
เหตุใดคนไทยจึงโกรธ
April 18, 2009
โดย ร.ศ. ด.ร. ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์
วันจันทร์เป็นวันปีใหม่ตามประเพณีของไทย ตามปกติคุณจะต้องเห็นผู้คนอยู่บนท้องถนน มีความรื่นเริง รักษาไว้ซึ่งประเพณีอย่างการรดน้ำซึ่งกันและกัน แต่ในปีนี้ไม่มีใครฉลองในใจกลางกรุงเทพ แต่กลับมีการปะทะกันเกิดขึ้นระหว่างผู้ประท้วงและทหาร ผมไม่เคยเห็นการประท้วงแบบนี้มาก่อนเลย มันเป็นความโกรธแค้นอันดิบเถื่อน แสดงออกมาเป็นความรุนแรงที่เป็นการทำลายล้าง
ผู้ชุมนุมอ้างการประท้วง ความอยุติธรรมเชิงระบบ และความแตกต่างของมาตรฐานที่ปฏิบัติระหว่างคนยากจนและคนร่ำรวย แต่การกบฎสะท้อนถึงปัญหาที่ฝังรากลึกกว่านั้น คนตะวันตกมักคิดว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย ปกครองด้วยเจตจำนงค์ของคนส่วนใหญ่ แต่ในความเป็นจริงประเทศของเราถูกปกครองด้วยชนชั้นปกครองที่ประกอบไปด้วย ชนชั้นสูง, ทหาร และระบอบอมาตยาธิปไตย แม้จะมีการเลือกตั้ง แต่ชนชั้นปกครองดูจะไม่ชื่นชอบพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง พรรคการเมืองถูกยุบ เมื่อไม่สามารถไว้วางใจหีบลงคะแนนได้ ผู้คนก็ลงสู่ท้องถนนผู้ชุมนุมคราวนี้คือคนเสื้อแดง เป็นกลุ่มสนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกโค่นโดยกองทัพเมื่อปี 2549 ในขณะที่เมื่อปีกลาย ผู้ประท้วงเป็นกลุ่มคนเสื้อเหลือง ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การเคลื่อนไหวอันเป็นที่สุดของพวกเขาคือการยึดท่าอากาศยานนานาชาติสองแห่ง (ดอนเมือง และสุวรรณภูมิ) หลังจากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญก็มีคำพิพากษาให้ยุบพรรคพลังประชาชนของกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะอาศัยสุญญากาศอำนาจนี้ ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มีน้อยคนจะเรียกว่าสิ่งนี้คือประชาธิปไตย
เมื่อวันอังคาร ผู้นำการชุมนุมเรียกร้องให้มีการเสียสละ แต่นายอภิสิทธิ์และเหล่าผู้สนับสนุนรู้สึกอิหลักอิเหลื่อที่จะยอมรับ ความคับข้องใจของคนเสื้อแดง นี่จึงเป็นความผิดพลาด ประเทศไทย ซึ่งปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญจะต้องค้นหาเส้นทางที่นำไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง มันจะต้องไม่เป็นแบบเนปาล คือการเปลี่ยนจากระบอบกษัตริย์เป็นระบอบสาธารณรัฐ เนื่องจากเราได้เชื่อมโยงสัญลักษณ์พระมหากษัตริย์เข้ากับอัตลักษณ์ความเป็นไทย มันไม่สามารถเป็นแบบฟิลิปปินส์ ซึ่งการเคลื่อนไหวภาคประชาชนไม่ได้นำมาทั้งเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ สิ่งท้ายสุดที่เราต้องการคือระบอบเผด็จการทหารเหมือนที่พม่าเป็น ในบรรดาประเทศเหล่านี้ ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนผ่านจากระบอบเผด็จการในประเทศอินโดนีเซียนับเป็นสิบๆปี สู่ระบอบประชาธิปไตยดูเป็นรูปแบบที่ดีที่สุด
ความรับผิดชอบจึงตกอยู่กับนายอภิสิทธิ์ และผู้อยู่เบื้องหลังเขา ชนชั้นนำต้องยืนอยู่เคียงข้าง และปล่อยให้กล่องลงคะแนนเลือกตั้งได้ตัดสินดังที่มันเป็น เราต้องละทิ้งกระบวนการอันไม่เป็นประชาธิปไตยดังที่เกิดขึ้นในรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 และทดแทนด้วยรัฐธรรมนูญที่ได้รับความนิยมกว่าในฉบับ 2540 เราต้องการสภานิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ศาลที่สามารถทำการวินิจฉัยผลการเลือกตั้งได้อย่างเป็นธรรม และองค์กรอิสระที่คอยจับตามองการเลือกตั้ง
เมื่อวันอังคารบ่าย ผู้คนออกมาเฉลิมฉลองวันที่เหลือของปีใหม่บนท้องถนนกันทุกแห่งหน แต่อย่าได้หลงเชื่อกับความไม่สงบที่สิ้นสุดลงไปนี้ ตราบใดที่ประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เรายังจะได้เห็นความวุ่นวายอีกหลายต่อหลายครั้งบนท้องถนน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น