วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

05.03.2544 คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี ( พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ) ในการประชุมชี้แจงนโยบายของรัฐบาล




คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี ( พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร )

ในการประชุมชี้แจงนโยบายของรัฐบาลแก่ผู้บริหารในระดับสูง

ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม 2544 เวลา 09.00 น.

กล่าวทักทาย

ปลัดกระทรวง ผู้บัญชาการเหล่าทัพ อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด และข้าราชการ ชั้นผู้ใหญ่ทุก ๆ คน วันนี้ผมและคณะรัฐมนตรีรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาพบปะกับทุกคน และได้มา เป็นประธานในการเปิดการชี้แจงนโยบายให้กับผู้บริหารระดับสูงของประเทศ ได้เข้าใจการทำงานร่วมกัน อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต

มอบนโยบาย

วันนี้นอกจากเป็นการชี้แจงนโยบายของรัฐบาล และชี้แจงแนวการทำงานร่วมกันของ รัฐบาลแล้ว ยังเป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสมาพบปะกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อย่างเป็นทางการ ซึ่งผม ถือว่าเป็นวาระที่ดีที่สุด โดยเฉพาะต่อจากการที่ได้มีการประชุมชี้แจงนโยบายกับรัฐสภาแล้ว หลายคนคงจำได้ว่า วันนั้นผมพูดคำว่า 36 คนของคณะรัฐมนตรี ไม่เพียงพอที่จะขับเคลื่อนให้ประเทศนี้ก้าวไปข้างหน้าได้ 700 คนในสภาฯ ผมได้ไปชี้แจงขอความร่วมมือไปแล้ว แต่อีก 2 ล้านคน ที่เป็นข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญพลังหนึ่ง ที่เราจะต้องมีความเข้าใจในทิศทางที่จะเดินไปด้วยกันและแน่นอนว่า 61 ล้านคนเศษ ของประชากรทั้งหมดก็ต้องเข้าใจว่าเราจะ นำพาเขาไปที่ไหน แล้วจะเป็นสิ่งที่เกิดประโยชน์แก่เขาอย่างไร เพราะฉะนั้นวันนี้จึงเป็นขั้นที่ 3 ที่ผมได้ทำหน้าที่ โดยในขั้นที่ 1 ผมได้ชี้แจงกับคณะรัฐมนตรีในการประชุมนัดแรก ถึงการทำงานร่วมกันแล้ว ขั้นที่ 2 ผมได้ชี้แจงกับรัฐสภา 700 คนแล้ว และนี่คือขั้นที่ 3 คือการชี้แจงแก่ผู้บริหาร เพื่อท่านจะได้ไปชี้แจง ต่อ และแน่นอนว่าหลังจากนั้นแล้วผมจะต้องพบกับประชาชน พูดให้ประชาชนฟังถึงความจริงของประเทศไทย และแนวทางที่ผมจะทำงานให้เขา วันนี้จึงต้องขอขอบคุณเลขาธิการคณะรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทุกคนที่ได้กรุณามาร่วมการประชุมชี้แจงนโยบายในวันนี้ ซึ่งผมขอเสนอแนวคิดและแนวนโยบาย แบบคนที่จะต้องทำงานร่วมกัน ที่มีภารกิจร่วมกัน และผมขอพูด แบบสบาย ๆ ไม่เป็นทางการ แต่ขอให้ช่วยกันรับฟังด้วย เพื่อจะได้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน

ข้าราชการมืออาชีพ

สำหรับสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะเห็นคือ อยากเห็นข้าราชการเป็นมืออาชีพ ผมไม่อยากเห็นข้าราชการสังกัดพรรค อยากเห็นสังกัดประเทศไทย เพราะสิ่งที่ผ่านมาบางครั้งผมเห็นใจ ข้าราชการ บางครั้งข้าราชการทำตัวลำบาก แต่บางคนทำงานโดยยึดแนวนโยบายของการบริหารในขณะนั้น แต่ก็ทำตัวเป็นมืออาชีพมาก ซึ่งอันนี้ผมขอยกตัวอย่างกระทรวงการคลัง สาเหตุที่ยกตัวอย่างกระทรวงการคลังก็เพราะว่า ได้ทำงานใกล้ชิดกับกระทรวงการคลัง ในขั้นการเตรียมการรับตำแหน่ง ซึ่งกระทรวงการคลังต้องยอมรับว่าในอดีตทำงานใกล้ชิดกับรัฐบาลมาก แต่ว่าพอถึงเวลาเปลี่ยนหน้าที่ เขาก็ทำงานใกล้ชิดกับรัฐบาลคือเป็นมืออาชีพ คือผมอยากเห็นอย่างนี้มาก เพราะไม่อย่างนั้นประเทศไปไม่ได้ สังคมไทยเราบางทีบางครั้งเราก็คิดกันมาก จึงขอให้รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่เปิดใจกว้าง ให้พวกเราทำงานอย่างมืออาชีพเพื่อประชาชน เพราะเรายังต้องทำงานเพื่อประชาชน

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ชี้แจงนโยบายต่อสมาชิกรัฐสภา และให้ความเห็นต่าง ๆ นา ๆ ซึ่งมีทั้งเห็นด้วย ทั้งเสริม ทั้งไม่เห็นด้วยทั้งหมด หรือว่าไม่เห็นด้วยบางส่วน สำหรับทางส่วนราชการต่าง ๆ ทางเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ประมวลมา ซึ่งจะเข้าคณะรัฐมนตรีในวันที่ 6 มีนาคม 2544 เพื่อทราบ จะได้นำไปอ่านเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไข โดยใช้สมองของคน 700 คน ที่มากกว่า 36 คน และวันนี้เราก็จะใช้สมองของคนอีก 2 ล้านกว่าคน มากกว่า 36 คน และ 700 คน โดยแจกข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องการเห็นด้วยไม่เห็นด้วย ในนโยบายหลาย ๆ อย่างให้กับทุกคน เพื่อนำมาสู่การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง ผมต้องขอขอบคุณข้าราชการหลายคนที่ได้ช่วยกันให้ข้อมูลกับรัฐบาล ในการตอบคำถามของรัฐสภาในวันที่ 26 - 28 กุมภาพันธ์ 2544 ซึ่งผมได้ไปขอบคุณด้วยตัวเองมาแล้วรอบหนึ่ง แต่อาจไม่ทั่วถึง วันนี้ผมจึงขอถือโอกาสขอบคุณทุกคนในที่นี้อีกครั้ง

อัญเชิญพระราชดำรัส

วันนี้ผมจะต้องพูดชี้แจงทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่าย แต่ช่วงบ่ายเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีมหาดไทยเป็นหลัก เพราะเป็นการประชุมร่วมกันของฝ่ายบำบัดทุกข์บำรุงสุข ส่วนผมจะทำหน้าที่ไปเปิดและให้แนวทาง หลังจากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก็จะชี้แจงต่อ ผมขอเรียนว่า รัฐมนตรีที่มาร่วมชี้แจงในช่วงบ่ายกับผมในวันนี้ หลังจากที่ผมพูดเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะให้ทุกคนได้ ซักถามรัฐมนตรี โดยเฉพาะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการเขียนนโยบาย จะมาร่วมช่วยชี้แจงด้วย ก่อนอื่นผมขออัญเชิญพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานในพิธีถวายสัตย์ ปฏิญาณของคณะรัฐมนตรี ณ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2544 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นพระราชดำรัสที่มีคุณค่ายิ่ง ทั้งนี้เพื่อเป็นข้อเตือนใจในการที่เราจะทำงานร่วมกัน ท่านทรงย้ำว่า รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลของประชาชน ถ้าทำดีก็จะทำให้ประเทศชาติก้าวหน้า มีชื่อเสียงมีฐานะดี เป็นความเจริญของประชาชนและประเทศชาติ ถ้าผิดพลาดก็เป็นความผิดพลาดของประเทศชาติ ในสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้ามีความผิดพลาดใด ๆ ก็ถือว่าเป็นอันตรายต่อส่วนรวมและมีผลก้าวไกล และท่านยังทรงให้ข้อคิดว่า ประเทศชาติของเราประกอบด้วย ประชาชน คนทั่วประเทศ ซึ่งมีความคิด มีความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน แม้แต่ถิ่นที่อยู่ก็แตกต่างกัน ฐานะก็แตกต่างกัน ทรงย้ำเตือนว่า หน้าที่ของคณะรัฐมนตรี เป็นหน้าที่ที่หนักมาก ต้องทำด้วยความเฉลียวฉลาด ด้วยความรู้หลักวิชา ด้วยความมีคุณธรรมที่สูง จึงขอให้ปฏิบัติงานอย่างเต็มกำลังและความสามารถ ทั้งกาย ทั้งใจและสติปัญญา ถ้าทำได้ก็จะได้รับผลสำเร็จ ทรงขอให้คณะรัฐมนตรีทุกคนทำงานด้วยความสามารถเต็มที่ ด้วยความอุตสาหะ ด้วยความ เสียสละ ด้วยความฉลาดและด้วยความซื่อสัตย์ เพื่อเป็นแนวทางที่รัฐบาลจะต้องรับใส่เกล้าใส่กระหม่อมยึดถือมาปฏิบัติ เพราะฉะนั้นผมจึงขอถ่ายทอดให้กับทุกคน ในฐานะที่เราจะต้องทำงานร่วมกันว่า นี่คือแนวทางที่เราจะต้องทำ

