ที่มา: เผยแพร่ครั้งแรกใน ไทยโพสต์แทบลอยด์, 26 เม.ย. 2552
"บางครั้งสื่ออาจจะเลือกข้างได้ แต่ให้รู้ว่าการเลือกข้างนั้นเสี่ยง เสี่ยงมาก เพราะพอเราเลือกข้างปุ๊บเราจะเกิดอคติ พอเราเอาความรักและความเกลียดเป็นตัวตั้ง มันทำให้สื่อไม่สามารถจะลงลึกได้ในสิ่งที่ควรลึก ไม่สามารถลงรอบได้ในสิ่งที่ควรจะรอบด้าน ไม่สามารถรักษาความเที่ยงธรรม คือความแฟร์ ในที่ที่ควรจะเที่ยงธรรม หลายๆ อย่างเราไม่สามารถจะทำได้ เพราะว่าเรามีความรักและความเกลียดเป็นตัวตั้ง"
"สื่อมวลชนมีความรับผิดชอบยิ่งใหญ่มหาศาลที่คนอื่นไม่มี สื่อมวลชนแบกสังคมไว้ทั้งสังคม คุณมีส่วนที่จะทำให้สังคมนี้เป็นสังคมพึ่งพาตัวเองได้หรือไม่ เป็นสังคมที่มีวิจารณญาณหรือไม่ หรือเป็นเพียงสังคมที่ไหลลอยไปตามกระแสของเหตุการณ์ เดี๋ยวก็เกลียดคนนี้เดี๋ยวก็รักคนนั้น เดี๋ยวก็ร้องไห้เดี๋ยวก็หัวเราะ"
ศาสตราจารย์ด้านนิเทศศาสตร์ ผู้สอนวิชา "จริยธรรมสื่อมวลชน" ที่นิเทศศาสตร์ จุฬาฯ มายาวนาน ก่อนจะมาเป็นคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ และปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาอธิการบดี
สมาชิกวุฒิสภาจากการสรรหา ซึ่งมาในสายของสื่อเพื่อเยาวชน เป็นตัวแทนมูลนิธิสื่อศีลธรรมเพื่อเยาวชน
จากที่มีบทบาทเรียบๆ มาตลอด ณ วันนี้เมื่อเห็นว่าความรุนแรงในสังคมกำลังระเบิดขึ้น อ.สุกัญญาจึงอดรนทนไม่ได้ กระทั่งเขียนบทความ "ปริมณฑลแห่งสี" ลงในหนังสือพิมพ์มติชน วิพากษ์วิจารณ์และกระตุกจริยธรรมของสื่อกระแสหลักที่มีบทบาทสำคัญในการสุมไฟ
เมื่อถามว่าอาจารย์ออกมาอย่างนี้ไม่กลัวโดนสื่ออัดกลับหรือ
"ตรงนี้ก็ตั้งคำถามเหมือนกัน สื่อวิจารณ์คนเขาได้ทั้งประเทศ พอตัวเองถูกวิจารณ์บ้างชักจะรับไม่ไหว ก็เป็นหน้าที่ของเราที่เป็นครูบาอาจารย์ด้านนี้ก็ควรจะต้องพูด ยิ่งมาเป็นวุฒิสมาชิกแล้วไม่พูดก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่มานั่งตรงนี้"
000
สีของแว่น
"ความพยายามให้คนปรองดองกันเป็นภาระที่ยากมาก เพราะเขากำลังจะตีกัน จะไปพูดให้เขาหยุดคงเป็นไปไม่ได้ แต่ส่วนที่ตัวเองจะต้องเกี่ยวพันอยู่ไม่สามารถเลี่ยงได้คือเรื่องของสื่อมวลชน เพราะว่าสอนหนังสือด้านนี้มากว่า 40 ปี เพราะฉะนั้นมีอะไรที่พอจะพูดทักสื่อมวลชนได้บ้างก็พยายามทำ เจอลูกศิษย์ลูกหาก็จะพูด มีความรู้สึกว่าจริงๆ แล้วสื่อมวลชนก็พยายามทำให้ดีที่สุด แต่บางครั้งด้วยสถานการณ์ที่มันรุนแรงมาก เวลาเราเป็นสื่อบางทีเราวนอยู่ในกระแส วนอยู่ในสถานการณ์ เหมือนเราตกเป็นส่วนหนึ่งของสถานการณ์ เราจะมองไม่ค่อยเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ฉะนั้นเวลาสอนลูกศิษย์จะบอกเธอต้องทำตัวเป็นยักษ์ ลอยออกมานอกโลกแล้วก็มองย้อนกลับไปให้โลกมันเหลือลูกเล็กนิดเดียว แล้วจะเห็นว่ามันเกิดอะไร อย่าเอาตัวไปเป็นส่วนหนึ่งของข่าว เพราะมีความรู้สึกว่าสื่อมวลชนทุกวันนี้เหมือนกับจะเอาตัวเองเป็นข่าวนะ กลายเป็นเป้าให้โดนวิพากษ์วิจารณ
"คนอ่านเขาก็วิจารณ์ ผู้ชมเขาก็วิจารณ์ ว่าสื่อมวลชนไม่เป็นกลาง ซึ่งเหตุการณ์อย่างนี้มันไม่น่าเกิดขึ้นได้ ประชาชนไม่น่าจะมาติฉินนินทาสื่อมวลชน เพราะโดยหลักการของวารสารศาสตร์ สื่อมวลชนคือส่วนหนึ่งของประชาชน สื่อมวลชนไม่สามารถแยกตัวเองออกจากประชาชนได้ แต่ทำไมประชาชนถึงเริ่มติติงและวิพากษ์วิจารณ์สื่อ แสดงว่าสื่อมวลชนกำลังแยกตัวเองออกจากประชาชนหรือเปล่า และยิ่งคุณแยกออกจากประชาชนไปมากเท่าไหร่ คุณก็จะไปเกาะเกี่ยวกับรัฐบาล เกาะเกี่ยวกับนายทุน เกาะเกี่ยวกับองค์กรใครต่อใคร คุณลืมประชาชนหรือเปล่า"
อาจารย์มองเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมาอย่างไร
"ขอแยกเป็น 2 ระดับนะ มองการทำงานของสื่อในสังคมไทยตั้งแต่ 19 กันยาเป็นต้นมา นั่นคือระดับที่หนึ่ง อีกระดับหนึ่งมองอย่างกว้าง"
"ในแง่ของความเป็นสื่อ เราต้องยอมรับว่าทุกวันนี้สื่อมีอิทธิพลต่อสังคมมาก ทั้งสื่อโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ถึงแม้ว่าจะมีคนดูโทรทัศน์มากกว่าอ่านหนังสือพิมพ์ แต่ส่วนใหญ่ก็ดูละคร ในด้านการเมืองหนังสือพิมพ์มีบทบาทมาก เพราะหนังสือพิมพ์สามารถจะวิเคราะห์เจาะลึก สามารถให้รายละเอียดได้มากกว่า และหนังสือพิมพ์เป็นสื่อที่คงทน อยู่ตรงไหนก็อ่านได้"
"เมื่อสื่อมวลชนมีบทบาทต่อสังคมมาก โดยเฉพาะในทางการเมือง มันก็จะมีบุคคล กลุ่มบุคคล ซึ่งในที่นี้เรียกว่าแหล่งข่าว เขาก็มองเห็นช่องทางในการที่จะสร้างอำนาจหรือสร้างประโยชน์ และเขาก็มองเห็นว่าถ้าเขาสามารถเอาสื่อมวลชนไว้ในมือได้ เขาก็จะได้ประโยชน์ แหล่งข่าวบางคนจึงคิดที่จะเอาสื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างอำนาจสร้างประโยชน์ให้ตัวเอง อันนี้เป็นสิ่งที่สื่อมวลชนต้องระวังตัว เพราะว่าเราอาจจะถูกแหล่งข่าวหลอกใช้เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นบางครั้งเราก็ต้องยอมรับว่า รู้ว่าเขาหลอกก็ต้องให้เขาหลอกเหมือนกัน"
"ในวิกฤติทางการเมืองขณะนี้มีคน 2 ฝ่ายที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน ตอนแรกก็ไม่ได้สุดโต่งขนาดนี้นะ แต่อยู่ไปๆ มันเหมือนจะยิ่งห่างออกไป และมันสุดโต่งพูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว ในสถานการณ์อย่างนี้สื่อมวลชนจะทำอย่างไร เมื่อวันพฤหัสบดีนั่งฟังคุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ท่านพูดในสภาฯ ท่านพูดถึงบทบาทของสื่อรัฐว่ารัฐจะไม่แทรกแซง จะทำทุกอย่างเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ รัฐต้องการความสมดุลรอบด้าน จะไม่ปล่อยให้มีสื่อทางเดียว สื่อที่จะยั่วยุให้เกิดความรุนแรง และท่านก็บอกว่าบทบาทของสื่อคือ สื่อต้องเปิดพื้นที่อันกว้างขวาง เพื่อบริการข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชน สนองเจตนารมณ์ของรัฐ-อันนี้ชักจะยังไงแล้ว ทำไมไม่สนองเจตนารมณ์ของประชาชน ชักสะดุด"
"สื่อจะต้องช่วยคลี่คลายสถานการณ์ และสื่อต้องบอกข้อเท็จจริงด้วยความโปร่งใส นี่คือหลักวารสารศาสตร์ ถ้าฟังแล้วท่านสาทิตย์พูดถูกต้องแล้ว แต่เราจะมาพูดกันถึงแว่นสายตาสีต่างๆ คนที่ใส่แว่นสีเหลืองมองอะไรเห็นสีเหลืองหมดเลย และคนที่ใส่แว่นสีแดงเห็นอะไรก็เป็นสีแดง สมมติคุณสาทิตย์ใส่แว่นสีเหลือง-ท่านไม่ได้ผิดนะ แต่ท่านใส่แว่นสีเหลือง ฉะนั้นเวลาที่ท่านพูดว่าท่านจะเปิดพื้นที่อันกว้างขวาง มันก็คือพื้นที่อันกว้างขวางที่ท่านมองจากแว่นสีเหลืองของท่าน ถูกไหม เท่าที่แว่นสีเหลืองจะสามารถมองเห็นได้ เมื่อท่านมองด้วยแว่นสีเหลืองมันก็เลยคล้ายๆ กับว่าเป็นพื้นที่อันกว้างขวางเท่าที่รัฐมองเห็น และอนุญาตให้สื่อสามารถนำเสนอได้ นี่พูดกันถึงเรื่องสีของแว่น"
