเขาอาจจะฉลาดกว่าเรานะ สื่อมวลชนบางครั้งอยู่กับข้อมูลเยอะ เราก็นึกว่าประชาชนไม่รู้ โอเคเรื่องที่ท่านรู้ประชาชนอาจไม่รู้ แต่ประชาชนอาจจะรู้ในเรื่องที่ท่านไม่รู้ก็ได้ เพราะฉะนั้นยิ่งเราเป็นสื่อ เราไม่ควรวางตัวอยู่เหนือประชาชน จริงๆ แล้วเราคือผู้รับใช้ประชาชนไม่ใช่หรือ สื่อจะต้องรับใช้ประชาชน เพราะฉะนั้นอย่างน้อยเราต้องอยู่ในระนาบเดียวกับประชาชน จำเป็นอย่างยิ่งที่สื่อมวลชนจะต้องไปสวมแว่นสีของประชาชน เพื่อที่จะเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของประชาชน แม้จะเป็นกลุ่มที่ท่านคิดว่าไม่มีคุณภาพหรืออะไรก็แล้วแต่ บางครั้งถ้าเราเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือเราพยายามไปเป็นเขา บางทีเราจะมีความเข้าใจเขามากขึ้น"
ตัวอย่าง2 มุม
อ.สุกัญญายกตัวอย่าง เอเมอรี คิง บรรณาธิการข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 แห่งดีทรอยต์ ซึ่งเมื่อตอนเกิดเหตุจลาจลจากความขัดแย้งระหว่างคนผิวขาวกับผิวดำในแอลเอ. เมื่อปี 1992 ดีทรอยต์เป็นเมืองที่เคยมีความขมขื่นจากการแยกผิว คนผิวดำเคยลุกฮือเผาบ้านเผาเมืองเมื่อปี 1967 สถานีช่อง 4 จึงต้องใช้วิจารณญาณอย่างมากในการเสนอข่าวจลาจลที่แอลเอ.ในแนวทางเพื่อสร้างสันติภาพ มากกว่าจะสร้างสงครามกลางเมือง โดยส่งนักข่าวลงไปสัมภาษณ์คนในเหตุการณ์เมื่อ 25 ปีที่แล้ว ในแนวของการมองเพื่อนร่วมชาติต่างผิวเชิงบวก
"เมื่อเกิดเหตุขึ้นมาเขาก็ส่งนักข่าวทั้งผิวดำ-ผิวขาวลงไปทำข่าว ผ่านสายตาอันหลากหลาย ดูซิว่าจะเห็นอะไร ตรงนั้นทำให้ได้ไปรับอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนทุกกลุ่มที่มีความหลากหลาย การนำเสนอข่าวสารก็เลยหลากหลายรอบด้าน ความหลากหลายและรอบด้านถูกนำเสนอครั้งแล้วครั้งเล่า เอามาเสนอติดๆ กันเป็นเวลาหลายๆ วัน เป็นการเน้นย้ำข่าวสารของความรักความเมตตาที่เพื่อนมนุษย์มีต่อกัน อันนี้คือบทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชนในเชิงบวก"
ตัวอย่างตรงข้ามคือสื่อรวันดา ที่ปลุกระดมให้คนต่างเผ่าฆ่ากันจนเกิดสงครามกลางเมือง
"รวันดาเป็นเรื่องของ 2 ชนเผ่า คือฮูตูกับตุซซี ฮูตูเป็นรัฐบาล ตุซซีเป็นประชาชน ซึ่งขัดแย้งกัน ความขัดแย้งกันตอนแรกมันก็เป็นแค่วิวาทธรรมดา แต่ตอนท้ายนี่ร้าวลึก โดยการกระทำของสื่อมวลชนที่เสนอข่าวด้านเดียว โจมตีด่าทอเสียดสี ปิดกั้นสื่อของฝ่ายตุซซีทุกประการ และนำเสนอวาทกรรมที่ว่าฆ่าคนชั่วไม่ผิด ก็คล้ายๆ กับที่เรากำลังพูดนี่แหละ ไอ้นี่มันชั่วไอ้นี่มันไม่ดีเพราะฉะนั้นฆ่ามันเสีย ผลที่เกิดขึ้นก็คือมีคนตายประมาณ 5 แสนถึง 1 ล้านคน โดยที่นักวิเคราะห์บอกว่า สื่อมวลชนเป็นตัวจักรสำคัญที่ก่อให้เกิดการสังหารหมู่ในครั้งนั้น"
"เป็นโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายมาก ยูเอ็นต้องส่งกองทัพเข้าไป ท้ายที่สุดพวกฮูตูก็ถูกขับไล่ออกนอกประเทศ อพยพข้ามประเทศ รัฐบาลฆ่าเขาแล้วตัวเองก็แพ้ ออกนอกประเทศแล้วก็ไปสร้างความร้าวฉานทั้งภูมิภาคในแถบนั้น ทุกวันนี้รวันดาก็ยังไม่สงบสุข ข้อเตือนใจสำหรับเหตุการณ์ในรวันดาก็คือบทบาทของสื่อมวลชน ที่พิพากษาว่าคนนี้ถูกคนนั้นผิด และการพิพากษานั้นเมื่อใช้วิธีการนำเสนอข่าวแบบข้างเดียว นำเสนอข่าวที่เต็มไปด้วยอคติ สร้างความโกรธแค้นรุนแรง ท้ายที่สุดทำให้เกิดโศกนาฏกรรม อันนั้นยกให้เป็นตัวอย่าง มันคงไม่เกิดกับประเทศไทยหรอก แต่ก็ระวัง"
"บางครั้งเวลาเราเป็นสื่อ เราก็เรียนว่าหมากัดคนไม่เป็นข่าว คนกัดหมาเป็นข่าว เราก็เอาแต่เรื่องที่มันแปลกประหลาด ตื่นเต้น ความขัดแย้ง มันก็เป็นการสร้างอารมณ์ความรู้สึกในข่าว ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ขณะเดียวกันสังคมมันไม่ได้มีแต่ด้านลบ ไม่ได้มีแต่ความเกลียดชัง อยุติธรรม สังคมมันก็มีด้านดี ทำไมเราไม่นำสิ่งเหล่านั้นมานำเสนอในสังคมที่กำลังอยู่ในภาวะความแตกแยกอย่างมโหฬารในขณะนี้บ้าง อันนี้ไม่ใช่หมายความว่าให้สื่อไปเสนอข่าวเชิงบวกทั้งหมด แต่หมายความว่าอย่าละเลยการนำเสนอข่าวสารที่จะสะท้อนบริบทในด้านดีของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และถ้าการนำเสนอข่าวแบบนี้ที่รอบด้านที่ลงลึกหลากหลาย มันจะเป็นประโยชน์ทำให้สังคมนี้ดีขึ้น นั่นเป็นสิ่งที่สื่อมวลชนควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะเป้าหมายของระบอบประชาธิปไตยก็คือทุกคนต้องช่วยกันทำให้สังคมนี้ดีขึ้น และสื่อมวลชนถือว่าเป็นแสงสว่างในความมืด ท่านสามารถเป็นแสงสว่างได้ แต่ท่านก็สามารถเป็นอาวุธได้เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะเป็นอะไร ถ้าท่านเป็นแสงสว่างท่านต้องให้ความรู้เขา เขาก็จะมองเห็นทางออกที่ปลายอุโมงค์ แต่ถ้าท่านให้อาวุธเขาเพื่อไปฆ่ากัน มันก็เป็นเรื่องที่สื่อมวลชนต้องตัดสินใจ"
แต่ตอนนื้สื่อส่วนใหญ่นำเสนอเพื่อเอาชนะ เพราะเราเลือกข้างไปแล้ว
"ท่านเลือกข้างได้ แต่ท่านกรุณาถอยจากข้างท่านแล้วมาดูข้างอื่นบ้าง ถ้าสื่อไทยลดการทำข่าวแบบสัมภาษณ์คนนี้ที แล้วมาถามคนนี้ที-ตอนนี้ข่าวจะนำเสนอแบบนี้เยอะมาก เวลาอ่านข่าวก็เลยจะดูแต่หัวข้อ มันเหมือนกับเอาคำพูดของคนมาต่อๆ กัน อ่านจบแล้วก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จะเป็นคุณูปการกับดิฉันมากเลยถ้าสื่อจะทำข่าวแบบเล่าเหตุการณ์เกิดอะไรขึ้น Who What When Where Why How มันเกิดอะไรขึ้น ขณะนี้คนกลุ่มหนึ่งกำลังคิดอะไร คนอีกกลุ่มกำลังคิดอะไร ข้อเสนอทางออกของคนนี้คืออะไร ทำไมเขาถึงคิดอย่างนี้ จะเป็นคุณูปการต่อผู้อ่าน"
การพาดหัว สรุป ชี้นำ ที่จริงก็เป็นมานานแล้ว
"อะไรที่เป็นอยู่แล้วเราเห็นว่ามันน่าจะไม่ดีนะ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้"
ในวิกฤติครั้งนี้ สื่อส่วนใหญ่ตัดสินใจเลือกข้างแล้วว่าจะไล่ทักษิณ ซึ่งอันที่จริงก็เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ไล่ถนอม ไล่สุจินดา ไล่ชวน ไล่จิ๋ว ไล่บรรหาร สื่อก็คิดว่าการเลือกข้างไม่ได้ผิดอะไร แต่ครั้งนี้มันยืดเยื้อ
"มันลงจากหลังเสือไม่ได้หรือเปล่า คือไล่แล้ว แต่ครั้งนี้ถ้าทักษิณเป็นสิงโต หางสิงโตมันติดไฟ ลากไปเผาบ้านเผาเมือง ในอดีตสิ่งที่เราทำไม่ได้ ทำให้เกิดมหันตภัยร้ายแรงขนาดนี้ แต่ทุกวันนี้รัฐบาลถูกวิจารณ์ว่าจะจับหนูตัวเดียวเผาบ้านทั้งหลัง ถ้าสื่อคิดว่าฉันจะต้องไล่ทักษิณให้ได้ หนูตัวนั้นกำลังทำให้ไฟเผาเมือง บางครั้งเราอาจจะต้องทำอะไรสักอย่างหรือเปล่า ก็ทิ้งไว้ให้สื่อพิจารณากันเอง มีความเชื่อในวิจารณญาณของสื่อมวลชน คนในวงการสื่อก็รู้จักหลายคน แต่บางครั้งเรากำลังวิ่งเกาะกระแสไปเรื่อยๆ แต่ต้องคิดว่าจะพาลงเหวหรือเปล่า หรือขับรถไปเครื่องมันกำลังรวน สิ่งที่ควรทำต้องชะลอใช่ไหม ไม่ใช่ดันทุรังแล้วขับไปอย่างนั้น หยุดคิดสักนิดแล้วมาช่วยกัน บางทีอาจจะถึงเวลาแล้ว เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตามปัญหาเศรษฐกิจมาถึงเราแน่นอน และถ้าเรายังเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่แค่เราจะล้าหลังประเทศเพื่อนบ้าน แต่เราจะพังกันทั้งประเทศ"
มหาวิกฤติ
ทำไมไล่ทักษิณไม่เหมือนไล่คนอื่น ทำไมวิกฤติครั้งนี้จึงจบยาก อ.สุกัญญาบอกว่าเพราะเป็นมหาวิกฤติ
"ดิฉันเรียกปรากฏการณ์นี้ว่าเป็น มหาวิกฤติในสายพานแห่งการเคลื่อนไปของสังคม ในเครื่องจักรของสังคมที่กำลังแล่นไปมันมีสายพานทางการเมือง สายพานทางเศรษฐกิจ สายพานทางสังคม สายพานทางสื่อ เมื่อก่อนมันก็ไปด้วยกันดี แต่การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้โลกก้าวไปสู่โลกาภิวัตน์ มันส่งผลกระทบสายพานทั้ง 4 ตัว ในทางด้านเศรษฐกิจจะเห็นได้ว่าเกิดระบบทุนนิยมสามานย์ที่เรียกกัน และเราจะมองเห็นความต้องการของรากหญ้าที่ดิ้นรนจะมีอำนาจทางเศรษฐกิจมากขึ้น สายพานทางการเมืองเราจะเห็นว่ามีความปั่นป่วนมากขึ้น มันกำลังเกิดความเรียกร้องต้องการใหม่ๆ ซึ่งจะสัมพันธ์กับสายพานทางสังคมและสายพานทางสื่อ เนื่องจากประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากช่องทางที่หลากหลาย มีอินเทอร์เน็ต ยิ่งถ้ามี 3G จะยิ่งมีเทคโนโลยีในการสื่อสาร ซึ่งไปถึงประชาชนทุกคนในราคาถูก ข้อสังเกตสำหรับการเข้ามาของเทคโนโลยี อันทำให้เกิดคลื่นของโลกาภิวัตน์ยุคใหม่ก็คือ มันทำให้เกิดการแยกย่อย เกิดคนที่มีความต้องการที่หลากหลาย ขณะนี้ประชาชนกำลังมีความต้องการที่หลากหลายมากๆ และเรียกร้องความต้องการของตัวเองด้วย เช่นบอกว่ารัฐบาลแบบนี้ฉันไม่เอา ฉันอยากได้รัฐบาลอย่างโน้น เศรษฐกิจอย่างนี้ฉันไม่เอา ฉันจะเอาเศรษฐกิจอย่างโน้น และสื่ออย่างนี้ฉันไม่เอา ฉันจะเอาสื่ออีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นสังคมจะเต็มไปด้วยความต้องการที่หลากหลาย และประชาชนเรียกร้องอย่างหลากหลาย"
"อันนี้คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเป็นสิ่งที่เชื่อว่ายากจะหยุดยั้งได้ เพราะเท่าที่ดูประวัติศาสตร์ไทยมาตั้งแต่อดีต เราไม่สามารถต้านทานกระแสโลกาภิวัตน์ได้เลย เพราะฉะนั้นความเปลี่ยนแปลงในระดับรากหญ้าที่กำลังจะหลากหลายมากขึ้น ประชาชนมีความเรียกร้องต้องการมากขึ้น มันจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน"
"สำหรับสื่อแล้วเขาไม่ได้เป็นเพียงผู้บริโภค แต่เขาเป็นผู้ผลิตด้วย คือเขาสามารถจะสร้างเว็บไซต์เอง เดี๋ยวนี้เด็กๆ ทำได้เก่งกว่าเราอีก และก็มีสื่อมากมายที่เขาสามารถผลิตขึ้นมาเองได้ เขาจะเริ่มรู้สึกว่าเขามีอำนาจทางสื่อ ประชาชนเริ่มรู้สึกว่าเขามีอำนาจทางสื่อ รากหญ้ารู้สึกว่าเขามีอำนาจทางเศรษฐกิจ เมื่อก่อนรากหญ้าขึ้นอยู่กับผู้ที่อุปถัมภ์ เจ้านายขุนนาง เศรษฐีทั้งหลายจะมาชูชุบอุปถัมภ์ แต่ตอนนี้ชาวบ้านเริ่มเรียกร้อง เช่นการรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นเหตุที่คุณทักษิณได้รับความนิยม เพราะไปสนองความต้องการของชาวบ้าน"
"สิ่งต่างๆ เหล่านี้กำลังเกิดขึ้นอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไปปะทะกับมัน ไปกั้นมัน เหมือนกับมีเขื่อนจะไปปะทะไม่ให้น้ำไหล เขื่อนมันจะแตกเพราะน้ำไหลมาแรงมาก การปิดกั้นความเปลี่ยนแปลงทางสังคมในระดับโลกาภิวัตน์เป็นสิ่งที่ยากมาก นอกจากเราจะปิดประเทศ ซึ่งเชื่อว่าสังคมไทยปิดประเทศไม่ได้เพราะเราเคยตัวแล้ว เราเคยชินกับการมีเสรี เคยชินกับการอยากบริโภคอะไรก็บริโภค จู่ๆ จะไปปิดกั้นเป็นไปไม่ได้แน่ๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนคิดว่าจะปิดกั้น พอปิดกั้นปุ๊บจะมีคนไม่พอใจ มันเกิดจะเกิด 2 ชนชั้นขึ้นมา ซึ่งสังคมไทยไม่เคยเกิดนะ คือผู้กดขี่ คนที่คิดว่าตัวเองอยู่บนหอคอยและมองไปข้างล่าง พวกนี้มันโง่ อีกชนชั้นก็จะมีความรู้สึกว่าถูกกดขี่ มันจะเกิดความรุนแรง และจะเกิดการปะทะ"
"นี่คือวิกฤติ มันเป็นวิกฤติทั้งทางเศรษฐกิจ มันเป็นวิกฤติทั้งทางการเมือง มันเป็นวิกฤติทางสื่อ ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะสื่อสารมวลชน มันเกิดสื่อใหม่ๆ มหาศาล และกำลังจะลงสู่รากหญ้าในราคาถูกด้วย สังคมก็เกิดวิกฤติเพราะพ่อแม่ไม่เข้าใจลูก ลูกก็ไม่เข้าใจพ่อแม่ว่าทำไมคิดอย่างนี้ มันก็เกิด generation gap ขึ้นมา วิกฤติทั้งหลายมันรวมตัวกัน กลายเป็นมหาวิกฤติในสายพานแห่งการเคลื่อนไปของเครื่องจักรทางสังคม เป็นมหาวิกฤติใหญ่มากเลย มันจะทำให้พวกเราทุกคนมีความรู้สึกเหมือนตกลงไปในวังน้ำวน หมุนๆๆๆ เกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ สื่อก็บอกไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นอย่ากระนั้นเลย ฉันก็ไปแสวงหาข่าวสารของฉันเอง ฉันก็ใส่แว่นสีเหลือง สีแดง สีฟ้า เลือกข่าวสารที่ตัวเองต้องการ แสวงหาเอง ต่างคนต่างก็ว่ายน้ำกระเสือกกระสนหาทางรอด และก็ต่างคนต่างจะยิ่งเอาตัวรอด แล้วมหาวิกฤตินี้จะพาเราไปไหนก็ไม่รู้ มันจะสร้างหายนะให้แก่เราขนาดไหนก็ยังไม่รู้"
วิกฤติมาเกิดตอนทักษิณพอดี ทักษิณเป็นตุ๊กตาของปัญหา
"เขาอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤติ อาจจะเป็นเพราะเทคโนโลยีทำให้เกิดคนอย่างทักษิณขึ้น ซึ่งไม่ใช่คนอย่างทักษิณคนเดียว อาจจะมีคนอื่นๆ อีกเยอะ แต่ทักษิณก็เป็นคนหนึ่ง ซึ่งอาจจะมีความคิดว่าจะเป็นอัศวินแห่งคลื่นลูกที่ 3 หรืออะไรของเขา ก็เกิดคนอย่างทักษิณขึ้นมา แล้วบังเอิญว่าคนอย่างทักษิณไปสนองความต้องการอันหลากหลายของประชาชน ซึ่งไม่เคยมีใครสนใจเขามาก่อน เมื่อก่อนเขาไม่เรียกร้องอะไร เขาขึ้นอยู่กับผู้อุปถัมภ์ แต่ตอนนี้เขากำลังต้องการและมีคนไปสนองความต้องการเขา เขาก็เริ่มเรียกร้องสิ ฉันจะเอาทักษิณ ใครจะว่ายังไง พอคนบอกให้ไม่ได้ก็โกรธไม่พอใจ ก็จะมีส่วนนี้ที่ขึ้นอยู่กับทักษิณ"
"แต่ดิฉันเชื่อว่ามีคนอีกจำนวนมากที่เคลื่อนไหวในเวลานี้ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทักษิณ แต่เขากำลังขับเคลื่อนกลไกบางอย่างเพื่อที่จะเรียกร้องอุดมการณ์บางอย่าง ที่เขาคิดว่าเป็นสิ่งที่ต้องการ อาจจะเป็นอุดมการณ์ประชาธิปไตยก็ได้ แต่เขาไม่ได้ขึ้นกับทักษิณหรอก เขาอาจจะมีความรู้สึกว่าสังคมเก่าแบบนี้มันอาจจะไปไม่ได้นะ มันอาจะมีปัญหา มันต้องเปลี่ยนแปลง เขาอาจจะลงไป join ตรงนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้นการที่เราไปชี้หน้าว่าพวกสีแดงเป็นพวกรากหญ้าทั้งหมด เป็นพวกไม่รู้เรื่อง ไม่ถูกต้อง"
ตอนนี้ก็มีความพยายามจะปิดกั้นความต้องการที่หลากหลายโดยยกเรื่องคุณธรรมความดีงาม
"เรื่องของคุณธรรมความดีงามมันเลื่อนไหลไปมาได้ ความดีระดับโลกุตระ เรื่องที่เราต้องมีศีลมีธรรม อันนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับ แต่เวลาที่มีคนบางคน คนบางกลุ่ม พูดว่านี่คือความดี นี่คือความถูกต้อง ใช่-มันเป็นความดีและความถูกต้อง และท่านก็มีเหตุผลที่จะสนับสนุนความดีและความถูกต้องของท่าน แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องยอมรับวามันยังมีความดีและความถูกต้องของคนอื่นด้วย เพราะความที่เป็นมนุษย์เรามักจะมองเห็นอะไรจากภูมิหลังที่เรามีอยู่ จากบริบทต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นตัวเรา และเราก็ยกว่านี่คือความดีงาม ส่วนนั่นคือความชั่วนะ สอนลูกอย่าทำนะ แต่อาจจะมีอีกครอบครัวหนึ่งเขาอาจจะบอกว่าสอนลูกอย่างนั้นไม่ถูกหรอก ความจริงที่ลูกเขาทำน่ะดีแล้ว เพราะมาตรฐานความดีของครอบครัวหนึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่ง เช่นอเมริกันบอกว่าลูกอายุ 18 ออกจากบ้านไปได้แล้ว ไปเผชิญชีวิตของตัวเอง ไปสร้างโอกาสของตัวเอง แล้วเจ้าจะภูมิใจที่สร้างชีวิตของเจ้าเองได้ นี่คือพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ทำทุกอย่างด้วยมือของตัวเอง แต่ครอบครัวไทยอายุ 18 ไปอยู่หอ พ่อแม่อกจะแตก เพราะฉะนั้นแค่คำว่าลูกที่ดี พ่อแม่ยังเข้าใจไม่เหมือนกันเลย"
"ฉะนั้นการที่เราคิดว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ดี สิ่งนั้นคือสิ่งที่ไม่ดี ถือว่าคนนั้นเป็นคนดีนะเพราะเขาคิดถึงความดี สื่อมวลชนถ้าคิดว่าพฤติกรรมอันนี้ บทบาทหน้าที่ของหนังสือพิมพ์อย่างนี้คือสิ่งที่ดี และอันนั้นคือสิ่งไม่ดี อันนี้ดิฉันถือว่าคือจริยธรรม เพราะเขาคิดถึงเรื่องความดี แต่เราต้องไม่คิดว่ามีแต่ความดีของเราเท่านั้นที่ถูก เพราะมันอาจจะมีอีกตั้งสารพัดความดี ซึ่งถ้าเราไปรับฟังเขา บางทีความดีของเขาอาจจะดีกว่าความดีของเราก็ได้"เหมือนเรื่องทักษิณคอรัปชั่น คนรากหญ้าก็ยอมรับแต่มองคนละมุม และสื่อหรือผู้ที่โจมตีมักจะทำให้สีเทากลายเป็นสีดำ