"ถ้าจะพูดกันเรื่องความเที่ยงธรรม ความสมดุลของข่าว ก็อีกนั่นแหละ พอท่านใส่แว่นสีเหลือง มันก็คือความเที่ยงธรรม และความสมดุลในสายตาของท่านว่าจะต้องเสนอข่าวอย่างนี้นะ จึงจะถือว่าเป็นข่าวที่เที่ยงธรรมเป็นกลางและมีความสมดุลโปร่งใส ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าโดยทั่วไปรัฐดูเหมือนจะเป็นผู้ผูกขาดความถูกต้อง นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง นี่คือสิ่งที่ประชาชนควรจะต้องรู้ ท่านมีความปรารถนาดีนะ มีเจตนารมณ์ที่ดี และท่านก็บอกสื่อว่า-ท่านจะแทรกแซงสื่อหรือไม่ก็ไม่รู้-ท่านก็บอกว่าควรจะเสนอข่าวแบบนี้ อย่าไปเสนอข่าวที่ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง"
"เวลาท่านใช้คำว่าอย่าเสนอข่าวที่ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง ท่านหมายถึงข่าวฝั่งทางโน้นใช่ไหม แต่เวลาที่ท่านพูดแม้ท่านจะใช้ถ้อยคำที่ราบเรียบสุภาพ แต่ถ้อยคำเหล่านั้นอาจจะยั่วยุให้เกิดความรุนแรงก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอันนี้ก็อยากจะฝากบอกสื่อมวลชนด้วย บางครั้งรัฐมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนคนที่อยู่ข้างบนมองลงมาข้างล่าง top down มองในฐานะที่ฉันเป็นรัฐ ฉันคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง สังคมนี้ควรจะเป็นอย่างนี้ ถามว่ารัฐผิดไหม ไม่ผิดหรอก แต่เขามองแบบรัฐ ประชาชนควรจะรู้อย่างนี้ นี่คือความถูกต้อง นี่คือความดีงาม นี่คือความชอบธรรม คนนั้นเลวคนนี้ดี ก็พยายามบอกประชาชน เวลาที่รัฐทำตัวเหมือนตัวเองมองจากข้างบนลงล่าง มันก็เลยเหมือนผู้มีอาวุโสกับผู้ด้อยอาวุโส เหมือนผู้ใหญ่พูดกับเด็ก"
"อันนี้คือสังคมโบราณหรือเปล่า ไม่ใช่สังคมที่ไม่ดีนะ สังคมที่ดี เรามีจารีตประเพณี เรามีสังคมที่ดี ผู้ใหญ่กับเด็กถ้อยทีถ้อยอาศัย เด็กเคารพผู้ใหญ่ แต่ทุกวันนี้รัฐบาลก็จะติดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่และสอนเด็ก แต่เหตุการณ์โลกมันเปลี่ยนมาจนถึงปัจจุบัน คลื่นประชาธิปไตย อาจจะดีหรือไม่ดีก็ไม่รู้ แต่เขาบอกว่านี่คือระบอบการปกครองที่ดีที่สุดในโลกนี้ มันเป็นระบอบที่ว่าด้วยความเสมอภาค ภราดรภาพ ทุกคนเท่าเทียมกัน เคยทำวิจัยสังคมไทยเป็นสังคมแบบพ่อปกครองลูก เป็นสังคมพี่น้อง มีความรักใคร่ปรองดอง เราเป็นของเราอย่างนี้มา วันดีคืนดีคลื่นประชาธิปไตยก็ตูมเข้ามา และมันก็บอกว่าการปกครองแบบผู้อาวุโสปกครองผู้ด้อยอาวุโสเป็นเรื่องของเผด็จการ เพราะฉะนั้นต้องปกครองแบบประชาธิปไตย ความขัดแย้งเกิดขึ้นในสังคมไทยเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ตั้งแต่หมอบรัดเลย์เข้ามาทำหนังสือพิมพ์ เอาความคิดประชาธิปไตยเข้ามา ก็กระแทกเข้ามา แต่สังคมไทยเก่งนะสามารถยืดหยุ่นได้ ขณะที่ตัวเองมองแบบบนลงล่าง แต่อีกข้างมองแบบเสมอภาค ก็ค่อยๆ เอื้ออาทรต่อกัน เราก็อยู่ของเรามาได้จนกระทั่งปัจจุบัน"
"มีความรู้สึกว่าทุกวันนี้รัฐบาลหรือผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็ยังมองแบบนั้นอยู่ คือท่านอยู่บนหอคอยแล้วท่านก็มองลงมาด้วยความปรารถนาดี แต่คนที่อยู่ข้างล่างเริ่มเรียกร้อง และก็เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี มันมีสื่อมากมาย เขาได้รับข้อมูลข่าวสารมากมาย เขาก็เริ่มที่จะมีความต้องการที่หลากหลาย เขาเริ่มที่จะไม่ได้เป็นแค่ผู้บริโภคข่าวสาร แต่เขาเป็นผู้สร้างข่าวสารด้วย เขามีเว็บไซต์ เขาเข้าไปแลกเปลี่ยนความเห็น เขาสร้างสื่อ เขาผลิตซีดี เมื่อก่อนเขาเป็นผู้บริโภคสื่ออย่างเดียว พอเหตุการณ์มันผ่านไปเขาเริ่มมีบทบาทมีอำนาจมากขึ้น เขาเริ่มเรียกร้องมาขึ้น เขาเริ่มมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ขณะที่ผู้ใหญ่บอกเขาว่าเอ็งยังโง่อยู่ เอ็งไม่รู้ คนข้างล่างเขาก็บอกว่าบางทีฉันฉลาดกว่าเธออีก ฉันรู้เพราะฉันอ่าน ฉันเข้าถึงข่าวสารมากมาย"
"เพราะฉะนั้นสิ่งที่พยายามจะบอกคือ ถ้าท่านเป็นผู้ใหญ่แล้วท่านใส่แว่นตาสีเหลือง แล้วคนเหล่านี้ใส่แว่นตาสีแดง เขาก็มองเห็นแบบคนใส่แว่นเหลืองนั่นแหละ คือเขาก็จะมองเห็นในปริมณฑลของสีแดง เขาก็จะพูดจากับคนที่เป็นสีแดงด้วยกัน เขาก็จะบริโภคข่าวสารที่เขาไม่เจ็บปวด ถ้าอ่านไทยโพสต์เจ็บปวดเขาก็จะไม่อ่าน เขาก็จะไปอ่านอะไรก็ตามที่ไม่เจ็บปวด เขาก็จะซึมซับเอาวาทกรรมต่างๆ ถ้อยคำต่างๆ อุดมการณ์ต่างๆ แลกเปลี่ยนกันในเพื่อนพ้องน้องพี่ทั้งหลายในปริมณฑลแห่งสี ดื่มด่ำในปริมณฑลแห่งสี รับฟังและก็ผลิต แลกเปลี่ยนข่าวสารกันในปริมณฑลแห่งสี มันก็เกิดอารมณ์ที่ดื่มด่ำไปกับสี จนกระทั่งไม่ว่าจะทำอย่างไรคุณก็ไปดึงเขาออกมาจากสีแดงไม่ได้ เพราะมันเป็นความเชื่อแล้ว มันเป็นอุดมการณ์ไปแล้ว พอมีคนมาบอกว่าพวกเขาโง่ พวกเขาไม่มีอุดมการณ์ ถูกจ้างมา แล้วเขาจะคิดอย่างไร สมมติรัฐบอกว่าคนกลุ่มสีแดงเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นคนชอบความรุนแรง ขณะเดียวกันก็ปิดกั้น ที่ท่านสาทิตย์บอกว่าเปิดพื้นที่อันกว้างขวางของท่าน แต่บังเอิญว่าพื้นที่อันกว้างขวางของท่านเป็นพื้นที่เพื่อบริการข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนเพื่อสนองเจตนารมณ์ของรัฐ และบังเอิญคนสีแดงทั้งหลายเขาไม่ได้สนองเจตนารมณ์ของรัฐก็เลยขึ้นมาพื้นที่นี้ไม่ได้ ขึ้นได้แต่ก็ยากมาก ในขณะที่รัฐครอบคลุมสื่อเกือบทุกชนิด"
"ที่ไม่สบายใจก็คือหลายๆ ครั้ง คนของรัฐบาลออกมาให้สัมภาษณ์ในทำนองเหมือนกับให้ร้ายป้ายสีเสื้อแดง จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจไม่รู้ มันสร้างความเจ็บปวดและมันสร้างศัตรู การที่เราใช้ถ้อยคำเสียดสีทิ่มแทงคนอื่น มันเหมือนน้ำหยดลงหิน มันค่อยๆ ร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนเขาโกรธว่าทำไมมาว่าเขา เขาโกรธว่าทำไมมาปิดกั้นสื่อเขา แล้วมันจะนำไปสู่ความรุนแรง ตรงนี้กลัวมากเลย เปิดทีวีเจอท่านโฆษกคนนี้พูด คนนั้นพูด ไม่ดีนะ เพราะถ้าเขาสั่งสมความโกรธมากๆ มันจะพาประเทศไปสู่ความหายนะ"
สื่อดรามา
อ.สุกัญญาชี้ว่า บทบาทของสื่อคือควรจะ play it deep ทำข่าวลึก play it round ทำข่าวรอบด้าน play it soft ทำข่าวรอบคอบ อย่าหาแพะ play it fair ทำข่าวอย่างเที่ยงธรรม และ play it wise ทำข่าวด้วยปัญญา