"เป็นเรื่องอันตรายเหมือนกัน ในการที่เราจะเล่นข่าวในทำนองขาวกับดำ พระเอกกับผู้ร้าย เพราะมันเป็นการตัดสินไปเลยว่านี่คือคนดี นั่นคือคนชั่ว ซึ่งบางครั้งคนเรามันมีทั้งดีและชั่ว อย่างกรณีคุณทักษิณท่านอาจจะมีส่วนของความไม่ดี เช่นการคอรัปชั่น สื่อหรือคนกลุ่มหนึ่งก็จะบอกว่าคุณทักษิณคอรัปชั่น เป็นนายกฯ ที่ไม่ดี คนรากหญ้าก็บอกว่าทักษิณคอรัปชั่นเหรอ นักการเมืองคนอื่นก็คอรัปชั่นเหมือนกัน ไม่เป็นไรหรอกถ้าคอรัปชั่น แต่ทักษิณมีความดีด้านอื่น เขามาช่วยฉัน มันเป็นเรื่องที่โต้เถียงกันไม่จบ นี่คือความดีของคนกลุ่มหนึ่ง และนี่คือความดีของคนอีกกลุ่ม-ปะทะกัน ถ้าเรายังมองอยู่ตรงนี้ เกรงว่าพวกเราจะพากันตกอยู่ในมหาวิกฤตินี่แหละ แล้วหาทางออกไม่ได้ ปะทะกันไปปะทะกันมา จนกระทั่งอาจจะนำไปสู่ความรุนแรงมากขึ้นกว่านี้"
"ความรุนแรงสามารถเกิดขึ้นได้ ถ้าเราซึ่งเป็นสื่อมวลชนบางครั้งเราใช้ภาษา... ดูจากงานวิจัยของเด็กปริญญาโทนะ ภาษาเป็นเรื่องสำคัญ มันปลุกอารมณ์ เราอาจจะต้องระวังกันหน่อย มันทำให้คนมีความรู้สึกว่าถูกทิ่มแทง ฉันแพ้แล้วใช่ไหม ยิ่งโกรธ จริงๆ แล้วทุกฝ่ายไม่มีใครอยากจะลงไปลึกกว่านี้ คือขณะนี้คิดว่าเราอยู่ในจุดที่น่ากลัวอยู่แล้วนะ มันลึกแล้วนะ ไม่อยากลงไปลึกกว่านี้แล้ว ถ้าเราไม่อยากลงไปลึกกว่านี้ ทุกฝ่ายก็ต้องค่อยๆ ชะลอรถคันนี้ แล้วหลายๆ ฝ่ายต้องมาช่วยกันคิด ดิฉันเชื่อในความรู้ความสามารถของคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล, ส.ส., ส.ว.และสื่อมวลชน รวมทั้งประชาชน อย่าไปดูถูกว่าเขาไม่รู้ ถึงบอกว่าบางทีเขารู้มากกว่าเรา เขาอาจจะกำลังบอกว่าจริงๆ แล้วเราไม่รู้อะไรเลยก็ได้"
เลือกข้างต้องถูกวิจารณ์
สื่อที่เลือกข้างในการไล่ทักษิณ เขาคิดว่าเป็นอุดมการณ์ที่ต้องทำ เป็นการเลือกข้างเพื่อนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
"ถ้าท่านคิดว่านี่คือการทำหน้าที่ที่ดีของสื่อมวลชน ดิฉันเชื่อว่าท่านเป็นสื่อที่ดีนะ เพราะท่านคิดว่านี่คือสิ่งที่ดีที่ท่านต้องการทำให้สังคมนี้ดีขึ้น แต่ตอนนี้เจ้าราชสีห์ตัวนี้มันลากคบเพลิงไปด้วย ท่านจะทำอย่างไรต่อไป"
เท่าที่เห็นคือพอเลือกข้างแล้วก็เอียงข้างทุกอย่าง เช่น สื่อที่ควรจะสนับสนุนประชาธิปไตยกลับสนับสนุนรัฐประหาร เป็นไปได้ไหมที่สื่อเลือกข้างแล้วจะยังรักษาจรรยาบรรณไว้ได้
"เรื่องของจริยธรรมที่สูงสุดเลยคือ จริยธรรมที่เกิดขึ้นจากสามัญสำนึกของตัวเอง สื่ออาจจะเลือกข้างเพราะคิดว่านี่คือข้างที่ดีที่สุดของสังคมไทย นั่นก็คือท่านกำลังคำนึงถึงประชาชน พันธะทางสังคม แต่มันยังมีจริยธรรมที่ลึกกว่านั้น คือมันเป็นสิ่งเราคิดว่านี่คือความดีแล้ว เราตระหนักได้ด้วยสามัญสำนึกของเราเอง มันอยู่ข้างในใจของเราเอง ถ้าท่านรู้ว่าสิ่งใดดีสิ่งใดไม่ดี ถ้าท่านเป็นห่วงว่าสิ่งที่ทำลงไปแล้วและคิดว่าดี ขณะนี้มันชักจะลึกลงไปแล้ว ก็เชื่อว่ามาจากจิตวิญญาณความเป็นสื่อมวลชนที่ตอบตัวเองว่าท่านลงลึกไปแล้ว"
"เมื่อลงลึกไปแล้ว และมันไปกระทบกับความเป็นนักวารสารศาสตร์ของท่านเอง ที่จะต้องเป็นกลางที่จะต้องไม่เข้าข้างใคร-ท่องได้เลย ต้องไม่เข้าข้างใคร ต้องรอบด้าน ต้องเป็นธรรม เวลาเข้าข้างเราจะรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม แต่เราก็กล้ำกลืนมันมา ยอมรับแม้กระทั่งรัฐประหาร ซึ่งรัฐประหารเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับประชาธิปไตย อันเป็นตัวก่อกำเนิดสื่อมวลชน ท่านกำลังไปเอาเผด็จการ ซึ่งเผด็จการนั้นในอดีตสื่อตะวันตกเขาโค่นมาแล้ว เป็นทรราช ฉันเป็นของประชาชน ฉันโค่นเผด็จการ สื่อแห่งระบอบประชาธิปไตย-นี่คือศักดิ์ศรีของสื่อมวลชน"
"แต่พอเกิดปัญหาท่านก็คงรู้ข่าวสารลึกกว่าคนอื่น แล้วท่านก็บอกว่าอันนี้เป็นสิ่งดีที่ท่านอยากจะมอบให้แก่สังคม ถึงแม้ท่านอาจจะต้องผิดจริยธรรมไปบ้าง ก็คือท่านไปเข้าข้างเผด็จการ เข้าข้างรัฐประหาร ท่านกำลังมีอคติ แต่ท่านบอกว่าทั้งหมดนี้มันเป็นเครื่องมือที่จะนำไปสู่สังคมที่ดีงาม ท่านก็เลยเลือกทำ"
"อันนี้ไม่ว่ากันนะ มันเป็นเรื่องที่ตัดสินกันได้ในสื่อมวลชนด้วยกันเอง แต่ดิฉันพูดแล้วว่าการเลือกข้างนั้นเสี่ยง ท่านเลือกได้ แต่ท่านเสี่ยง และท่านต้องยอมรับความเจ็บปวดภายหลังที่เกิดขึ้นด้วยตัวท่านเอง ถ้าเมืองนี้ถูกเผาท่านก็ต้องรับความร้อนนั้นเอง แล้วท่านมีส่วน แต่ขณะนี้เมืองยังไม่ถูกเผา ทำยังไงให้มันเย็นขึ้นล่ะ พูดได้แค่นี้แหละ"
เราเลือกข้างแล้วคงจรรยาบรรณได้ไหม เช่นเลือกไล่ทักษิณ แต่ไม่ใช่พันธมิตรฯ ทำอะไรก็เชียร์หมด แยกแยะถูกผิด มันเป็นสิ่งที่เลื่อนลอยไหม
"มันเสี่ยง และท่านจะอยู่ในจุดที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม สังคมกำลังมองว่าสื่อไม่เป็นกลาง ทุกวันนี้ท่านโดนอยู่ เขาวิจารณ์ว่าท่านไม่เป็นกลาง ท่านเข้าข้าง เวลาบางครั้งดิฉันนั่งดูทีวี คำถามที่นักข่าวป้อนแหล่งข่าว โห-มันแรงเกินไป ถามนำ และแสดงให้เห็นอคติของนักข่าว ซึ่งไม่ดีเลยนะ เราไม่สบายใจ ไม่อยากเห็นสื่อเป็นอย่างนั้น เพราะเรามีความรู้สึกว่าสื่อต้องสง่างาม เวลาเราเป็นกลางเราจะรู้สึกว่าเรามีศักดิ์ศรีนะ เราสง่างาม เราไม่เข้าใครออกใคร ฉันเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา ฉันกำลังเสนอความจริง รัฐบาลบอกว่ากำลังเสนอความจริง แต่เรากำลังจะบอกว่านั่นคือความจริงของรัฐบาล เสื้อแดงบอกว่าความจริงวันนี้ของเขาคือความจริง แต่เรากำลังบอกว่าเราจะเสนอความจริงให้รอบด้าน เสนอของทุกฝ่าย เวลาทำแบบนี้เราจะมีความสุข เราจะมีความรู้สึกว่าเราสง่างาม และนี่คือศักดิ์ศรีของสื่อมวลชน และจะไม่มีใครสามารถมาติติงวิพากษ์วิจารณ์เราได้"
"เราวิจารณ์ชาวบ้านได้ แต่พอประชาชนเขาเริ่มวิจารณ์เรา เราก็ต้องสะดุ้งแล้วละว่า เอ๊ะที่ฉันทำไปฉันคิดว่ามันถูก แต่คนอื่นเขากำลังบอกว่าฉันไม่ถูก ประชาชนผู้ที่เราคิดว่าเขาเป็นเพียงผู้บริโภคเริ่มเสียงดังมากขึ้น วิพากษ์วิจารณ์เรา และนับวันเสียงวิพากษ์วิจารณ์จะยิ่งดังมากขึ้น ถ้าดูจากเทคโนโลยีและความก้าวหน้าของการสื่อสาร เราในฐานะเป็นสื่อมวลชนที่เราคิดว่าทำดีที่สุดแล้ว ก็เชื่อนะ ในวิจารณญาณของนักหนังสือพิมพ์อาวุโสหลายๆ คน ท่านมีเหตุผลของท่าน และท่านก็เชื่อว่าท่านได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว แต่พอถูกวิจารณ์ปุ๊บเราก็ต้องฟัง เพราะเราบอกรัฐบาลต้องฟังเสียงสื่อมวลชน ประชาชนกำลังวิจารณ์เรา เราก็ต้องฟังเสียงของประชาชน ไม่รับฟังไม่ได้ ทุกวันนี้ก็เชื่อว่าสื่อเองต้องถามตัวเอง นี่ฉันกำลังทำผิดอยู่หรือเปล่า พอเราถามตัวเองและเริ่มมีความรู้สึกชักไม่มั่นใจ เราจะมีความรู้สึกว่าศักดิ์ศรี เกียรติยศแห่งฐานันดรที่ 4 ของเรามันเริ่มที่จะลดน้อยถอยลง บางทีเราต้องตั้งสติและอาจะต้องช่วยกันทำอะไรบางอย่าง"
สื่อส่วนใหญ่รู้สึกว่าในการไล่ทักษิณ ตัวเองจะไปยืนอยู่ข้างเวทีหรืออยู่นอกโลกไม่ได้ เป็นหน้าที่ที่จะต้องเลือกข้าง แต่เลือกแล้วจะตีเส้นให้อยู่ในกรอบของจรรยาบรรณและความเป็นมืออาชีพอย่างไร
"ถ้าวิธีการมีปัญหา มันเสี่ยงต่อการละเมิดจริยธรรม และมันต้องอาศัยอคติ อาศัยการเลือกข้าง วิธีการมันเสี่ยง มันก็จะทำให้เกิดผลร้ายขึ้นมาได้ นั่นเป็นสิ่งที่เราจะต้องระวัง"
"เราบอกว่าเรามีหน้าที่ต้องไล่ทักษิณ ในความรู้สึกของดิฉันคุณทักษิณก็ถูกไล่ไปแล้ว ตอนนี้อาจจะอยู่แอฟริกา แกน่ะไปแล้วอย่างดีก็ส่งเสียงตามสายมา เราประสบความสำเร็จแล้วในการไล่ แต่เรื่องมันยังไม่จบ เพราะจริงๆ แล้วเราอาจจะต้องถามตัวเราเองว่าปัญหาอยู่ที่ทักษิณจริงหรือเปล่า ทักษิณทิ้งซากอะไรไว้ มันจะเป็นสายใยของทักษิณหรือเป็นสิ่งที่ผูกพันระหว่างทักษิณกับรากหญ้า หรือมันจะเป็นอะไรบางอย่างซึ่งมองไม่เห็น มันยังมีอยู่ตรงนั้นใช่ไหม ที่คุณยังไล่ไม่ได้ คุณยังไล่สิ่งที่ประชาชนผูกพันอยู่ไม่ได้ ตัวทักษิณไปไหนแล้วก็ไม่รู้แต่สิ่งที่ประชาชนผูกพันอยู่คุณยังไล่ไม่ได้ จะไปไล่ในสิ่งที่เป็นความเชื่อเป็นความฝัน จะถูกไม่ถูกเราไม่รู้ แต่เป็นความเชื่อเป็นความฝันของเขา เรายังจะไปไล่ เกรงจะเกิดความรุนแรง และยิ่งไปปิดกั้นสื่อ ไปปิดสื่อของเขาแล้วสื่อของเรายังไม่ปิด มันสร้างความโกรธ เพราะฉะนั้นในสภาพที่เราอยู่ใกล้กองไฟขนาดนี้อย่าไปเติมเชื้อ ขอสักที ไหว้หละ"
สื่อทางเลือกที่น่ากลัว
ถ้าพูดถึงการปิด D Station ข้างเดียวก็ไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเปิดสองข้างประชันกับ ASTV ก็ต่างฝ่ายต่างปลุกอารมณ์
"สื่อทางเลือกต้องยอมรับว่าทั้ง D Station ASTV วิทยุชุมชน ประชาชนเป็นคนผลิตสื่อเอง แม้ ASTV มีคุณสนธิซึ่งก็เป็นสื่อด้วย แต่นับวันประชาชนจะยิ่งมีความสามารถผลิตสื่อมากขึ้น มันมีทั้งส่วนดีและส่วนเสีย ส่วนดีก็คือประชาชนจะเข้าถึงสื่อมากขึ้น ผลิตสื่อได้มากขึ้น ผลิตสื่อด้วยตัวเอง สามารถสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ส่วนที่ดีมีความเป็นประชาธิปไตย แต่ส่วนเสียก็คือสื่อมวลชนอย่างพวกคุณเป็นมืออาชีพ และคุณจะพูดถึงจริยธรรม จรรยาบรรณสื่อมวลชน แต่ถ้านึกถึงประชาชนทั่วไป เยาวชน ที่กำลังผลิตคลิปวิดีโอ กำลังผลิตสื่ออะไรต่างๆ มากมาย พวกเขาไม่ใช่มืออาชีพ ถ้าเขาไม่มีสิ่งใดที่จะดึงเขาไว้ในเรื่องของความรับผิดชอบในการส่งสาร จะเกิดผลกระทบรุนแรงกับสังคมไทย"
"ดิฉันไม่ได้บอกว่า D Station ไม่ปลุกปั่นไม่ยั่วยุ รู้สึกไม่ค่อยต่างกันนะ D Statio กับ ASTV มาสไตล์เดียวกัน การสร้างสื่อผลิตสื่อที่ไม่มีกลไกของความรับผิดชอบรองรับ จะเป็นผลเสียกับสังคมไทยในอนาคตอย่างแน่นอน มหาวิกฤติครั้งนี้ที่มันกำลังเกิดขึ้น และกำลังมีคนสร้างสื่อ และมันกำลัง crash กันใหญ่ ทีนี้จะแก้ไขอย่างไร มหาวิกฤติที่ใหญ่โตขนาดนี้มันเป็นเรื่องที่จะต้องมีความเปลี่ยนแปลงทั้งสังคม เศรษฐกิจ การเมือง สื่อมวลชน มันต้องมีความเปลี่ยนแปลง ปฏิรูปสังคมทั้งหมด จะปฏิรูปยังไง อย่างน้อยปฏิรูปให้ผู้คนมีศีลธรรมมากขึ้น มีคุณธรรมมากขึ้น รู้จักความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย คืออย่างไร"
"สิ่งสำคัญที่สุดของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นสังคมแห่งเสรีภาพ มีเสรีภาพในการพูดในการคิดในการทำทุกสิ่งทุกอย่าง คุณธรรมพื้นฐานของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยคือจะต้องมีความนับถือผู้อื่น เราอยู่ D Stion นับถือ ASTV อยู่ ASTV นับถือ D Station เขาก็เป็นเพื่อนมนุษย์เหมือนกับคุณ เขากำลังต้องการจะถ่ายทอดข่าวสารที่คิดว่าถูกต้อง อย่างน้อยมีความนับถือกัน เด็กๆ เยาวชนตั้งแต่เล็ก พลเมืองของประเทศที่เจริญแล้วที่เป็นประชาธิปไตย เขาสั่งสอนอบรมความเป็นพลเมืองที่ดีของระบอบประชาธิปไตย จะต้องรู้จักดำรงตนอยู่ได้ท่ามกลางความขัดแย้ง ท่ามกลางความหลากหลาย เพื่อนคนนี้คิดอย่างนี้ อีกคนคิดอีกอย่าง คุณต้องสามารถยอมทนเจ็บปวดได้ คือเจ็บปวดเกลี๊ยดเกลียดคนคนนี้โง่อะไรอย่างนี้ ต้องยอมทนรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง เพราะคนที่เราคิดว่าโง่อาจจะฉลาดกว่าเราก็ได้ในบางเรื่อง เขาอาจจะเป็นคนหาทางออกได้ก็ได้ อย่างน้อยต้องนับถือคนอื่น และต้องรู้จักยอมทนเจ็บปวดรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง"
"แต่ว่าไม่ใช่การสยบยอม เราไม่สยบยอมในสังคมประชาธิปไตย แต่เรารับฟัง เรานับถือเขา เขาเป็นเพื่อนมนุษย์เช่นเดียวกับเรา และรู้จักใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา เด็กๆ ของเราต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ ให้รู้จักคิดรู้จักใช้เหตุผล ทุกวันนี้เราตกอยู่ในอารมณ์มากเกินไป ดูละครตบตีกันมันเร้าอารมณ์นะ ผลผลิตจากสื่อมวลชนมากมายเลย เป็นผลผลิตที่เร้าอารมณ์เร้าความรู้สึก คนเราเวลามีความรู้สึกมากๆ มันหาทางออกไม่เจอ ถ้าจะสร้างสังคมให้ดีขึ้นต้องสร้างด้วยปัญญาไม่ใช่สร้างด้วยอารมณ์"
ตอนนี้มันไม่ใช่แค่สื่อ แต่ผู้ใหญ่ในสังคม นักวิชาการ ก็ช่วยกันสร้างอารมณ์
"เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราอยู่ในกระแสคลื่น อยู่ใน chaos ในวิกฤติการณ์ เราก็อยู่ในสังคมเดียวกัน ถามว่าสื่อมวลชนเป็นใคร สื่อมวลชนก็คือคนไทยคนหนึ่ง เรียนหนังสือมา อบรมบ่มนิสัยมาเหมือนกัน อยู่ในจารีตประเพณีเหมือนกันหมด เพียงแต่เรียกตัวเองว่าเป็นสื่อมวลชน ที่จริงๆ แล้วภูมิหลังก็คือคนไทย แต่ตอนนี้ถ้าเราพบว่าปัญหาส่วนหนึ่งมันเกิดจากพวกเราที่เราไม่ค่อยฟังเสียงคนอื่น เราคิดว่าเราถูก ก็ต้องฉุกคิดบ้าง"
กรณีของ ASTV กับ D Station ดูเหมือนจะไม่สามารถใช้กระบวนการทางกฎหมายจัดการได้ บางเรื่องก็ฟ้องหมิ่นประมาทไม่ได้ หรือบางคนฟ้องจนขี้เกียจฟ้อง ทั้งสองฝ่ายปลุกปั่นรุนแรง ถ้าจะให้รัฐควบคุมก็กลายเป็นการแทรกแซงสื่อ เรามีทางอื่นในการควบคุมไหม
"ในประเทศประชาธิปไตยจะให้สิทธิเสรีภาพกับสื่อมวลชนสูงมาก และขณะเดียวกันเขาก็ให้ความนับถือสื่อมวลชนว่าเมื่อท่านมีเสรีภาพแล้วท่านควรจะรู้ว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร แต่ทีนี้พอท่านมีเสรีภาพแล้วท่านไปด่าคนอื่น ไปโจมตีคนอื่นจนรุนแรงร้าวลึกขึ้นเรื่อยๆ บางส่วนกฎหมายอาจจะเข้ามาจัดการได้ อย่างกฎหมายหมิ่นประมาท แต่บางครั้งมันทุกเมื่อเชื่อวัน มันกลายเป็นตัวจักรตัวหนึ่งซึ่งจะนำไปสู่ความรุนแรงแล้ว ก็ไม่รู้จะว่ายังไง นอกจากว่าถ้ามีการสั่งปิด D Station นี่คือใช้อำนาจรัฐแล้ว ซึ่งดิฉันก็ไม่แฮปปี้เท่าไหร่ เพราะว่าสื่อมวลชนควรมีเสรีภาพในการแสดงออก แต่ขณะเดียวกัน D Station ก็ควรมีความรับผิดชอบในการแสดงออกเหมือนกัน ไม่ควรไปปลุกปั่นทำให้เกิดความบาดหมาง แล้วรัฐบาลก็มองว่าไม่รับผิดชอบเพราะฉะนั้นฉันปิด ขณะเดียวกันพอย้ายไปดู ASTV ทำก่อนเขาอีก ท่านมีเสรีภาพแต่ท่านก็โจมตีเขา แต่ว่าท่านยังไม่โดนปิด เขาเลยบอกว่าอะไรกันประเทศนี้ สองมาตรฐาน เพราะฉะนั้นสื่อมวลชนเมื่อมีเสรีภาพแล้ว ดิฉันเชื่อว่าหลายๆ ฝ่าย กระทั่ง ASTV เป็นมืออาชีพ เขาต้องตระหนักเรื่องจริยธรรม แต่มันเป็นเพราะอะไรที่ทำให้บางครั้งอาจจะก้าวร้าวรุนแรง ดิฉันไม่ต้องไปพูดว่าเป็นเพราะอะไร ให้วงการสื่อสารมวลชนตัดสินเอง เพราะท่านเป็นมืออาชีพ คร่ำหวอดในวงการสื่อสารมวลชนยาวนาน"
วิทยุแท็กซี่ก็เป็นสังคมของเขา ใช้ภาษาใช้วิธีการแบบของเขา
"ข้อสำคัญคือทำอย่างไรที่จะปลุกจิตสำนึกในทางคุณธรรม ความรับผิดชอบในหมู่ประชาชนได้ เพราะถ้าไล่ปิดเว็บไซต์วันนี้พรุ่งนี้เขาก็เปิดใหม่ เพราะในอนาคตมันจะเป็นสื่อภาคประชาชน"
งูเห่าจะฉกกัน
ถามตอนหนึ่งว่าที่อาจารย์เปรียบเป็นมหาวิกฤต ใช่ไหมว่าคือการต่อสู้กันระหว่างระบอบพ่อปกครองลูกกับระบอบประชาธิปไตย ซึ่งระบอบแรกพยายามอ้างคุณงามความดีและวัฒนธรรมประเพณีมาป้องกันตัว