"สื่อควรจะ play it deep เล่นข่าวลึกเท่าที่จะลึกได้ เข้าใจดีในข้อจำกัด แต่เราพยายามเจาะให้ลึกให้ได้ จริงๆ แล้วสื่อก็คือมนุษย์ธรรมดา ย่อมมีโกรธ มีชอบไม่ชอบ อันนี้เป็นปกติของมนุษย์ เราทุกคนมีอารมณ์ทั้งนั้นแหละ บางครั้งสื่อก็บอกว่าผมต้องเลือกข้าง เคยมีลูกศิษย์มาถามเหมือนกันนะ สื่อเลือกข้างได้ไหม ก็บอกว่าบางครั้งสื่ออาจจะเลือกข้างได้นะ เพราะในต่างประเทศสื่อเขาก็เลือกข้างเหมือนกัน แต่ให้รู้ว่าการเลือกข้างนั้นเสี่ยง เสี่ยงมาก เพราะพอเราเลือกข้างปุ๊บเราจะเกิดอคติ พอเราเอาความรักและความเกลียดเป็นตัวตั้ง มันทำให้สื่อไม่สามารถจะลงลึกได้ในสิ่งที่ควรลึก ไม่สามารถลงรอบได้ในสิ่งที่ควรจะรอบด้าน ไม่สามารถที่จะรักษาความเที่ยงธรรม คือความแฟร์ ในที่ที่ควรจะเที่ยงธรรม หลายๆ อย่างเราไม่สามารถจะทำได้ เพราะว่าเรามีความรักและความเกลียดเป็นตัวตั้ง"
"เรื่องความเป็นกลางของสื่อมวลชน จริงๆ แล้วเป็นข้อที่ถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากเลยว่าสื่อมวลชนไม่ใช่ก้อนหินนะถึงจะเป็นกลางได้ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยหรือต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ต้องมีอารมณ์ทั้งนั้นแหละ แต่ปัญหาของสื่อมวลชนอยู่ที่เรามีภาระหน้าที่ที่คนอื่นไม่มี เรามีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่มหาศาลที่คนอื่นไม่มี สื่อมวลชนแบกสังคมไว้ทั้งสังคม คุณต้องมีความรับผิดชอบมากกว่าคนอื่น มีคนเคยถามว่าทำไมสื่อต้องมีความรับผิดชอบอะไรมากมาย มีจรรยาบรรณเยอะแยะไปหมด ก็บอกว่าหมอรับผิดชอบแค่คนไข้ใช่ไหม ตำรวจรับผิดชอบแค่งานตัวเองไปจับผู้ร้าย แต่สื่อมวลชนต้องรับผิดชอบทั้งสังคม เพราะคุณมีส่วนที่จะทำให้สังคมนี้เป็นสังคมพึ่งพาตัวเองได้หรือไม่ เป็นสังคมที่มีวิจารณญาณหรือไม่ หรือเป็นเพียงสังคมที่ไหลลอยไปตามกระแสของเหตุการณ์ เดี๋ยวก็เกลียดคนนี้เดี๋ยวก็รักคนนั้น เดี๋ยวก็ร้องไห้เดี๋ยวก็หัวเราะ"
"สื่อมวลชนสนองแค่ความรู้สึกของคน หรือสื่อมวลชนจริงๆ แล้วมีหน้าที่สนองสติปัญญา สื่อมวลชนต้องให้ความรู้แก่สังคม หรือสื่อมวลชนพึงให้แค่ความรู้สึกแก่ประชาชน ถ้าสื่อมวลชนให้เพียงแค่อารมณ์ความรู้สึกที่พร้อมจะเปลี่ยนเป็นความชื่นชมเป็นการดูถูก นั่นก็คือเรากำลังมีส่วนหรือเปล่าที่จะทำให้ผู้คนในสังคมไหลไปตามกระแส ไหลลอยไป ไหลไปไหนก็ไม่รู้ และไม่รู้ว่าจะออกไปที่ไหน หาทางออกไปที่ไหนก็ไม่เจอ วันก่อนนั่งในสภาฯ 2 ฝ่ายก็ยกข้อมูล 2 ด้านมาชนกัน เหมือนเราอยู่ในเหวนะ ไม่รู้จะออกไปทางไหน อะไรก็ตามที่มันสนองแค่อารมณ์และความรู้สึก มันทำให้เรามองไม่เห็นทางออก แต่ถ้าสื่อมวลชนมีบทบาทหน้าที่ในการให้ความรู้แก่ประชาชน เขาจะมีสติปัญญาที่จะช่วยกันแสวงหาทางออก อันนี้คือสิ่งที่อยากจะขอจากสื่อมวลชน"
สื่อคิดว่าตัวเองมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย อย่าง 14 ตุลา พฤษภา ไล่รัฐบาลมาทุกชุด สื่อจึงคิดว่าตัวเองควรมีบทบาทชี้นำสังคม
"สื่อชี้นำได้นะแต่ในระดับหนึ่ง สื่อไม่ใช่ผู้พิพากษาว่าคนนี้ดีคนนี้เลว สังคมควรไปทางนี้ สังคมอย่าไปทางโน้น ท่านเป็นได้แค่สื่อกลางเท่านั้น บางทีเราต้องบอกตัวเองนะ ความที่เรามีอำนาจมากๆ บางครั้งเราก็หลุดเหมือนกัน เอ๊ะนี่ฉันล้มรัฐบาลได้ นี่ฉันทำอะไรต่ออะไรได้มากมาย อย่ากระนั้นเลยฉันจะทำต่อไป มันไม่ค่อยถูกหรอก เพราะเราต้องเลือกก่อนว่าเราจะอยู่ในสังคมอะไร ถ้าเราจะอยู่ในสังคมประชาธิปไตย ถ้าเราคิดว่าเราคือสื่อในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนเป็นตัวตั้ง สังคมนี้จะไปทางไหน รัฐบาลนี้จะดีจะเลวอย่างไร สื่อมีหน้าที่วิ่งไปบอกประชาชน ในกรณีคอรัปชั่น เจ้านี่คอรัปชั่น เจ้านี่ทำ
ให้ประเทศชาติเสียหาย รัฐบาลทำไม่ดี หน้าที่ของสื่อวิ่งไปบอกประชาชน คุณก็ทำไปให้ประชาชนทราบ หน้าที่ของการไล่รัฐบาลอยู่ที่ประชาชน อาจจะโดยผ่านการเลือกตั้ง หรือโดยการประชามติหรืออะไรก็แล้วแต่ มันเป็นหน้าที่ของประชาชน นี่พูดถึงหลักการวารสารศาสตร์ว่าหน้าที่ของสื่อมวลชนคืออะไร"
"สื่อมวลชนเกิดขึ้นมาได้เพราะประชาชน เจ้านายที่ท่านจะต้องจงรักภักดีคือประชาชน เพราะมันเกิดสงครามปฏิวัติในยุโรป หลังจากประชาชนชนะเกิดระบอบประชาธิปไตยสมัยศตวรษที่ 18 ประชาชนบอกอย่ากระนั้นเลยฉันจะเอาสื่อมวลชน หนังสือพิมพ์ มาเป็นเครื่องมือให้ข่าวสารกับฉัน นี่ประชาชนเป็นคนบอก ให้ข่าวสารให้ความรู้กับฉัน พอรู้แล้วฉันจะเป็นคนตัดสินเองว่ารัฐบาลนี้จะอยู่หรือจะไป เพราะฉะนั้นหน้าที่ของ media มัน media จริงๆ คืออยู่ตรงกลาง หน้าที่แท้ๆ ของคุณจะออกห่างประชาชนไม่ได้ คุณไปอิงรัฐบาลไม่ได้ คุณต้องอิงกับประชาชน ก็คือต้องไปบอกประชาชนว่าขณะนี้เป็นอย่างนี้ ท่านเลือกเอาเองนะ ประชาชนเลือกเอาเองว่าจะไปทางไหน สังคมประชาธิปไตยขึ้นอยู่กับประชาชน ถามว่าแล้วประชาชนจะสร้างระบอบ
ประชาธิปไตยที่ดีได้อย่างไร สำหรับระบอบประชาธิปไตยหน้าที่ของประชาชนก็คือทำให้สังคมของพวกเขาดีขึ้น ทำอย่างไรสังคมที่เขาใช้ชีวิตอยู่ถึงจะอยู่ดีและสุข หน้าที่ของสื่อคุณต้องไปบอกเขาว่าตอนนี้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ๆ เขาก็เลือกวิถีทางของเขาเอง นี่คือสื่อในระบอบประชาธิปไตย"
"โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมตอนนี้ชุลมุนวุ่นวาย ประชาชนสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น หน้าที่ของสื่อมวลชนที่มองเห็นขณะนี้ อยากให้ลดเรื่องอารมณ์ความรู้สึกทั้งหลายลง แล้ววิเคราะห์เจาะลึกให้มากขึ้น รอบด้านมากขึ้น เอาข้อมูลมาตีแผ่เชื่อมโยงให้เห็นว่าขณะนี้มันเกิดอะไร เท่าที่เราจะสามารถนำเสนอได้ จะเป็นคุณูปการกับประชาชนเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าทุกวันนี้คนสับสนไม่รู้ว่าเรื่องจริงคืออะไร เพราะทุกคนที่ออกมาพูดของผมจริงทั้งนั้น รัฐบาลก็บอกว่าเขาเรื่องจริง คนเสื้อแดงก็บอกว่าของเขาคือเรื่องจริง มันก็เป็นเรื่องจริง 2 ด้าน ต่างคนต่างก็เล่าความจริงครึ่งเดียว สื่อมวลชนอาจจะต้องเชื่อมโยงเรียงร้อยข้อมูลทั้งหลาย"
"ทุกวันนี้ข่าวสารค่อนข้างจะกระโดดไปกระโดดมา เมื่อมีเหตุการณ์ใหม่เกิดขึ้นก็เสนอเหตุการณ์ใหม่ เรื่องเก่าก็ลดความสำคัญลง มันกระโดด เราเป็นสื่อเราอยู่ท่ามกลางข้อมูลข่าวสาร เรามีหน้าที่จะต้องเรียงร้อยข้อมูลให้ประชาชนเห็น เอาไปแบไว้เบื้องหน้าประชาชน ให้เขาตัดสินกันเอง สิ่งที่เรียกร้องจากสื่อก็คือ อยากให้มีการวิเคราะห์เจาะลึกรอบด้านมากขึ้น สิ่งที่เรียกร้องจากรัฐบาลก็คือ อยากให้ช่วยลงมามองในสายตาสีแดงเขาบ้าง ดูซิจะเห็นอะไร ลงมาอยู่ในระนาบเดียวกับประชาชนบ้าง ไม่ใช่พอเป็นรัฐบาลแล้วก็ขึ้นไปอยู่บนหอคอย คิดในแนวขนานบ้างอย่าคิดในแนวตั้งอย่างเดียว บางทีการที่เราไปสวมแว่นสีอื่น เราจะมองเห็นภาพอื่นๆ แล้วเราจะเข้าใจความต้องการอันหลากหลายมากขึ้น"