"ดิฉันเชื่อในผู้ใหญ่นะ ผู้อาวุโสของเรา ถ้าดูจากอดีตท่านสามารถที่จะปรับตัวเข้ากับกระแสโลกาภิวัตน์ได้ แต่ขณะเดียวกันท่านก็ยังต้องรักษาจารีตประเพณีไว้ ปัญหาคือในเมื่อคลื่นประาธิปไตยมันถาโถมมาแรง เราก็ยอมรับว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองที่ดีที่สุด แต่ทำอย่างไรที่เราจะอยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ นี่แหละ คือเป็นประชาธิปไตยที่เรายังมีความเคารพเชื่อฟังผู้อาวุโส ในระดับที่สามารถจะยินยอมพร้อมใจกันได้ มันเหมือนเป็นดุลแห่งอำนาจ ระหว่างผุ้อาวุโสกับผู้ด้อยอาวุโส ที่จะสารถอยู่ด้วยกันได้"
ใช่หรือไม่ว่าผู้อาวุโสต้องยอมเสียดุลบ้างแต่ไม่ยอมเสีย
“ก็อาจจะเป็นไปได้ ผู้ใหญ่บางคนท่านก็ยังมีค่านิยมของท่าน ก็เป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆ พูดจากัน เชื่อว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่ประนีประนอม ในท้ายที่สุดน่าจะจบลงได้ด้วยดี แต่ถ้าไม่สามารถประนีประนอมกันได้... ระยะนี้ค่อนข้างจะมองว่ามันเลยจุดเจรจาแล้ว ก่อนหน้านี้ยังเป็นช่วงที่สามารถเจรจากันได้ ตอนนี้ไม่ใช่ เหมือนกับที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ท่านเขียนเกี่ยวกับ 6 ตุลาว่า เหมือนงูเห่า 2 ตัวจะฉกกันแล้วผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร งูเห่ามันไม่เจรจากันแล้ว มันจะฉกกันแล้ว อยากจะเรียนว่าวันนี้เราเริ่มปะทะกันแล้ว มันอยู่ใน process ของการปะทะกันแล้ว ระหว่างนี้เรายังจะทำอะไรกันได้หรือเปล่า”
โดย : ประชาไท วันที่ : 28/4/2552
Resource:http://www.prachatai.com/05web/th/home/16639
012.Asia Times: รากเหง้าความตึงเครียดในไทย

Asia Times: รากเหง้าความตึงเครียดในไทย
เขียนโดย Charles E Morrison ประธาน East-West Center ของสหรัฐอเมริกา
ตีพิมพ์ใน Asia Times online, 23 เมษายน 2009
การเมืองบนท้องถนนกลายมาเป็นบรรทัดฐานของประเทศไทยที่ซึ่งครั้งหนึ่งถือว่าเป็นสังคมที่มีเสถียรภาพแม้ว่าจะมีการรัฐประหารเกิดขึ้นถึง 18 ครั้งตั้งแต่ปี 1932 เป็นต้นมาก็ตาม โดยบ่อยครั้งการรัฐประหารเป็นเรื่องเบาๆ
เมื่อต้นเดือนนี้ กลุ่มผู้ประท้วงเสื้อแดงฝ่ายสนับสนุนอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ได้ทำการประท้วงจนเป็นเหตุให้เกิดการยกเลิกการประชุมอาเซียนซัมมิทที่พัทยา และการประท้วงส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันในหลายส่วนของกรุงเทพด้วย ผู้ประท้วงหวังจะกดดันให้นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออกจากตำแหน่ง การประท้วงครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากมีการประท้วงของกลุ่มเสื้อเหลืองในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยกลุ่มเสื้อเหลืองฝ่ายตรงข้ามกับอดีตรัฐบาลน้องเขยของทักษิณได้เข้ายึดทำเนียบรัฐบาลและปิดสนามบินทั้งสองแห่งในกรุงเทพ
ทักษิณพ่ายแพ้ในเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งล่าสุด กองกำลังทหารเข้าหยุดยั้งการประท้วง บีบคั้นให้แกนนำต้องยอมแพ้หรือต้องหนี โดยนำรถโดยสารขนผู้ชุมนุมที่มาจากชนบทกลับบ้าน แต่ “ชัยชนะ” ครั้งนี้เป็นเพียงการหยุดพักชั่วครู่เท่านั้น เพราะประเด็นปัญหาที่ใหญ่กว่าซึ่งแบ่งแยกสังคมไทยและเร่งให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข นับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2006 เป็นต้นมา อำนาจเปลี่ยนมือกลับไปกลับมาสามครั้ง มันเกิดขึ้นพร้อมกับการทำลายสังคม เศรษฐกิจ และความที่เป็นรู้จักในสายตาของนานาประเทศ
ทักษิณและอภิสิทธิ์เป็นตัวแทนพลังอำนาจที่อยู่ตรงข้ามกัน ทั้งสองอ้างว่า ตนส่งเสริมประชาธิปไตย ทักษิณปัจจุบันอยู่ต่างประเทศ หนีการถูกจับกุมโดยเป็นผู้ต้องหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน, ทักษิณเป็นใจกลางในการแบ่งขั้วบนเวทีการเมืองไทย เขาเป็นอดีตนายตำรวจ เป็นนักธุรกิจโทรคมนาคมรายใหญ่ และเขาเป็นคนแรกที่สร้างฐานอำนาจที่เป็นอิสระจากชนชั้นนำเก่าและสถาบันแกนกลางทั้งหลายในเมือง เขาประสบผลสำเร็จกับเรื่องข้างต้นนี้โดยการกลายมาเป็นวีรบุรุษของคนไทยจำนวนมากผู้ที่อยู่ต่ำกว่ามาตรฐานของอภิสิทธิ์ชนในช่วงเวลาที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรีโดยการใช้จ่ายเงินจำนวนมากมายในโครงการงบประมาณสูงให้แก่ชาวชนบททั้งเรื่องสุขภาพ การศึกษา และการให้เงินกู้แก่หมู่บ้านต่างๆ
ทักษิณเป็นคนที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่งในชนบทซึ่งผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งในฝ่ายสนับสนุนเขาได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งสามครั้งที่ผ่านมา และก็น่าจะชนะการเลือกตั้งครั้งใหม่อีก ในมุมมองของทักษิณ, ชัยชนะสองครั้งของเขาถูกขโมยไปโดยตัวแทนของชนชั้นกลางในเมืองและชนชั้นที่สูงกว่า ซึ่งพวกเขาเป็นพันธมิตรกับทหารระดับสูงในกองทัพ องค์กรศาล และองคมนตรีบางคน ในช่วงของการประท้วงที่ผ่านมา แทบทุกวัน สารของทักษิณที่ส่งผ่านวิดีโอลิงค์ไปสู่กลุ่มเสื้อแดงในนามของ นปช. ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนเขา เรียกร้องให้นำรัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งจากเสียงส่วนใหญ่ กลับคืนมา
ส่วนอภิสิทธิ์ ผู้ที่เกิดในอังกฤษ จบการศึกษาจากอ๊อกซ์ฟอร์ด เขาเป็นตัวแทนของชนชั้นนำเก่า และเป็นผู้นำพรรคการเมืองพลเรือนของไทยที่น่าเลื่อมใสที่สุดพรรคหนึ่ง แต่เป็นพรรคที่ได้ประโยชน์จากการสนับสนุนของกองทัพ พร้อมกับได้ประโยชน์จากการประท้วงของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อสี่ปีที่แล้ว ทั้งนี้กลุ่มพันธมิตรฯ เสื้อเหลืองได้นำการประท้วงของคนในเมือง เพื่อต่อต้านรัฐบาลทักษิณ โดยได้ช่วยจุดชนวนให้เกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน และช่วยให้ความชอบธรรมกับการรัฐประหารนั้น
ตามหลังมาจากการรัฐประหาร กองทัพได้เข้ามาปกครองอย่างไร้ความสามารถ และต้องถอยออกไป หลังจากนั้น พลังฝ่ายสนับสนุนทักษิณชนะการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม 2007 แต่แล้วกลุ่มพันธมิตรฯ ก็กลับมาเคลื่อนไหวอีกรอบ การเคลื่อนไหวครั้งนั้นถึงจุดสูงสุดด้วยการยึดสนามบินในเดือนพฤศจิกายน 2008 และแม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้สมาชิกพรรคไทยรักไทยห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไปแล้ว แต่การเมืองไม่ปกติด้วยข้อกล่าวหาต่อกองทัพเป็นผู้จัดการ รวมไปถึงการประท้วงของพันธมิตรที่มีลักษณะของทำลายรวมทั้งการเข้ายึดครอง ซึ่งได้สร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อการขึ้นสู่อำนาจของอภิสิทธิ์ในเดือนธันวาคม
คนในเมืองจำนวนมาก และชนชั้นนำเก่าเห็นว่าทักษิณเป็นประชานิยมที่อันตราย เป็นผู้หาประโยชน์เข้าตัวเอง ชนะการเลือกตั้งโดยการติดสินบน การซื้อเสียง และการคอรัปชั่น พวกเขาอธิบายว่าการบริหารประเทศในช่วงของทักษิณใช้วิธีการที่ไม่เป็นประชาธิปไตย การใช้วิธีการรุนแรงและวิธีการนอกกฎหมายกับผู้ค้ายาเสพติด คนที่ก่อความไม่สงบในภาคใต้โดยขาดการตรวจสอบ
ทว่าฝ่ายต่อต้านทักษิณก็มีปัญหาติดลบทางประชาธิปไตย พวกเขาไม่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง กระทั่งเสนอรัฐธรรมนูญใหม่ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เพื่อรักษาการควบคุมของชนชั้นนำไว้ ความขัดแย้งทางการเมืองไม่ใช่สิ่งใหม่ในประเทศไทยนัก แต่หลายปีที่ผ่านมา วิกฤติอาจถูกแก้ไขได้โดยพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยอันเป็นที่เคารพยิ่ง......................................................................................................
ด้วยปัญหาความชอบธรรมที่ติดอยู่กับทั้งสองค่าย พร้อมกันกับความกดดันจากการชุมนุมบนท้องถนนและผู้นำสองค่ายที่เผชิญหน้ากันอย่างเอาจริงเอาจัง การแก้ปัญหาวิกฤติอนาคตอันใกล้เป็นเรื่องยาก ในขณะเดียวกันความหายนะทางเศรษฐกิจและความไร้เสถียรภาพในระยะยาว .........อาจจะทำให้ความขัดแย้งเขม็งเกลียวขึ้น
วิกฤติการเมืองไทยสะท้อนถึงพลังอำนาจต่างๆ ที่คลี่คลายขยายตัวของการเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระดับการศึกษาที่สูงขึ้น ความตื่นตัว การพัฒนาเศรษฐกิจ และเทคโนโลยี่ใหม่ๆ ช่วยนำเสียงและข้อเรียกร้องใหม่ๆ เข้าไปในการเมือง และมักจะคุกคามชนชั้นนำที่ดำรงอยู่รวมทั้งการจัดสรรอำนาจแบบเก่าๆ
แม้ว่าการปฏิรูปที่แท้จริงจะไม่เกิดขึ้นในประเทศฟิลิปปินส์ ในขณะที่พม่ายังคงอยู่ภายใต้การปกครองโดยทหาร ส่วนอินโดนีเซียได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยและก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จ สำหรับมาเลเซียก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก
แต่หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในระยะยาว พลังทางสังคมใหม่ๆ เหล่าๆ นี้จะถูกฟูมฟักภายใต้สัญญาประชาคมที่มีความเป็นประชาธิปไตยและมีความชอบธรรมมากขึ้นกว่าปัจจุบัน ซึ่งจะมีความยั่งยืนต่อไปในอนาคต ภายหลังจากที่ผู้เล่นหลักในการเมืองปัจจุบันได้ลงจากเวทีไปแล้ว
*หมายเหตุ
East-West Center เป็นองค์กรศึกษาวิจัยที่ก่อตั้งโดยรัฐสภาสหรัฐ ปี 1960 มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างพลเมืองและประเทศ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคและสหรัฐอเมริกาให้เข้มแข็ง ส่วนผู้เขียน Charles E Morrison ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานระดับสากลของ Pacific Economic Cooperation Council ในปี 2005
โดย : ประชาไท วันที่ : 28/4/2552
011.นราฯป่วน 11 จุด คนร้ายคลั่งรัวกระสุนฆ่า 6 ศพที่ยะหา
นราฯป่วน 11 จุด คนร้ายคลั่งรัวกระสุนฆ่า 6 ศพที่ยะหา จนท.ตรึงเข้ม 5 ปีกรือเซะ
April 28, 2009
ใต้ป่วนหนักช่วงใกล้ครบรอบ 5 ปีกรือเซะ นราธิวาสเจอปฏิบัติการก่อความไม่สงบรับอรุณ 11 จุดใน 5 อำเภอ ทั้งวางระเบิด เผาโรงเรียน วางเพลิงบ้านชาวบ้าน และเสาส่งสัญญาณมือถือ ยะลาระอุบุกยิงพ่อค้าขายข้าวแกง สังหาร อส.กรงปินัง คาสนามฟุตบอล คนร้ายคลั่งรัวอาวุธสงครามฆ่า 6 ศพรวดเจ็บ 1 ที่ยะหา
สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ร้อนระอุขึ้นอีกครั้งในช่วงใกล้วันครบรอบ 5 ปีเหตุการณ์กรือเซะ ในวันที่ 28 เม.ย.2552 โดยระหว่างเวลา 05.10-05.50 น. วันที่ 27 เม.ย. กลุ่มคนร้ายได้กระจายกันออกก่อเหตุความไม่สงบขึ้นถึง 11 จุด ใน 5 อำเภอ คือ อ.เจาะไอร้อง อ.แว้ง อ.จะแนะ อ.ระแงะ และ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส

ที่ อ.เจาะไอร้อง เกิดเหตุ 2 จุด โดยจุดแรกคนร้ายใช้ระเบิดเพลิงขว้างใส่อาคารไม้ของโรงเรียนบูกิตประชา อุปถัมภ์ ตั้งอยู่หมู่ 10 บ้านปีแนมูดอ ต.บูกิต จนเพลิงลุกไหม้สร้างความเสียหายให้กับห้องเรียนถึง 9 ห้อง ส่วนจุดที่ 2 คนร้ายนำระเบิดแสวงเครื่องไปวางไว้ที่เสาหม้อแปลงไฟฟ้า ที่บ้านลูโบ๊ะเย๊าะ หมู่ 7 ต.จวบ ก่อนกดจุดชนวนระเบิด แต่เสาไฟฟ้าได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย
ที่ อ.แว้ง คนร้ายลอบระเบิดหม้อแปลงไฟฟ้าเช่นกัน โดยหม้อแปลงดังกล่าวตั้งอยู่ริมถนนสายสุไหงโก-ลก-แว้ง ช่วงบริเวณบ้านสามแยก หมู่ 6 ต.กายูคละ และวางไว้ถึง 2 ลูกซ้อน แต่โชคดีที่ระเบิดสร้างความเสียหายไม่มากนัก
ที่ อ.บาเจาะ เกิดเหตุรวม 3 จุด โดยจุดแรก คนร้ายลอบวางเพลิงหม้อแปลงไฟฟ้าที่บริเวณบ้านส้มป่อย หมู่ 4 ต.กาเยาะมาตี ได้รับความเสียหายบางส่วน จุดที่ 2 คนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงใส่หม้อแปลงไฟฟ้าในพื้นที่หมู่ 3 ต.กาเยาะมาตี จนหม้อแปลงระเบิด ไฟฟ้าดับเกือบทั้งตำบล จุดที่ 3 คนร้ายลอบวางเพลิงบ้านชาวบ้านที่ตั้งอยู่หลังจุดตรวจต้นไทร หมู่ 6 บ้านบาตู ต.ปะลุกาสาเมาะ ได้รับความเสียหายเกือบทั้งหลัง
ที่ อ.ระแงะ เกิดเหตุรวม 4 จุด โดย 3 จุดแรก คนร้ายได้ลอบวางเพลิงเผาสถานีทวนสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ที่บ้านบาโงสตา หมู่ 1 บ้านกาลิซา หมู่ 2 ต.กาลิซา ส่วนจุดที่ 4 คนร้ายใช้อาวุธปืนสงครามยิงหม้อแปลงไฟฟ้าที่บ้านจือนือเร๊ะ หมู่ 2 ต.เฉลิม ทำให้หม้อแปลงได้รับความเสียหาย ไฟฟ้าดับทั้งหมู่บ้าน
ที่ อ.จะแนะ เกิดเหตุคนร้ายลอบวางเพลิงสถานีทวนสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ตั้งอยู่ที่บ้านตือกอ หมู่ 7 ต.จะแนะ ทำให้ตู้คอนเทนเนอร์และสายส่งสัญญาณได้รับความเสียหายบางส่วน ทั้งหมดสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
ยิงพ่อค้าขายข้าวแกงที่ยะลา-ดับ อส.กรงปินังคาสนามบอล
เวลา 15.35 น.วันเดียวกัน ที่ อ.เมือง จ.ยะลา มีคนร้ายเป็นชายวัยรุ่น 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์ไปจอดที่ร้านขายข้าวแกงริมถนนสายลำใหม่-ท่าสาป หมู่ 1 ต.พร่อน และทำทีเข้าไปสั่งอาหาร เมื่อสบโอกาสได้ชักปืนยิง นายมะกาเซ็ง อาแด อายุ 48 ปี เจ้าของร้านจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ตำรวจยังไม่สรุปว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบ หรือมีเหตุขัดแย้งส่วนตัว
ต่อมาเวลา 15.40 น. คนร้าย 2 คนมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนพกสั้นยิงใส่ นายณรงค์ แวนาลัย อาสาสมัครรักษาดินแดน (อ.ส.) อ.กรงปินัง จ.ยะลา เสียชีวิตใกล้กับสนามฟุตบอลหลังองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) กรงปินัง หมู่ 4 บ้านกีเยาะ ต.กรงปินัง ขณะนายณรงค์เข้าไปนั่งดูฟุตบอลพร้อมกับญาติๆ และเดินออกมาปัสสาวะ เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
คนร้ายคลั่งรัวกระสุนปลิดชีพ 6 ศพรวดที่ยะหา
เวลา 20.30 น. ร.ต.ท.วิรัช ทรัพย์ประเสริฐ ร้อยเวร สภ.ปะแต อ.ยะหา จ.ยะลา รับแจ้งจากชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ต.ปะแต ว่าเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงชาวบ้านเสียชีวิตและ ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ที่บริเวณบ้านสูแก หมู่ 5 ต.ปะแต อ.ยะหา จึงรีบนำกำลังรุดไปตรวจสอบ
ทั้งนี้ ที่เกิดเหตุเป็นบ้านกำลังก่อสร้าง ไม่มีเลขที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจพบศพ นายอิสมาแอ ลาเต๊ะ อายุ 62 ปี นายมะยูโซ๊ะ ลาเต๊ะ อายุ 36 ปี และ น.ส.ไวนุง ลาเต๊ะ อายุ 33 ปี สภาพศพทั้งหมดถูกยิงเข้าที่บริเวณศีรษะและลำตัวนอนจมกองเลือดอย่างน่าอนาถ โดยนายอิสมาแอ เป็นบิดาของนายยูโซ๊ะ และ น.ส.ไวนุง ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 ตกอยู่หลายปลอก เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
นอกจากนั้นยังมีผู้บาดเจ็บซึ่งญาติๆ ช่วยกันนำส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชยะหาแล้ว ทราบชื่อคือ น.ส.ตีอะห์ ยังไม่ทราบนามสกุล อายุ 36 ปี ถูกยิงเข้าที่บริเวณลำตัวและศีรษะ ต่อมาเสียชีวิตในห้องฉุกเฉิน นางปีอะห์ อายุ 60 ปี ไม่ทราบนามสกุลเช่นกัน ถูกยิงเข้าที่บริเวณลำตัวและแขน อาการสาหัส แพทย์ส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา โดยนางปีอะห์เป็นมารดาของ น.ส.ตีอะห์ ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่หมู่ 2 ต.มะนังยง อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี
สอบสวนทราบว่า ขณะที่ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งหมดกำลังนั่งเล่นอยู่ในบ้านหลังดังกล่าว มีกลุ่มคนร้ายไม่ทราบจำนวน ใช้อาวุธปืนสงครามเอ็ม 79 และเอ็ม 16 กราดยิงใส่หลายชุด ก่อนจะหลบหนีไป
ห่างกันประมาณ 15 นาที คนร้ายยังได้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนสงครามยิงใส่ชาวบ้านเสียชีวิตอีก 2 ศพ บริเวณหน้ามัสยิดบ้านสูแก หมู่ 5 ต.ปะแต อ.ยะหา ห่างจากจุดเกิดเหตุแรกประมาณ 50 เมตรเท่านั้น โดยทราบชื่อผู้เสียชีวิตคือ นายอับดุลเลาะ กาซอ อายุ 48 ปี และ นายรอมมือลี สะตอพา อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 20/2 หมู่ 5 ต.ปะแต ทั้งคู่ถูกยิงด้วยอาวุธปืนเอ็ม 16 เข้าที่บริเวณลำตัวและศีรษะเสียชีวิตคาที่ เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบที่ต้องการ สร้างสถานการณ์ความรุนแรง
ตรึงเข้มป้องกันเหตุร้ายรับ 5 ปีกรือเซะ
อนึ่ง ในช่วงใกล้วันครบรอบ 5 ปีเหตุการณ์กรือเซะ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารทั้งสามจังหวัดได้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มข้น เพื่อป้องกันการก่อเหตุร้าย โดยมีการตั้งจุดตรวจจุดสกัดจำนวนมากทั้งในเขตเมืองและถนนสายสำคัญ อย่างไรก็ตาม ก็มาเกิดเหตุรุนแรงขึ้นจนได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.ยะหา ซึ่งยังคงเป็นพื้นที่ประกาศเคอร์ฟิว (ห้ามออกนอกเคหะสถานในเวลากลางคืน) โดยอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก แต่กลับมีคนร้ายออกกราดยิงชาวบ้านเสียชีวิตถึง 6 ศพ
อนึ่ง เหตุการณ์กรือเซะคือเหตุการณ์ที่ผู้ต้องสงสัยก่อความไม่สงบซึ่งส่วนใหญ่เป็น วัยรุ่นและชายฉกรรจ์กระจายกันเข้าโจมตีป้อมจุดตรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารรวม 12 จุด ใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อวันที่ 28 เม.ย.2547 จนเกิดการยิงปะทะกัน และฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบเสียชีวิตถึง 107 ราย เจ้าหน้าที่ 5 ราย จุดใหญ่ที่สุดอยู่ที่มัสยิดกรือเซะ อ.เมือง จ.ปัตตานี มีผู้เสียชีวิตแห่งเดียวถึง 32 ราย ถือเป็นเหตุการณ์ความไม่สงบครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในจังหวัดชายแดนภาค ใต้ นับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา
บึ้มขบวนรถนายอำเภอหนองจิก-ประกบยิงโต๊ะครูเสียชีวิต
สำหรับเหตุการณ์ความไม่สงบอื่นๆ ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา เมื่อเวลา 22.30 น. วันที่ 25 เม.ย. คนร้ายลอบจุดชนวนระเบิดขบวนรถของ นายสนั่น พงษ์อักษร นายอำเภอหนองจิก จ.ปัตตานี บริเวณริมถนนในหมู่บ้าน หมู่ 2 ต.ดอนรัก ห่างจาก อบต.ดอนรัก อ.หนองจิก ประมาณ 800 เมตร ขณะนายสนั่นและคณะเดินทางไปตรวจจุดเกิดเหตุยิงชาวบ้านในท้องที่หมู่ 2 แรงระเบิดทำให้รถในขบวนคันหนึ่งเสียหลักตกข้างทาง แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ
เวลา 17.30 น.วันเดียวกัน คนร้ายขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบยิง นายเจ๊ะอับดุลเลาะ วาเล๊าะ อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1 ซอย 2 ถนนหน้าวัง ต.จะบังติกอ อ.เมือง จ.ปัตตานี และเป็น ชรบ.ตำบลบาราเฮาะ ขณะขี่รถจักรยานยนต์อยู่บนทางหลวงสาย 410 ช่วงหน้าสถานีอนามัยตำบลบาราเฮาะ เป็นเหตุให้ นายเจ๊ะอับดุลเลาะ ได้รับบาดเจ็บสาหัส