สื่อไทยเหมือนมีความรู้สึกว่าประชาชนไม่ตื่นตัว เราเลยตัดสินเอง และการเล่นข่าวของสื่อก็จะออกแนวดรามา
"dramatize มีพระเอก มีผู้ร้าย มีเรื่องอะไรต่ออะไรตื่นเต้นมากมาย"
"จริงๆ แล้วสื่อเราจะยกตัวสูงกว่าประชาชนไม่ได้ เราจะมองว่าประชาชนโง่กว่าเราไม่ได้ เช่นเดียวกับรัฐบาลมองประชาชนโง่ จริงๆ แล้วเขาอาจจะฉลาดกว่าเรานะ สื่อมวลชนบางครั้งอยู่กับข้อมูลเยอะ เราก็นึกว่าประชาชนไม่รู้ โอเคเรื่องที่ท่านรู้ประชาชนอาจไม่รู้ แต่ประชาชนอาจจะรู้ในเรื่องที่ท่านไม่รู้ก็ได้ เพราะฉะนั้นยิ่งเราเป็นสื่อ เราไม่ควรวางตัวอยู่เหนือประชาชน จริงๆ แล้วเราคือผู้รับใช้ประชาชนไม่ใช่หรือ สื่อจะต้องรับใช้ประชาชน เพราะฉะนั้นอย่างน้อยเราต้องอยู่ในระนาบเดียวกับประชาชน จำเป็นอย่างยิ่งที่สื่อมวลชนจะต้องไปสวมแว่นสีของประชาชน เพื่อที่จะเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของประชาชน แม้จะเป็นกลุ่มที่ท่านคิดว่าไม่มีคุณภาพหรืออะไรก็แล้วแต่ บางครั้งถ้าเราเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือเราพยายามไปเป็นเขา บางทีเราจะมีความเข้าใจเขามากขึ้น"
ตัวอย่าง2 มุม
อ.สุกัญญายกตัวอย่าง เอเมอรี คิง บรรณาธิการข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 แห่งดีทรอยต์ ซึ่งเมื่อตอนเกิดเหตุจลาจลจากความขัดแย้งระหว่างคนผิวขาวกับผิวดำในแอลเอ. เมื่อปี 1992 ดีทรอยต์เป็นเมืองที่เคยมีความขมขื่นจากการแยกผิว คนผิวดำเคยลุกฮือเผาบ้านเผาเมืองเมื่อปี 1967 สถานีช่อง 4 จึงต้องใช้วิจารณญาณอย่างมากในการเสนอข่าวจลาจลที่แอลเอ.ในแนวทางเพื่อสร้างสันติภาพ มากกว่าจะสร้างสงครามกลางเมือง โดยส่งนักข่าวลงไปสัมภาษณ์คนในเหตุการณ์เมื่อ 25 ปีที่แล้ว ในแนวของการมองเพื่อนร่วมชาติต่างผิวเชิงบวก
"เมื่อเกิดเหตุขึ้นมาเขาก็ส่งนักข่าวทั้งผิวดำ-ผิวขาวลงไปทำข่าว ผ่านสายตาอันหลากหลาย ดูซิว่าจะเห็นอะไร ตรงนั้นทำให้ได้ไปรับอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนทุกกลุ่มที่มีความหลากหลาย การนำเสนอข่าวสารก็เลยหลากหลายรอบด้าน ความหลากหลายและรอบด้านถูกนำเสนอครั้งแล้วครั้งเล่า เอามาเสนอติดๆ กันเป็นเวลาหลายๆ วัน เป็นการเน้นย้ำข่าวสารของความรักความเมตตาที่เพื่อนมนุษย์มีต่อกัน อันนี้คือบทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชนในเชิงบวก"
ตัวอย่างตรงข้ามคือสื่อรวันดา ที่ปลุกระดมให้คนต่างเผ่าฆ่ากันจนเกิดสงครามกลางเมือง
"รวันดาเป็นเรื่องของ 2 ชนเผ่า คือฮูตูกับตุซซี ฮูตูเป็นรัฐบาล ตุซซีเป็นประชาชน ซึ่งขัดแย้งกัน ความขัดแย้งกันตอนแรกมันก็เป็นแค่วิวาทธรรมดา แต่ตอนท้ายนี่ร้าวลึก โดยการกระทำของสื่อมวลชนที่เสนอข่าวด้านเดียว โจมตีด่าทอเสียดสี ปิดกั้นสื่อของฝ่ายตุซซีทุกประการ และนำเสนอวาทกรรมที่ว่าฆ่าคนชั่วไม่ผิด ก็คล้ายๆ กับที่เรากำลังพูดนี่แหละ ไอ้นี่มันชั่วไอ้นี่มันไม่ดีเพราะฉะนั้นฆ่ามันเสีย ผลที่เกิดขึ้นก็คือมีคนตายประมาณ 5 แสนถึง 1 ล้านคน โดยที่นักวิเคราะห์บอกว่า สื่อมวลชนเป็นตัวจักรสำคัญที่ก่อให้เกิดการสังหารหมู่ในครั้งนั้น"
"เป็นโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายมาก ยูเอ็นต้องส่งกองทัพเข้าไป ท้ายที่สุดพวกฮูตูก็ถูกขับไล่ออกนอกประเทศ อพยพข้ามประเทศ รัฐบาลฆ่าเขาแล้วตัวเองก็แพ้ ออกนอกประเทศแล้วก็ไปสร้างความร้าวฉานทั้งภูมิภาคในแถบนั้น ทุกวันนี้รวันดาก็ยังไม่สงบสุข ข้อเตือนใจสำหรับเหตุการณ์ในรวันดาก็คือบทบาทของสื่อมวลชน ที่พิพากษาว่าคนนี้ถูกคนนั้นผิด และการพิพากษานั้นเมื่อใช้วิธีการนำเสนอข่าวแบบข้างเดียว นำเสนอข่าวที่เต็มไปด้วยอคติ สร้างความโกรธแค้นรุนแรง ท้ายที่สุดทำให้เกิดโศกนาฏกรรม อันนั้นยกให้เป็นตัวอย่าง มันคงไม่เกิดกับประเทศไทยหรอก แต่ก็ระวัง"
"บางครั้งเวลาเราเป็นสื่อ เราก็เรียนว่าหมากัดคนไม่เป็นข่าว คนกัดหมาเป็นข่าว เราก็เอาแต่เรื่องที่มันแปลกประหลาด ตื่นเต้น ความขัดแย้ง มันก็เป็นการสร้างอารมณ์ความรู้สึกในข่าว ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ขณะเดียวกันสังคมมันไม่ได้มีแต่ด้านลบ ไม่ได้มีแต่ความเกลียดชัง อยุติธรรม สังคมมันก็มีด้านดี ทำไมเราไม่นำสิ่งเหล่านั้นมานำเสนอในสังคมที่กำลังอยู่ในภาวะความแตกแยกอย่างมโหฬารในขณะนี้บ้าง อันนี้ไม่ใช่หมายความว่าให้สื่อไปเสนอข่าวเชิงบวกทั้งหมด แต่หมายความว่าอย่าละเลยการนำเสนอข่าวสารที่จะสะท้อนบริบทในด้านดีของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และถ้าการนำเสนอข่าวแบบนี้ที่รอบด้านที่ลงลึกหลากหลาย มันจะเป็นประโยชน์ทำให้สังคมนี้ดีขึ้น นั่นเป็นสิ่งที่สื่อมวลชนควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะเป้าหมายของระบอบประชาธิปไตยก็คือทุกคนต้องช่วยกันทำให้สังคมนี้ดีขึ้น และสื่อมวลชนถือว่าเป็นแสงสว่างในความมืด ท่านสามารถเป็นแสงสว่างได้ แต่ท่านก็สามารถเป็นอาวุธได้เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะเป็นอะไร ถ้าท่านเป็นแสงสว่างท่านต้องให้ความรู้เขา เขาก็จะมองเห็นทางออกที่ปลายอุโมงค์ แต่ถ้าท่านให้อาวุธเขาเพื่อไปฆ่ากัน มันก็เป็นเรื่องที่สื่อมวลชนต้องตัดสินใจ"
แต่ตอนนื้สื่อส่วนใหญ่นำเสนอเพื่อเอาชนะ เพราะเราเลือกข้างไปแล้ว
"ท่านเลือกข้างได้ แต่ท่านกรุณาถอยจากข้างท่านแล้วมาดูข้างอื่นบ้าง ถ้าสื่อไทยลดการทำข่าวแบบสัมภาษณ์คนนี้ที แล้วมาถามคนนี้ที-ตอนนี้ข่าวจะนำเสนอแบบนี้เยอะมาก เวลาอ่านข่าวก็เลยจะดูแต่หัวข้อ มันเหมือนกับเอาคำพูดของคนมาต่อๆ กัน อ่านจบแล้วก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จะเป็นคุณูปการกับดิฉันมากเลยถ้าสื่อจะทำข่าวแบบเล่าเหตุการณ์เกิดอะไรขึ้น Who What When Where Why How มันเกิดอะไรขึ้น ขณะนี้คนกลุ่มหนึ่งกำลังคิดอะไร คนอีกกลุ่มกำลังคิดอะไร ข้อเสนอทางออกของคนนี้คืออะไร ทำไมเขาถึงคิดอย่างนี้ จะเป็นคุณูปการต่อผู้อ่าน"
การพาดหัว สรุป ชี้นำ ที่จริงก็เป็นมานานแล้ว
"อะไรที่เป็นอยู่แล้วเราเห็นว่ามันน่าจะไม่ดีนะ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้"
ในวิกฤติครั้งนี้ สื่อส่วนใหญ่ตัดสินใจเลือกข้างแล้วว่าจะไล่ทักษิณ ซึ่งอันที่จริงก็เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ไล่ถนอม ไล่สุจินดา ไล่ชวน ไล่จิ๋ว ไล่บรรหาร สื่อก็คิดว่าการเลือกข้างไม่ได้ผิดอะไร แต่ครั้งนี้มันยืดเยื้อ
"มันลงจากหลังเสือไม่ได้หรือเปล่า คือไล่แล้ว แต่ครั้งนี้ถ้าทักษิณเป็นสิงโต หางสิงโตมันติดไฟ ลากไปเผาบ้านเผาเมือง ในอดีตสิ่งที่เราทำไม่ได้ ทำให้เกิดมหันตภัยร้ายแรงขนาดนี้ แต่ทุกวันนี้รัฐบาลถูกวิจารณ์ว่าจะจับหนูตัวเดียวเผาบ้านทั้งหลัง ถ้าสื่อคิดว่าฉันจะต้องไล่ทักษิณให้ได้ หนูตัวนั้นกำลังทำให้ไฟเผาเมือง บางครั้งเราอาจจะต้องทำอะไรสักอย่างหรือเปล่า ก็ทิ้งไว้ให้สื่อพิจารณากันเอง มีความเชื่อในวิจารณญาณของสื่อมวลชน คนในวงการสื่อก็รู้จักหลายคน แต่บางครั้งเรากำลังวิ่งเกาะกระแสไปเรื่อยๆ แต่ต้องคิดว่าจะพาลงเหวหรือเปล่า หรือขับรถไปเครื่องมันกำลังรวน สิ่งที่ควรทำต้องชะลอใช่ไหม ไม่ใช่ดันทุรังแล้วขับไปอย่างนั้น หยุดคิดสักนิดแล้วมาช่วยกัน บางทีอาจจะถึงเวลาแล้ว เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตามปัญหาเศรษฐกิจมาถึงเราแน่นอน และถ้าเรายังเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่แค่เราจะล้าหลังประเทศเพื่อนบ้าน แต่เราจะพังกันทั้งประเทศ"
มหาวิกฤติ
ทำไมไล่ทักษิณไม่เหมือนไล่คนอื่น ทำไมวิกฤติครั้งนี้จึงจบยาก อ.สุกัญญาบอกว่าเพราะเป็นมหาวิกฤติ
"ดิฉันเรียกปรากฏการณ์นี้ว่าเป็น มหาวิกฤติในสายพานแห่งการเคลื่อนไปของสังคม ในเครื่องจักรของสังคมที่กำลังแล่นไปมันมีสายพานทางการเมือง สายพานทางเศรษฐกิจ สายพานทางสังคม สายพานทางสื่อ เมื่อก่อนมันก็ไปด้วยกันดี แต่การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้โลกก้าวไปสู่โลกาภิวัตน์ มันส่งผลกระทบสายพานทั้ง 4 ตัว ในทางด้านเศรษฐกิจจะเห็นได้ว่าเกิดระบบทุนนิยมสามานย์ที่เรียกกัน และเราจะมองเห็นความต้องการของรากหญ้าที่ดิ้นรนจะมีอำนาจทางเศรษฐกิจมากขึ้น สายพานทางการเมืองเราจะเห็นว่ามีความปั่นป่วนมากขึ้น มันกำลังเกิดความเรียกร้องต้องการใหม่ๆ ซึ่งจะสัมพันธ์กับสายพานทางสังคมและสายพานทางสื่อ เนื่องจากประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากช่องทางที่หลากหลาย มีอินเทอร์เน็ต ยิ่งถ้ามี 3G จะยิ่งมีเทคโนโลยีในการสื่อสาร ซึ่งไปถึงประชาชนทุกคนในราคาถูก ข้อสังเกตสำหรับการเข้ามาของเทคโนโลยี อันทำให้เกิดคลื่นของโลกาภิวัตน์ยุคใหม่ก็คือ มันทำให้เกิดการแยกย่อย เกิดคนที่มีความต้องการที่หลากหลาย ขณะนี้ประชาชนกำลังมีความต้องการที่หลากหลายมากๆ และเรียกร้องความต้องการของตัวเองด้วย เช่นบอกว่ารัฐบาลแบบนี้ฉันไม่เอา ฉันอยากได้รัฐบาลอย่างโน้น เศรษฐกิจอย่างนี้ฉันไม่เอา ฉันจะเอาเศรษฐกิจอย่างโน้น และสื่ออย่างนี้ฉันไม่เอา ฉันจะเอาสื่ออีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นสังคมจะเต็มไปด้วยความต้องการที่หลากหลาย และประชาชนเรียกร้องอย่างหลากหลาย"
"อันนี้คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเป็นสิ่งที่เชื่อว่ายากจะหยุดยั้งได้ เพราะเท่าที่ดูประวัติศาสตร์ไทยมาตั้งแต่อดีต เราไม่สามารถต้านทานกระแสโลกาภิวัตน์ได้เลย เพราะฉะนั้นความเปลี่ยนแปลงในระดับรากหญ้าที่กำลังจะหลากหลายมากขึ้น ประชาชนมีความเรียกร้องต้องการมากขึ้น มันจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน"
"สำหรับสื่อแล้วเขาไม่ได้เป็นเพียงผู้บริโภค แต่เขาเป็นผู้ผลิตด้วย คือเขาสามารถจะสร้างเว็บไซต์เอง เดี๋ยวนี้เด็กๆ ทำได้เก่งกว่าเราอีก และก็มีสื่อมากมายที่เขาสามารถผลิตขึ้นมาเองได้ เขาจะเริ่มรู้สึกว่าเขามีอำนาจทางสื่อ ประชาชนเริ่มรู้สึกว่าเขามีอำนาจทางสื่อ รากหญ้ารู้สึกว่าเขามีอำนาจทางเศรษฐกิจ เมื่อก่อนรากหญ้าขึ้นอยู่กับผู้ที่อุปถัมภ์ เจ้านายขุนนาง เศรษฐีทั้งหลายจะมาชูชุบอุปถัมภ์ แต่ตอนนี้ชาวบ้านเริ่มเรียกร้อง เช่นการรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นเหตุที่คุณทักษิณได้รับความนิยม เพราะไปสนองความต้องการของชาวบ้าน"
"สิ่งต่างๆ เหล่านี้กำลังเกิดขึ้นอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไปปะทะกับมัน ไปกั้นมัน เหมือนกับมีเขื่อนจะไปปะทะไม่ให้น้ำไหล เขื่อนมันจะแตกเพราะน้ำไหลมาแรงมาก การปิดกั้นความเปลี่ยนแปลงทางสังคมในระดับโลกาภิวัตน์เป็นสิ่งที่ยากมาก นอกจากเราจะปิดประเทศ ซึ่งเชื่อว่าสังคมไทยปิดประเทศไม่ได้เพราะเราเคยตัวแล้ว เราเคยชินกับการมีเสรี เคยชินกับการอยากบริโภคอะไรก็บริโภค จู่ๆ จะไปปิดกั้นเป็นไปไม่ได้แน่ๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนคิดว่าจะปิดกั้น พอปิดกั้นปุ๊บจะมีคนไม่พอใจ มันเกิดจะเกิด 2 ชนชั้นขึ้นมา ซึ่งสังคมไทยไม่เคยเกิดนะ คือผู้กดขี่ คนที่คิดว่าตัวเองอยู่บนหอคอยและมองไปข้างล่าง พวกนี้มันโง่ อีกชนชั้นก็จะมีความรู้สึกว่าถูกกดขี่ มันจะเกิดความรุนแรง และจะเกิดการปะทะ"
"นี่คือวิกฤติ มันเป็นวิกฤติทั้งทางเศรษฐกิจ มันเป็นวิกฤติทั้งทางการเมือง มันเป็นวิกฤติทางสื่อ ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะสื่อสารมวลชน มันเกิดสื่อใหม่ๆ มหาศาล และกำลังจะลงสู่รากหญ้าในราคาถูกด้วย สังคมก็เกิดวิกฤติเพราะพ่อแม่ไม่เข้าใจลูก ลูกก็ไม่เข้าใจพ่อแม่ว่าทำไมคิดอย่างนี้ มันก็เกิด generation gap ขึ้นมา วิกฤติทั้งหลายมันรวมตัวกัน กลายเป็นมหาวิกฤติในสายพานแห่งการเคลื่อนไปของเครื่องจักรทางสังคม เป็นมหาวิกฤติใหญ่มากเลย มันจะทำให้พวกเราทุกคนมีความรู้สึกเหมือนตกลงไปในวังน้ำวน หมุนๆๆๆ เกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ สื่อก็บอกไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นอย่ากระนั้นเลย ฉันก็ไปแสวงหาข่าวสารของฉันเอง ฉันก็ใส่แว่นสีเหลือง สีแดง สีฟ้า เลือกข่าวสารที่ตัวเองต้องการ แสวงหาเอง ต่างคนต่างก็ว่ายน้ำกระเสือกกระสนหาทางรอด และก็ต่างคนต่างจะยิ่งเอาตัวรอด แล้วมหาวิกฤตินี้จะพาเราไปไหนก็ไม่รู้ มันจะสร้างหายนะให้แก่เราขนาดไหนก็ยังไม่รู้"
วิกฤติมาเกิดตอนทักษิณพอดี ทักษิณเป็นตุ๊กตาของปัญหา
"เขาอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤติ อาจจะเป็นเพราะเทคโนโลยีทำให้เกิดคนอย่างทักษิณขึ้น ซึ่งไม่ใช่คนอย่างทักษิณคนเดียว อาจจะมีคนอื่นๆ อีกเยอะ แต่ทักษิณก็เป็นคนหนึ่ง ซึ่งอาจจะมีความคิดว่าจะเป็นอัศวินแห่งคลื่นลูกที่ 3 หรืออะไรของเขา ก็เกิดคนอย่างทักษิณขึ้นมา แล้วบังเอิญว่าคนอย่างทักษิณไปสนองความต้องการอันหลากหลายของประชาชน ซึ่งไม่เคยมีใครสนใจเขามาก่อน เมื่อก่อนเขาไม่เรียกร้องอะไร เขาขึ้นอยู่กับผู้อุปถัมภ์ แต่ตอนนี้เขากำลังต้องการและมีคนไปสนองความต้องการเขา เขาก็เริ่มเรียกร้องสิ ฉันจะเอาทักษิณ ใครจะว่ายังไง พอคนบอกให้ไม่ได้ก็โกรธไม่พอใจ ก็จะมีส่วนนี้ที่ขึ้นอยู่กับทักษิณ"