เวลา 11.30 น. ที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี คนร้ายขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบยิง นายแสแม มูลูคารี อายุ 59 ปี โต๊ะครูและเจ้าของสถาบันปอเนาะพัฒนาอิสลาม ขณะขี่รถอยู่บนถนนสายบ่อทอง-ดาโต๊ะ ท้องที่หมู่ 1 บ้านเปี๊ยะ ต.ดาโต๊ะ เป็นเหตุให้ นายแสแม เสียชีวิตคาที่ เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าทั้งสามเหตุการณ์เป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
รายงานข่าวโดยอะหมัด รามันห์สิริวงศ์แวดาโอ๊ะ หะไร และทีมข่าวอิศราโต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
April 28, 2009
ใต้ป่วนหนักช่วงใกล้ครบรอบ 5 ปีกรือเซะ นราธิวาสเจอปฏิบัติการก่อความไม่สงบรับอรุณ 11 จุดใน 5 อำเภอ ทั้งวางระเบิด เผาโรงเรียน วางเพลิงบ้านชาวบ้าน และเสาส่งสัญญาณมือถือ ยะลาระอุบุกยิงพ่อค้าขายข้าวแกง สังหาร อส.กรงปินัง คาสนามฟุตบอล คนร้ายคลั่งรัวอาวุธสงครามฆ่า 6 ศพรวดเจ็บ 1 ที่ยะหา
สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ร้อนระอุขึ้นอีกครั้งในช่วงใกล้วันครบรอบ 5 ปีเหตุการณ์กรือเซะ ในวันที่ 28 เม.ย.2552 โดยระหว่างเวลา 05.10-05.50 น. วันที่ 27 เม.ย. กลุ่มคนร้ายได้กระจายกันออกก่อเหตุความไม่สงบขึ้นถึง 11 จุด ใน 5 อำเภอ คือ อ.เจาะไอร้อง อ.แว้ง อ.จะแนะ อ.ระแงะ และ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส

ที่มาของภาพ - ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้
ที่ อ.เจาะไอร้อง เกิดเหตุ 2 จุด โดยจุดแรกคนร้ายใช้ระเบิดเพลิงขว้างใส่อาคารไม้ของโรงเรียนบูกิตประชา อุปถัมภ์ ตั้งอยู่หมู่ 10 บ้านปีแนมูดอ ต.บูกิต จนเพลิงลุกไหม้สร้างความเสียหายให้กับห้องเรียนถึง 9 ห้อง ส่วนจุดที่ 2 คนร้ายนำระเบิดแสวงเครื่องไปวางไว้ที่เสาหม้อแปลงไฟฟ้า ที่บ้านลูโบ๊ะเย๊าะ หมู่ 7 ต.จวบ ก่อนกดจุดชนวนระเบิด แต่เสาไฟฟ้าได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย
ที่ อ.แว้ง คนร้ายลอบระเบิดหม้อแปลงไฟฟ้าเช่นกัน โดยหม้อแปลงดังกล่าวตั้งอยู่ริมถนนสายสุไหงโก-ลก-แว้ง ช่วงบริเวณบ้านสามแยก หมู่ 6 ต.กายูคละ และวางไว้ถึง 2 ลูกซ้อน แต่โชคดีที่ระเบิดสร้างความเสียหายไม่มากนัก
ที่ อ.บาเจาะ เกิดเหตุรวม 3 จุด โดยจุดแรก คนร้ายลอบวางเพลิงหม้อแปลงไฟฟ้าที่บริเวณบ้านส้มป่อย หมู่ 4 ต.กาเยาะมาตี ได้รับความเสียหายบางส่วน จุดที่ 2 คนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงใส่หม้อแปลงไฟฟ้าในพื้นที่หมู่ 3 ต.กาเยาะมาตี จนหม้อแปลงระเบิด ไฟฟ้าดับเกือบทั้งตำบล จุดที่ 3 คนร้ายลอบวางเพลิงบ้านชาวบ้านที่ตั้งอยู่หลังจุดตรวจต้นไทร หมู่ 6 บ้านบาตู ต.ปะลุกาสาเมาะ ได้รับความเสียหายเกือบทั้งหลัง
ที่ อ.ระแงะ เกิดเหตุรวม 4 จุด โดย 3 จุดแรก คนร้ายได้ลอบวางเพลิงเผาสถานีทวนสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ที่บ้านบาโงสตา หมู่ 1 บ้านกาลิซา หมู่ 2 ต.กาลิซา ส่วนจุดที่ 4 คนร้ายใช้อาวุธปืนสงครามยิงหม้อแปลงไฟฟ้าที่บ้านจือนือเร๊ะ หมู่ 2 ต.เฉลิม ทำให้หม้อแปลงได้รับความเสียหาย ไฟฟ้าดับทั้งหมู่บ้าน
ที่ อ.จะแนะ เกิดเหตุคนร้ายลอบวางเพลิงสถานีทวนสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ตั้งอยู่ที่บ้านตือกอ หมู่ 7 ต.จะแนะ ทำให้ตู้คอนเทนเนอร์และสายส่งสัญญาณได้รับความเสียหายบางส่วน ทั้งหมดสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
ยิงพ่อค้าขายข้าวแกงที่ยะลา-ดับ อส.กรงปินังคาสนามบอล
เวลา 15.35 น.วันเดียวกัน ที่ อ.เมือง จ.ยะลา มีคนร้ายเป็นชายวัยรุ่น 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์ไปจอดที่ร้านขายข้าวแกงริมถนนสายลำใหม่-ท่าสาป หมู่ 1 ต.พร่อน และทำทีเข้าไปสั่งอาหาร เมื่อสบโอกาสได้ชักปืนยิง นายมะกาเซ็ง อาแด อายุ 48 ปี เจ้าของร้านจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ตำรวจยังไม่สรุปว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบ หรือมีเหตุขัดแย้งส่วนตัว
ต่อมาเวลา 15.40 น. คนร้าย 2 คนมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนพกสั้นยิงใส่ นายณรงค์ แวนาลัย อาสาสมัครรักษาดินแดน (อ.ส.) อ.กรงปินัง จ.ยะลา เสียชีวิตใกล้กับสนามฟุตบอลหลังองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) กรงปินัง หมู่ 4 บ้านกีเยาะ ต.กรงปินัง ขณะนายณรงค์เข้าไปนั่งดูฟุตบอลพร้อมกับญาติๆ และเดินออกมาปัสสาวะ เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
คนร้ายคลั่งรัวกระสุนปลิดชีพ 6 ศพรวดที่ยะหา
เวลา 20.30 น. ร.ต.ท.วิรัช ทรัพย์ประเสริฐ ร้อยเวร สภ.ปะแต อ.ยะหา จ.ยะลา รับแจ้งจากชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ต.ปะแต ว่าเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงชาวบ้านเสียชีวิตและ ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ที่บริเวณบ้านสูแก หมู่ 5 ต.ปะแต อ.ยะหา จึงรีบนำกำลังรุดไปตรวจสอบ
ทั้งนี้ ที่เกิดเหตุเป็นบ้านกำลังก่อสร้าง ไม่มีเลขที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจพบศพ นายอิสมาแอ ลาเต๊ะ อายุ 62 ปี นายมะยูโซ๊ะ ลาเต๊ะ อายุ 36 ปี และ น.ส.ไวนุง ลาเต๊ะ อายุ 33 ปี สภาพศพทั้งหมดถูกยิงเข้าที่บริเวณศีรษะและลำตัวนอนจมกองเลือดอย่างน่าอนาถ โดยนายอิสมาแอ เป็นบิดาของนายยูโซ๊ะ และ น.ส.ไวนุง ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 ตกอยู่หลายปลอก เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
นอกจากนั้นยังมีผู้บาดเจ็บซึ่งญาติๆ ช่วยกันนำส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชยะหาแล้ว ทราบชื่อคือ น.ส.ตีอะห์ ยังไม่ทราบนามสกุล อายุ 36 ปี ถูกยิงเข้าที่บริเวณลำตัวและศีรษะ ต่อมาเสียชีวิตในห้องฉุกเฉิน นางปีอะห์ อายุ 60 ปี ไม่ทราบนามสกุลเช่นกัน ถูกยิงเข้าที่บริเวณลำตัวและแขน อาการสาหัส แพทย์ส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา โดยนางปีอะห์เป็นมารดาของ น.ส.ตีอะห์ ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่หมู่ 2 ต.มะนังยง อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี
สอบสวนทราบว่า ขณะที่ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งหมดกำลังนั่งเล่นอยู่ในบ้านหลังดังกล่าว มีกลุ่มคนร้ายไม่ทราบจำนวน ใช้อาวุธปืนสงครามเอ็ม 79 และเอ็ม 16 กราดยิงใส่หลายชุด ก่อนจะหลบหนีไป
ห่างกันประมาณ 15 นาที คนร้ายยังได้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนสงครามยิงใส่ชาวบ้านเสียชีวิตอีก 2 ศพ บริเวณหน้ามัสยิดบ้านสูแก หมู่ 5 ต.ปะแต อ.ยะหา ห่างจากจุดเกิดเหตุแรกประมาณ 50 เมตรเท่านั้น โดยทราบชื่อผู้เสียชีวิตคือ นายอับดุลเลาะ กาซอ อายุ 48 ปี และ นายรอมมือลี สะตอพา อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 20/2 หมู่ 5 ต.ปะแต ทั้งคู่ถูกยิงด้วยอาวุธปืนเอ็ม 16 เข้าที่บริเวณลำตัวและศีรษะเสียชีวิตคาที่ เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบที่ต้องการ สร้างสถานการณ์ความรุนแรง
ตรึงเข้มป้องกันเหตุร้ายรับ 5 ปีกรือเซะ
อนึ่ง ในช่วงใกล้วันครบรอบ 5 ปีเหตุการณ์กรือเซะ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารทั้งสามจังหวัดได้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มข้น เพื่อป้องกันการก่อเหตุร้าย โดยมีการตั้งจุดตรวจจุดสกัดจำนวนมากทั้งในเขตเมืองและถนนสายสำคัญ อย่างไรก็ตาม ก็มาเกิดเหตุรุนแรงขึ้นจนได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.ยะหา ซึ่งยังคงเป็นพื้นที่ประกาศเคอร์ฟิว (ห้ามออกนอกเคหะสถานในเวลากลางคืน) โดยอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก แต่กลับมีคนร้ายออกกราดยิงชาวบ้านเสียชีวิตถึง 6 ศพ
อนึ่ง เหตุการณ์กรือเซะคือเหตุการณ์ที่ผู้ต้องสงสัยก่อความไม่สงบซึ่งส่วนใหญ่เป็น วัยรุ่นและชายฉกรรจ์กระจายกันเข้าโจมตีป้อมจุดตรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารรวม 12 จุด ใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อวันที่ 28 เม.ย.2547 จนเกิดการยิงปะทะกัน และฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบเสียชีวิตถึง 107 ราย เจ้าหน้าที่ 5 ราย จุดใหญ่ที่สุดอยู่ที่มัสยิดกรือเซะ อ.เมือง จ.ปัตตานี มีผู้เสียชีวิตแห่งเดียวถึง 32 ราย ถือเป็นเหตุการณ์ความไม่สงบครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในจังหวัดชายแดนภาค ใต้ นับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา
บึ้มขบวนรถนายอำเภอหนองจิก-ประกบยิงโต๊ะครูเสียชีวิต
สำหรับเหตุการณ์ความไม่สงบอื่นๆ ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา เมื่อเวลา 22.30 น. วันที่ 25 เม.ย. คนร้ายลอบจุดชนวนระเบิดขบวนรถของ นายสนั่น พงษ์อักษร นายอำเภอหนองจิก จ.ปัตตานี บริเวณริมถนนในหมู่บ้าน หมู่ 2 ต.ดอนรัก ห่างจาก อบต.ดอนรัก อ.หนองจิก ประมาณ 800 เมตร ขณะนายสนั่นและคณะเดินทางไปตรวจจุดเกิดเหตุยิงชาวบ้านในท้องที่หมู่ 2 แรงระเบิดทำให้รถในขบวนคันหนึ่งเสียหลักตกข้างทาง แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ
เวลา 17.30 น.วันเดียวกัน คนร้ายขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบยิง นายเจ๊ะอับดุลเลาะ วาเล๊าะ อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1 ซอย 2 ถนนหน้าวัง ต.จะบังติกอ อ.เมือง จ.ปัตตานี และเป็น ชรบ.ตำบลบาราเฮาะ ขณะขี่รถจักรยานยนต์อยู่บนทางหลวงสาย 410 ช่วงหน้าสถานีอนามัยตำบลบาราเฮาะ เป็นเหตุให้ นายเจ๊ะอับดุลเลาะ ได้รับบาดเจ็บสาหัส
เวลา 11.30 น. ที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี คนร้ายขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบยิง นายแสแม มูลูคารี อายุ 59 ปี โต๊ะครูและเจ้าของสถาบันปอเนาะพัฒนาอิสลาม ขณะขี่รถอยู่บนถนนสายบ่อทอง-ดาโต๊ะ ท้องที่หมู่ 1 บ้านเปี๊ยะ ต.ดาโต๊ะ เป็นเหตุให้ นายแสแม เสียชีวิตคาที่ เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าทั้งสามเหตุการณ์เป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
รายงานข่าวโดยอะหมัด รามันห์สิริวงศ์แวดาโอ๊ะ หะไร และทีมข่าวอิศราโต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
ที่มา - โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
010.จดหมายแถลงการณ์ของ “ทักษิณ” ที่แจกสื่อมวลชนต่างประเทศ

คำต่อคำ แถลงการณ์ทักษิณ แจกสื่อนอก
October 24, 2008
จดหมายแถลงการณ์ของ “ทักษิณ” ที่แจกสื่อมวลชนต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ)
Woodsome ManorSurrey, England
22 of October, 2008
Dear My Friends in International Media,
I am writing to you today to clarify few facts, The news headlines have reported that I have been convicted of corruption for two years stemming from the purchase of land by my wife, Khunying Potjaman Shinawatra.