"แต่ดิฉันเชื่อว่ามีคนอีกจำนวนมากที่เคลื่อนไหวในเวลานี้ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทักษิณ แต่เขากำลังขับเคลื่อนกลไกบางอย่างเพื่อที่จะเรียกร้องอุดมการณ์บางอย่าง ที่เขาคิดว่าเป็นสิ่งที่ต้องการ อาจจะเป็นอุดมการณ์ประชาธิปไตยก็ได้ แต่เขาไม่ได้ขึ้นกับทักษิณหรอก เขาอาจจะมีความรู้สึกว่าสังคมเก่าแบบนี้มันอาจจะไปไม่ได้นะ มันอาจะมีปัญหา มันต้องเปลี่ยนแปลง เขาอาจจะลงไป join ตรงนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้นการที่เราไปชี้หน้าว่าพวกสีแดงเป็นพวกรากหญ้าทั้งหมด เป็นพวกไม่รู้เรื่อง ไม่ถูกต้อง"
ตอนนี้ก็มีความพยายามจะปิดกั้นความต้องการที่หลากหลายโดยยกเรื่องคุณธรรมความดีงาม
"เรื่องของคุณธรรมความดีงามมันเลื่อนไหลไปมาได้ ความดีระดับโลกุตระ เรื่องที่เราต้องมีศีลมีธรรม อันนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับ แต่เวลาที่มีคนบางคน คนบางกลุ่ม พูดว่านี่คือความดี นี่คือความถูกต้อง ใช่-มันเป็นความดีและความถูกต้อง และท่านก็มีเหตุผลที่จะสนับสนุนความดีและความถูกต้องของท่าน แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องยอมรับวามันยังมีความดีและความถูกต้องของคนอื่นด้วย เพราะความที่เป็นมนุษย์เรามักจะมองเห็นอะไรจากภูมิหลังที่เรามีอยู่ จากบริบทต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นตัวเรา และเราก็ยกว่านี่คือความดีงาม ส่วนนั่นคือความชั่วนะ สอนลูกอย่าทำนะ แต่อาจจะมีอีกครอบครัวหนึ่งเขาอาจจะบอกว่าสอนลูกอย่างนั้นไม่ถูกหรอก ความจริงที่ลูกเขาทำน่ะดีแล้ว เพราะมาตรฐานความดีของครอบครัวหนึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่ง เช่นอเมริกันบอกว่าลูกอายุ 18 ออกจากบ้านไปได้แล้ว ไปเผชิญชีวิตของตัวเอง ไปสร้างโอกาสของตัวเอง แล้วเจ้าจะภูมิใจที่สร้างชีวิตของเจ้าเองได้ นี่คือพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ทำทุกอย่างด้วยมือของตัวเอง แต่ครอบครัวไทยอายุ 18 ไปอยู่หอ พ่อแม่อกจะแตก เพราะฉะนั้นแค่คำว่าลูกที่ดี พ่อแม่ยังเข้าใจไม่เหมือนกันเลย"
"ฉะนั้นการที่เราคิดว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ดี สิ่งนั้นคือสิ่งที่ไม่ดี ถือว่าคนนั้นเป็นคนดีนะเพราะเขาคิดถึงความดี สื่อมวลชนถ้าคิดว่าพฤติกรรมอันนี้ บทบาทหน้าที่ของหนังสือพิมพ์อย่างนี้คือสิ่งที่ดี และอันนั้นคือสิ่งไม่ดี อันนี้ดิฉันถือว่าคือจริยธรรม เพราะเขาคิดถึงเรื่องความดี แต่เราต้องไม่คิดว่ามีแต่ความดีของเราเท่านั้นที่ถูก เพราะมันอาจจะมีอีกตั้งสารพัดความดี ซึ่งถ้าเราไปรับฟังเขา บางทีความดีของเขาอาจจะดีกว่าความดีของเราก็ได้"เหมือนเรื่องทักษิณคอรัปชั่น คนรากหญ้าก็ยอมรับแต่มองคนละมุม และสื่อหรือผู้ที่โจมตีมักจะทำให้สีเทากลายเป็นสีดำ
"เป็นเรื่องอันตรายเหมือนกัน ในการที่เราจะเล่นข่าวในทำนองขาวกับดำ พระเอกกับผู้ร้าย เพราะมันเป็นการตัดสินไปเลยว่านี่คือคนดี นั่นคือคนชั่ว ซึ่งบางครั้งคนเรามันมีทั้งดีและชั่ว อย่างกรณีคุณทักษิณท่านอาจจะมีส่วนของความไม่ดี เช่นการคอรัปชั่น สื่อหรือคนกลุ่มหนึ่งก็จะบอกว่าคุณทักษิณคอรัปชั่น เป็นนายกฯ ที่ไม่ดี คนรากหญ้าก็บอกว่าทักษิณคอรัปชั่นเหรอ นักการเมืองคนอื่นก็คอรัปชั่นเหมือนกัน ไม่เป็นไรหรอกถ้าคอรัปชั่น แต่ทักษิณมีความดีด้านอื่น เขามาช่วยฉัน มันเป็นเรื่องที่โต้เถียงกันไม่จบ นี่คือความดีของคนกลุ่มหนึ่ง และนี่คือความดีของคนอีกกลุ่ม-ปะทะกัน ถ้าเรายังมองอยู่ตรงนี้ เกรงว่าพวกเราจะพากันตกอยู่ในมหาวิกฤตินี่แหละ แล้วหาทางออกไม่ได้ ปะทะกันไปปะทะกันมา จนกระทั่งอาจจะนำไปสู่ความรุนแรงมากขึ้นกว่านี้"
"ความรุนแรงสามารถเกิดขึ้นได้ ถ้าเราซึ่งเป็นสื่อมวลชนบางครั้งเราใช้ภาษา... ดูจากงานวิจัยของเด็กปริญญาโทนะ ภาษาเป็นเรื่องสำคัญ มันปลุกอารมณ์ เราอาจจะต้องระวังกันหน่อย มันทำให้คนมีความรู้สึกว่าถูกทิ่มแทง ฉันแพ้แล้วใช่ไหม ยิ่งโกรธ จริงๆ แล้วทุกฝ่ายไม่มีใครอยากจะลงไปลึกกว่านี้ คือขณะนี้คิดว่าเราอยู่ในจุดที่น่ากลัวอยู่แล้วนะ มันลึกแล้วนะ ไม่อยากลงไปลึกกว่านี้แล้ว ถ้าเราไม่อยากลงไปลึกกว่านี้ ทุกฝ่ายก็ต้องค่อยๆ ชะลอรถคันนี้ แล้วหลายๆ ฝ่ายต้องมาช่วยกันคิด ดิฉันเชื่อในความรู้ความสามารถของคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล, ส.ส., ส.ว.และสื่อมวลชน รวมทั้งประชาชน อย่าไปดูถูกว่าเขาไม่รู้ ถึงบอกว่าบางทีเขารู้มากกว่าเรา เขาอาจจะกำลังบอกว่าจริงๆ แล้วเราไม่รู้อะไรเลยก็ได้"
เลือกข้างต้องถูกวิจารณ์
สื่อที่เลือกข้างในการไล่ทักษิณ เขาคิดว่าเป็นอุดมการณ์ที่ต้องทำ เป็นการเลือกข้างเพื่อนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
"ถ้าท่านคิดว่านี่คือการทำหน้าที่ที่ดีของสื่อมวลชน ดิฉันเชื่อว่าท่านเป็นสื่อที่ดีนะ เพราะท่านคิดว่านี่คือสิ่งที่ดีที่ท่านต้องการทำให้สังคมนี้ดีขึ้น แต่ตอนนี้เจ้าราชสีห์ตัวนี้มันลากคบเพลิงไปด้วย ท่านจะทำอย่างไรต่อไป"
เท่าที่เห็นคือพอเลือกข้างแล้วก็เอียงข้างทุกอย่าง เช่น สื่อที่ควรจะสนับสนุนประชาธิปไตยกลับสนับสนุนรัฐประหาร เป็นไปได้ไหมที่สื่อเลือกข้างแล้วจะยังรักษาจรรยาบรรณไว้ได้
"เรื่องของจริยธรรมที่สูงสุดเลยคือ จริยธรรมที่เกิดขึ้นจากสามัญสำนึกของตัวเอง สื่ออาจจะเลือกข้างเพราะคิดว่านี่คือข้างที่ดีที่สุดของสังคมไทย นั่นก็คือท่านกำลังคำนึงถึงประชาชน พันธะทางสังคม แต่มันยังมีจริยธรรมที่ลึกกว่านั้น คือมันเป็นสิ่งเราคิดว่านี่คือความดีแล้ว เราตระหนักได้ด้วยสามัญสำนึกของเราเอง มันอยู่ข้างในใจของเราเอง ถ้าท่านรู้ว่าสิ่งใดดีสิ่งใดไม่ดี ถ้าท่านเป็นห่วงว่าสิ่งที่ทำลงไปแล้วและคิดว่าดี ขณะนี้มันชักจะลึกลงไปแล้ว ก็เชื่อว่ามาจากจิตวิญญาณความเป็นสื่อมวลชนที่ตอบตัวเองว่าท่านลงลึกไปแล้ว"
"เมื่อลงลึกไปแล้ว และมันไปกระทบกับความเป็นนักวารสารศาสตร์ของท่านเอง ที่จะต้องเป็นกลางที่จะต้องไม่เข้าข้างใคร-ท่องได้เลย ต้องไม่เข้าข้างใคร ต้องรอบด้าน ต้องเป็นธรรม เวลาเข้าข้างเราจะรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม แต่เราก็กล้ำกลืนมันมา ยอมรับแม้กระทั่งรัฐประหาร ซึ่งรัฐประหารเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับประชาธิปไตย อันเป็นตัวก่อกำเนิดสื่อมวลชน ท่านกำลังไปเอาเผด็จการ ซึ่งเผด็จการนั้นในอดีตสื่อตะวันตกเขาโค่นมาแล้ว เป็นทรราช ฉันเป็นของประชาชน ฉันโค่นเผด็จการ สื่อแห่งระบอบประชาธิปไตย-นี่คือศักดิ์ศรีของสื่อมวลชน"
"แต่พอเกิดปัญหาท่านก็คงรู้ข่าวสารลึกกว่าคนอื่น แล้วท่านก็บอกว่าอันนี้เป็นสิ่งดีที่ท่านอยากจะมอบให้แก่สังคม ถึงแม้ท่านอาจจะต้องผิดจริยธรรมไปบ้าง ก็คือท่านไปเข้าข้างเผด็จการ เข้าข้างรัฐประหาร ท่านกำลังมีอคติ แต่ท่านบอกว่าทั้งหมดนี้มันเป็นเครื่องมือที่จะนำไปสู่สังคมที่ดีงาม ท่านก็เลยเลือกทำ"
"อันนี้ไม่ว่ากันนะ มันเป็นเรื่องที่ตัดสินกันได้ในสื่อมวลชนด้วยกันเอง แต่ดิฉันพูดแล้วว่าการเลือกข้างนั้นเสี่ยง ท่านเลือกได้ แต่ท่านเสี่ยง และท่านต้องยอมรับความเจ็บปวดภายหลังที่เกิดขึ้นด้วยตัวท่านเอง ถ้าเมืองนี้ถูกเผาท่านก็ต้องรับความร้อนนั้นเอง แล้วท่านมีส่วน แต่ขณะนี้เมืองยังไม่ถูกเผา ทำยังไงให้มันเย็นขึ้นล่ะ พูดได้แค่นี้แหละ"
เราเลือกข้างแล้วคงจรรยาบรรณได้ไหม เช่นเลือกไล่ทักษิณ แต่ไม่ใช่พันธมิตรฯ ทำอะไรก็เชียร์หมด แยกแยะถูกผิด มันเป็นสิ่งที่เลื่อนลอยไหม
"มันเสี่ยง และท่านจะอยู่ในจุดที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม สังคมกำลังมองว่าสื่อไม่เป็นกลาง ทุกวันนี้ท่านโดนอยู่ เขาวิจารณ์ว่าท่านไม่เป็นกลาง ท่านเข้าข้าง เวลาบางครั้งดิฉันนั่งดูทีวี คำถามที่นักข่าวป้อนแหล่งข่าว โห-มันแรงเกินไป ถามนำ และแสดงให้เห็นอคติของนักข่าว ซึ่งไม่ดีเลยนะ เราไม่สบายใจ ไม่อยากเห็นสื่อเป็นอย่างนั้น เพราะเรามีความรู้สึกว่าสื่อต้องสง่างาม เวลาเราเป็นกลางเราจะรู้สึกว่าเรามีศักดิ์ศรีนะ เราสง่างาม เราไม่เข้าใครออกใคร ฉันเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา ฉันกำลังเสนอความจริง รัฐบาลบอกว่ากำลังเสนอความจริง แต่เรากำลังจะบอกว่านั่นคือความจริงของรัฐบาล เสื้อแดงบอกว่าความจริงวันนี้ของเขาคือความจริง แต่เรากำลังบอกว่าเราจะเสนอความจริงให้รอบด้าน เสนอของทุกฝ่าย เวลาทำแบบนี้เราจะมีความสุข เราจะมีความรู้สึกว่าเราสง่างาม และนี่คือศักดิ์ศรีของสื่อมวลชน และจะไม่มีใครสามารถมาติติงวิพากษ์วิจารณ์เราได้"
"เราวิจารณ์ชาวบ้านได้ แต่พอประชาชนเขาเริ่มวิจารณ์เรา เราก็ต้องสะดุ้งแล้วละว่า เอ๊ะที่ฉันทำไปฉันคิดว่ามันถูก แต่คนอื่นเขากำลังบอกว่าฉันไม่ถูก ประชาชนผู้ที่เราคิดว่าเขาเป็นเพียงผู้บริโภคเริ่มเสียงดังมากขึ้น วิพากษ์วิจารณ์เรา และนับวันเสียงวิพากษ์วิจารณ์จะยิ่งดังมากขึ้น ถ้าดูจากเทคโนโลยีและความก้าวหน้าของการสื่อสาร เราในฐานะเป็นสื่อมวลชนที่เราคิดว่าทำดีที่สุดแล้ว ก็เชื่อนะ ในวิจารณญาณของนักหนังสือพิมพ์อาวุโสหลายๆ คน ท่านมีเหตุผลของท่าน และท่านก็เชื่อว่าท่านได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว แต่พอถูกวิจารณ์ปุ๊บเราก็ต้องฟัง เพราะเราบอกรัฐบาลต้องฟังเสียงสื่อมวลชน ประชาชนกำลังวิจารณ์เรา เราก็ต้องฟังเสียงของประชาชน ไม่รับฟังไม่ได้ ทุกวันนี้ก็เชื่อว่าสื่อเองต้องถามตัวเอง นี่ฉันกำลังทำผิดอยู่หรือเปล่า พอเราถามตัวเองและเริ่มมีความรู้สึกชักไม่มั่นใจ เราจะมีความรู้สึกว่าศักดิ์ศรี เกียรติยศแห่งฐานันดรที่ 4 ของเรามันเริ่มที่จะลดน้อยถอยลง บางทีเราต้องตั้งสติและอาจะต้องช่วยกันทำอะไรบางอย่าง"
สื่อส่วนใหญ่รู้สึกว่าในการไล่ทักษิณ ตัวเองจะไปยืนอยู่ข้างเวทีหรืออยู่นอกโลกไม่ได้ เป็นหน้าที่ที่จะต้องเลือกข้าง แต่เลือกแล้วจะตีเส้นให้อยู่ในกรอบของจรรยาบรรณและความเป็นมืออาชีพอย่างไร
"ถ้าวิธีการมีปัญหา มันเสี่ยงต่อการละเมิดจริยธรรม และมันต้องอาศัยอคติ อาศัยการเลือกข้าง วิธีการมันเสี่ยง มันก็จะทำให้เกิดผลร้ายขึ้นมาได้ นั่นเป็นสิ่งที่เราจะต้องระวัง"
"เราบอกว่าเรามีหน้าที่ต้องไล่ทักษิณ ในความรู้สึกของดิฉันคุณทักษิณก็ถูกไล่ไปแล้ว ตอนนี้อาจจะอยู่แอฟริกา แกน่ะไปแล้วอย่างดีก็ส่งเสียงตามสายมา เราประสบความสำเร็จแล้วในการไล่ แต่เรื่องมันยังไม่จบ เพราะจริงๆ แล้วเราอาจจะต้องถามตัวเราเองว่าปัญหาอยู่ที่ทักษิณจริงหรือเปล่า ทักษิณทิ้งซากอะไรไว้ มันจะเป็นสายใยของทักษิณหรือเป็นสิ่งที่ผูกพันระหว่างทักษิณกับรากหญ้า หรือมันจะเป็นอะไรบางอย่างซึ่งมองไม่เห็น มันยังมีอยู่ตรงนั้นใช่ไหม ที่คุณยังไล่ไม่ได้ คุณยังไล่สิ่งที่ประชาชนผูกพันอยู่ไม่ได้ ตัวทักษิณไปไหนแล้วก็ไม่รู้แต่สิ่งที่ประชาชนผูกพันอยู่คุณยังไล่ไม่ได้ จะไปไล่ในสิ่งที่เป็นความเชื่อเป็นความฝัน จะถูกไม่ถูกเราไม่รู้ แต่เป็นความเชื่อเป็นความฝันของเขา เรายังจะไปไล่ เกรงจะเกิดความรุนแรง และยิ่งไปปิดกั้นสื่อ ไปปิดสื่อของเขาแล้วสื่อของเรายังไม่ปิด มันสร้างความโกรธ เพราะฉะนั้นในสภาพที่เราอยู่ใกล้กองไฟขนาดนี้อย่าไปเติมเชื้อ ขอสักที ไหว้หละ"
สื่อทางเลือกที่น่ากลัว
ถ้าพูดถึงการปิด D Station ข้างเดียวก็ไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเปิดสองข้างประชันกับ ASTV ก็ต่างฝ่ายต่างปลุกอารมณ์
"สื่อทางเลือกต้องยอมรับว่าทั้ง D Station ASTV วิทยุชุมชน ประชาชนเป็นคนผลิตสื่อเอง แม้ ASTV มีคุณสนธิซึ่งก็เป็นสื่อด้วย แต่นับวันประชาชนจะยิ่งมีความสามารถผลิตสื่อมากขึ้น มันมีทั้งส่วนดีและส่วนเสีย ส่วนดีก็คือประชาชนจะเข้าถึงสื่อมากขึ้น ผลิตสื่อได้มากขึ้น ผลิตสื่อด้วยตัวเอง สามารถสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ส่วนที่ดีมีความเป็นประชาธิปไตย แต่ส่วนเสียก็คือสื่อมวลชนอย่างพวกคุณเป็นมืออาชีพ และคุณจะพูดถึงจริยธรรม จรรยาบรรณสื่อมวลชน แต่ถ้านึกถึงประชาชนทั่วไป เยาวชน ที่กำลังผลิตคลิปวิดีโอ กำลังผลิตสื่ออะไรต่างๆ มากมาย พวกเขาไม่ใช่มืออาชีพ ถ้าเขาไม่มีสิ่งใดที่จะดึงเขาไว้ในเรื่องของความรับผิดชอบในการส่งสาร จะเกิดผลกระทบรุนแรงกับสังคมไทย"
"ดิฉันไม่ได้บอกว่า D Station ไม่ปลุกปั่นไม่ยั่วยุ รู้สึกไม่ค่อยต่างกันนะ D Statio กับ ASTV มาสไตล์เดียวกัน การสร้างสื่อผลิตสื่อที่ไม่มีกลไกของความรับผิดชอบรองรับ จะเป็นผลเสียกับสังคมไทยในอนาคตอย่างแน่นอน มหาวิกฤติครั้งนี้ที่มันกำลังเกิดขึ้น และกำลังมีคนสร้างสื่อ และมันกำลัง crash กันใหญ่ ทีนี้จะแก้ไขอย่างไร มหาวิกฤติที่ใหญ่โตขนาดนี้มันเป็นเรื่องที่จะต้องมีความเปลี่ยนแปลงทั้งสังคม เศรษฐกิจ การเมือง สื่อมวลชน มันต้องมีความเปลี่ยนแปลง ปฏิรูปสังคมทั้งหมด จะปฏิรูปยังไง อย่างน้อยปฏิรูปให้ผู้คนมีศีลธรรมมากขึ้น มีคุณธรรมมากขึ้น รู้จักความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย คืออย่างไร"