What you have read is true, I was convicted for two years, but not because of corruption charge. The only reason I was sentenced to Jail is because at the time my wife bought the land through the open bid, I was the Prime Minister.
I listened to the judgment yesterday and even now I am still confused ; there is no evidence of fraud, corruption nor abuse of power in relation to the bid in question; my wife was the one who in volved and made decision to bid for the land, offered a lot more seller, Financial Instit ution Development Fund (FIDF), than other bidders, signed the contract with the seller, paid for the land with no involvement from her husband except when he was required to sign a spousal consent form, In terms of any alleged influence I may have had no direct supervisory power over the FIDF. Interestingly, the Court did not find the sale transaction of my wife unlawful or illegal, they did not convict her because she is not a politician; nevertheless, I was . I trust that you will independently verify the above facts as professional journalists often do. Unfortunately, most of you professsional colleagues in Thailand refuse to do so.
The best. I can comprehend is that I was convicted simply because I was a politician . In that case I was quite guite guilty cause I was quite a successful politician, I got elected twice by the majority of thai people as Prime Minister.
If I were to be guilty of anything, that would be what I have shown to the Thai people, especially those underprivileged rural thais that they can, and have the right to, demand their government to provide effective policy and programs to improve their lives.
I received this judgment with mixed feeling; relief for my wife as I pulled her into enough troubles because of my politcal ambition to bring greatness and well-being to my country and my people, amused and bitter with the illogical of the judgment, and worry for those politicians in Thailand that they could go to jail simply because their unhappy spouses may sought to manipulate the law.
For those of you who may not be too familiar with Thailand, state offices and enterprises in Thailand are doing so many businesses from telecommunication, banking, power generator or even owning gas stations.
I do not know should I laugh or cry to see the direction Thailand is moving forward: a democratically elected leader was put out of job because he cooked on a TV show but those who unlawfully trespassed and occupying the government house got protection from the Court.
Whatever happen to me is a political driven actions collaborated by various group of privileged elites who believe in anything but democracy. I am a threat to them because I represent the principle of liberal democracy which promote hope and pride of the poor of my country.
Thailand is and will remain a great and beautiful country. Few people cannot face the face,obstructing the will of majority of the people. I believe that at the end Thai people will win over this struggle. And the end of their nightmare is not far.
I thank you for the opportunity to share the facts with you.
Truly Yours,
Dr. Thaksin Shinawatra
…………………………………
คำต่อคำ แถลงการณ์ “ทักษิณ” แจกสื่อนอกประจานไทยทั่วโลก (คำแปล)
วูดซัม แมเนอร์เซอร์เรย์, อังกฤษ22 ต.ค. 51เรียน เพื่อนสื่อมวลชนต่างประเทศ
สิ่งที่ผมกำลังเขียนถึงพวกคุณในวันนี้เพื่อให้ความกระจ่างในข้อเท็จจริงบางอย่าง ข่าวพาดหัวที่มีการรายงานว่าผมถูกตัดสินว่ามีความผิดจากการทุจริตต้องโทษจำคุก 2 ปีจากการซื้อที่ดินของภรรยาผม, คุณหญิงพจมาน ชินวัตร
สิ่งที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้คือความจริง ผมถูกตัดสินโทษจำคุก 2 ปี ไม่ใช่เพราะข้อหาทุจริต เหตุผลเดียวที่ผมถูกสั่งจำคุก เพราะในช่วงเวลาที่ภรรยาของผมซื้อที่ดินโดยการเปิดประมูลนั้น ผมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ผมได้ฟังคำตัดสินเมื่อวันก่อนและจนถึงตอนนี้ ผมยังคงสับสน เพราะไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีการฉ้อฉล คอร์รัปชั่น หรือกระทั่งการใช้อำนาจในทางมิชอบที่เกี่ยวเนื่องกับประมูล คำถามคือ ภรรยาของผมเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องและตัดสินใจยื่นประมูลที่ดินดังกล่าว เป็นผู้ยื่นเสนอราคาจำนวนมากแก่ผู้ขายซึ่งคือ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน มากกว่าผู้ยื่นประมูลรายอื่นๆ เป็นผู้เซ็นสัญญาซื้อขายกับผู้ขาย จ่ายเงินค่าที่ดินโดยที่สามีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆเลย ยกเว้นเมื่อต้องเซ็นชื่อยินยอมในเอกสาร
ในแง่ของข้อกล่าวหาเรื่องอิทธิพลอำนาจที่ผมอาจมีเหนือกองทุนฟื้นฟูฯ มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องชี้ให้เห็นว่าคณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีไม่ได้มีอำนาจควบคุมโดยตรงเหนือกองทุนฟื้นฟูฯ เป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งที่ศาลไม่ได้พบว่าการซื้อขายที่ดินของภรรยาผมมีอะไรที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือเป็นการกระทำนอกกฎหมาย เขาไม่ได้ตัดสินว่าเธอมีความผิด เพราะเธอไม่ใช่นักการเมือง แต่ผมเป็น ผมเชื่อว่าพวกคุณจะตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เหลืออย่างอิสระเยี่ยงผู้สื่อข่าวมืออาชีพปฏิบัติกัน แต่น่าเสียดายที่เพื่อนร่วมอาชีพของคุณส่วนใหญ่ในประเทศไทยปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น
สิ่งที่ผมจะสามารถทำความเข้าใจได้ดีที่สุดก็คือ ผมถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงอย่างง่ายๆ เพียงเพราะผมเป็นนักการเมืองคนหนึ่งเท่านั้นเอง ผมผิดเพราะผมเป็นนักการเมืองที่ประสบความสำเร็จ ผมได้รับเลือกตั้งขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีถึงสองสมัยเพราะเสียงส่วนใหญ่จากประชาชน
ถ้าหากผมจะมีความผิดอะไรสักอย่าง นั่นก็คงเป็นสิ่งที่ผมได้แสดงออกมาให้ประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยกลุ่มที่อยู่ในชนบทและไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ ได้เห็นว่าพวกเขาสามารถเรียกร้องและมีสิทธิเรียกร้องให้รัฐบาลของพวกเขาจัดทำนโยบายที่มีประสิทธิภาพและทำโครงการต่างๆที่จะยังผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้น
ผมยอมรับคำตัดสินนี้ด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกัน รู้สึกโล่งใจสำหรับภรรยาที่ผมดึงเธอเข้าไปสู่ความยากลำบากมากทีเดียว เพราะความทะเยอทะยานทางการเมืองของผมในการที่จะนำความยิ่งใหญ่และความเป็นอยู่ที่ดีมาสู่ประเทศและประชาชนของผม ทั้งรู้สึกนึกขัน ปนขมขื่นกับคำตัดสินที่ไร้เหตุผล และรู้สึกกังวลแทนนักการเมืองในประเทศไทยว่า พวกเขาสามารถเดินเข้าคุกไปได้ง่ายๆเพียงเพราะภรรยาที่โชคร้ายของพวกเขาพยายามทำตามกฎหมาย
สำหรับพวกคุณที่อาจไม่คุ้นเคยกับประเทศไทย ภาครัฐและภาคเอกชนในไทยที่กำลังดำเนินธุรกิจหลายๆ ด้าน ตั้งแต่ สื่อสารโทรคมนาคม ธนาคาร ไฟฟ้าหรือแม้กระทั่งปั๊มน้ำมัน
ผมไม่ทราบว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกับทิศทางที่ประเทศไทยกำลังมุ่งไป ผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยถูกขับพ้นจากตำแหน่ง เพียงเพราะว่าเขาทำรายการโทรทัศน์ แต่กลุ่มคนที่ล่วงละเมิดผิดกฎหมายและยึดครองทำเนียบรัฐบาลกลับได้รับความคุ้มครองจากศาล
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผม ล้วนแต่เป็นการกระทำที่เกิดจากแรงขับเคลื่อนทางการเมือง ซึ่งเป็นการสมคบกันของ บรรดาชนชั้นสูงที่มีอภิสิทธิ์ทั้งหลาย ผู้เชื่อในทุกสิ่งอย่าง ยกเว้นประชาธิปไตย ผมเป็นภัยคุกคามต่อพวกเขา เพียงเพราะผมเป็นตัวแทนของหลักการแห่งระบอบเสรีประชาธิปไตย ซึ่งส่งเสริมความหวังและความภาคภูมิใจของคนยากคนจนในประเทศของผม
ประเทศไทยเป็นและจะยังคงเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่และสวยงาม คนจำนวนไม่มากที่ไม่สามารถเผชิญกับความจริงได้ กำลังขัดขวางเจตจำนงของคนส่วนใหญ่ ผมเชื่อว่าในท้ายที่สุดพี่น้องชาวไทยจะเป็นผู้ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ และการสิ้นสุดของฝันร้ายอยู่ไม่ไกล
ผมขอขอบคุณที่ให้โอกาสผมได้ร่วมแบ่งปันข้อเท็จจริงกับคุณ
ด้วยความนับถือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ที่มา - มติชน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)