"สิ่งสำคัญที่สุดของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นสังคมแห่งเสรีภาพ มีเสรีภาพในการพูดในการคิดในการทำทุกสิ่งทุกอย่าง คุณธรรมพื้นฐานของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยคือจะต้องมีความนับถือผู้อื่น เราอยู่ D Stion นับถือ ASTV อยู่ ASTV นับถือ D Station เขาก็เป็นเพื่อนมนุษย์เหมือนกับคุณ เขากำลังต้องการจะถ่ายทอดข่าวสารที่คิดว่าถูกต้อง อย่างน้อยมีความนับถือกัน เด็กๆ เยาวชนตั้งแต่เล็ก พลเมืองของประเทศที่เจริญแล้วที่เป็นประชาธิปไตย เขาสั่งสอนอบรมความเป็นพลเมืองที่ดีของระบอบประชาธิปไตย จะต้องรู้จักดำรงตนอยู่ได้ท่ามกลางความขัดแย้ง ท่ามกลางความหลากหลาย เพื่อนคนนี้คิดอย่างนี้ อีกคนคิดอีกอย่าง คุณต้องสามารถยอมทนเจ็บปวดได้ คือเจ็บปวดเกลี๊ยดเกลียดคนคนนี้โง่อะไรอย่างนี้ ต้องยอมทนรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง เพราะคนที่เราคิดว่าโง่อาจจะฉลาดกว่าเราก็ได้ในบางเรื่อง เขาอาจจะเป็นคนหาทางออกได้ก็ได้ อย่างน้อยต้องนับถือคนอื่น และต้องรู้จักยอมทนเจ็บปวดรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง"
"แต่ว่าไม่ใช่การสยบยอม เราไม่สยบยอมในสังคมประชาธิปไตย แต่เรารับฟัง เรานับถือเขา เขาเป็นเพื่อนมนุษย์เช่นเดียวกับเรา และรู้จักใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา เด็กๆ ของเราต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ ให้รู้จักคิดรู้จักใช้เหตุผล ทุกวันนี้เราตกอยู่ในอารมณ์มากเกินไป ดูละครตบตีกันมันเร้าอารมณ์นะ ผลผลิตจากสื่อมวลชนมากมายเลย เป็นผลผลิตที่เร้าอารมณ์เร้าความรู้สึก คนเราเวลามีความรู้สึกมากๆ มันหาทางออกไม่เจอ ถ้าจะสร้างสังคมให้ดีขึ้นต้องสร้างด้วยปัญญาไม่ใช่สร้างด้วยอารมณ์"
ตอนนี้มันไม่ใช่แค่สื่อ แต่ผู้ใหญ่ในสังคม นักวิชาการ ก็ช่วยกันสร้างอารมณ์
"เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราอยู่ในกระแสคลื่น อยู่ใน chaos ในวิกฤติการณ์ เราก็อยู่ในสังคมเดียวกัน ถามว่าสื่อมวลชนเป็นใคร สื่อมวลชนก็คือคนไทยคนหนึ่ง เรียนหนังสือมา อบรมบ่มนิสัยมาเหมือนกัน อยู่ในจารีตประเพณีเหมือนกันหมด เพียงแต่เรียกตัวเองว่าเป็นสื่อมวลชน ที่จริงๆ แล้วภูมิหลังก็คือคนไทย แต่ตอนนี้ถ้าเราพบว่าปัญหาส่วนหนึ่งมันเกิดจากพวกเราที่เราไม่ค่อยฟังเสียงคนอื่น เราคิดว่าเราถูก ก็ต้องฉุกคิดบ้าง"
กรณีของ ASTV กับ D Station ดูเหมือนจะไม่สามารถใช้กระบวนการทางกฎหมายจัดการได้ บางเรื่องก็ฟ้องหมิ่นประมาทไม่ได้ หรือบางคนฟ้องจนขี้เกียจฟ้อง ทั้งสองฝ่ายปลุกปั่นรุนแรง ถ้าจะให้รัฐควบคุมก็กลายเป็นการแทรกแซงสื่อ เรามีทางอื่นในการควบคุมไหม
"ในประเทศประชาธิปไตยจะให้สิทธิเสรีภาพกับสื่อมวลชนสูงมาก และขณะเดียวกันเขาก็ให้ความนับถือสื่อมวลชนว่าเมื่อท่านมีเสรีภาพแล้วท่านควรจะรู้ว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร แต่ทีนี้พอท่านมีเสรีภาพแล้วท่านไปด่าคนอื่น ไปโจมตีคนอื่นจนรุนแรงร้าวลึกขึ้นเรื่อยๆ บางส่วนกฎหมายอาจจะเข้ามาจัดการได้ อย่างกฎหมายหมิ่นประมาท แต่บางครั้งมันทุกเมื่อเชื่อวัน มันกลายเป็นตัวจักรตัวหนึ่งซึ่งจะนำไปสู่ความรุนแรงแล้ว ก็ไม่รู้จะว่ายังไง นอกจากว่าถ้ามีการสั่งปิด D Station นี่คือใช้อำนาจรัฐแล้ว ซึ่งดิฉันก็ไม่แฮปปี้เท่าไหร่ เพราะว่าสื่อมวลชนควรมีเสรีภาพในการแสดงออก แต่ขณะเดียวกัน D Station ก็ควรมีความรับผิดชอบในการแสดงออกเหมือนกัน ไม่ควรไปปลุกปั่นทำให้เกิดความบาดหมาง แล้วรัฐบาลก็มองว่าไม่รับผิดชอบเพราะฉะนั้นฉันปิด ขณะเดียวกันพอย้ายไปดู ASTV ทำก่อนเขาอีก ท่านมีเสรีภาพแต่ท่านก็โจมตีเขา แต่ว่าท่านยังไม่โดนปิด เขาเลยบอกว่าอะไรกันประเทศนี้ สองมาตรฐาน เพราะฉะนั้นสื่อมวลชนเมื่อมีเสรีภาพแล้ว ดิฉันเชื่อว่าหลายๆ ฝ่าย กระทั่ง ASTV เป็นมืออาชีพ เขาต้องตระหนักเรื่องจริยธรรม แต่มันเป็นเพราะอะไรที่ทำให้บางครั้งอาจจะก้าวร้าวรุนแรง ดิฉันไม่ต้องไปพูดว่าเป็นเพราะอะไร ให้วงการสื่อสารมวลชนตัดสินเอง เพราะท่านเป็นมืออาชีพ คร่ำหวอดในวงการสื่อสารมวลชนยาวนาน"
วิทยุแท็กซี่ก็เป็นสังคมของเขา ใช้ภาษาใช้วิธีการแบบของเขา
"ข้อสำคัญคือทำอย่างไรที่จะปลุกจิตสำนึกในทางคุณธรรม ความรับผิดชอบในหมู่ประชาชนได้ เพราะถ้าไล่ปิดเว็บไซต์วันนี้พรุ่งนี้เขาก็เปิดใหม่ เพราะในอนาคตมันจะเป็นสื่อภาคประชาชน"
งูเห่าจะฉกกัน
ถามตอนหนึ่งว่าที่อาจารย์เปรียบเป็นมหาวิกฤต ใช่ไหมว่าคือการต่อสู้กันระหว่างระบอบพ่อปกครองลูกกับระบอบประชาธิปไตย ซึ่งระบอบแรกพยายามอ้างคุณงามความดีและวัฒนธรรมประเพณีมาป้องกันตัว
"ดิฉันเชื่อในผู้ใหญ่นะ ผู้อาวุโสของเรา ถ้าดูจากอดีตท่านสามารถที่จะปรับตัวเข้ากับกระแสโลกาภิวัตน์ได้ แต่ขณะเดียวกันท่านก็ยังต้องรักษาจารีตประเพณีไว้ ปัญหาคือในเมื่อคลื่นประาธิปไตยมันถาโถมมาแรง เราก็ยอมรับว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองที่ดีที่สุด แต่ทำอย่างไรที่เราจะอยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ นี่แหละ คือเป็นประชาธิปไตยที่เรายังมีความเคารพเชื่อฟังผู้อาวุโส ในระดับที่สามารถจะยินยอมพร้อมใจกันได้ มันเหมือนเป็นดุลแห่งอำนาจ ระหว่างผุ้อาวุโสกับผู้ด้อยอาวุโส ที่จะสารถอยู่ด้วยกันได้"
ใช่หรือไม่ว่าผู้อาวุโสต้องยอมเสียดุลบ้างแต่ไม่ยอมเสีย
“ก็อาจจะเป็นไปได้ ผู้ใหญ่บางคนท่านก็ยังมีค่านิยมของท่าน ก็เป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆ พูดจากัน เชื่อว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่ประนีประนอม ในท้ายที่สุดน่าจะจบลงได้ด้วยดี แต่ถ้าไม่สามารถประนีประนอมกันได้... ระยะนี้ค่อนข้างจะมองว่ามันเลยจุดเจรจาแล้ว ก่อนหน้านี้ยังเป็นช่วงที่สามารถเจรจากันได้ ตอนนี้ไม่ใช่ เหมือนกับที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ท่านเขียนเกี่ยวกับ 6 ตุลาว่า เหมือนงูเห่า 2 ตัวจะฉกกันแล้วผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร งูเห่ามันไม่เจรจากันแล้ว มันจะฉกกันแล้ว อยากจะเรียนว่าวันนี้เราเริ่มปะทะกันแล้ว มันอยู่ใน process ของการปะทะกันแล้ว ระหว่างนี้เรายังจะทำอะไรกันได้หรือเปล่า”
โดย : ประชาไท วันที่ : 28/4/2552
Resource:http://www.prachatai.com/05web/th/home/16639
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น