สรุปก็คือว่า ในช่วงนี้ประเทศไทยเราอยู่ในฐานะที่จะผิดพลาดไม่ได้อีกแล้ว เงินก็ เหลือน้อย หนี้ก็สูง ความอดทนของประชาชนในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจเราก็ถือว่า เราขอร้องให้ประชาชนอดทนมามากแล้ว ถึงแม้ประชาชนต้องทนต่อ แต่ว่าเราเองก็จะต้องเร่ง เราจะปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านไปแบบวันต่อวันคงไม่ได้ ประชาชนต้องอดทนต่อ คือสรุปแล้วเราต้องฟิต คณะรัฐมนตรีก็ต้องฟิต ข้าราชการก็ต้องฟิต แม้กระทั่งคนที่ใกล้เกษียณอายุก็ต้องฟิต เพราะว่าประเทศจะเสียโอกาส เมื่อวันเสาร์ท่านก็คงทราบข่าวใหญ่ แต่ผมเองก็ขอเรียนว่าไม่ได้หวั่นไหวอะไร ก็ขอทำหน้าที่อย่างเดิม วันเสาร์ – อาทิตย์ที่จะต้องไปประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องยาเสพติด กันที่เชียงรายก็จะไปเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าใครมีหน้าที่อะไรก็ทำหน้าที่ตรงนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน้าที่ทางด้านความปลอดภัย ไม่ได้หมายความว่าผมจะขวัญเสียหรืออะไรเลย ก็เพียงแต่ว่ากันไปตามกติกาบ้านเมือง แต่สำหรับผมเอง ผมถือว่าผมต้องทำงาน ผมต้องเคลื่อนไหว ต้องเคลื่อนตัวเข้าสู่ปัญหา ถึงที่ปัญหา ผมเองก็จะต้องทำของผมอย่างนี้ เหตุที่เกิดขึ้นถึงแม้ว่าเราก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่ายังไม่รู้สาเหตุว่าเป็นเพราะอะไรก็จริงอยู่ แต่ว่าไม่ทำให้ผมต้องชะลอการทำงาน ฉะนั้น ก็ขอร้องว่าเราจะต้องช่วยกัน

หลักการบริหารของรัฐบาล

ผมอยากจะขอพูดถึงหลักคิดและหลักบริหารของรัฐบาลที่จะใช้ในการทำงานใน วันข้างหน้า คือ ผมขอเรียนว่าการที่รัฐบาลได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนโดยพรรคแกนนำ ซึ่งรวมกันเป็นรัฐบาลที่มี ส.ส. ในสภาผู้แทนราษฎรมาก ผมก็บอกกับสภาผู้แทนราษฎรแล้วว่า ผมจะไม่ใช้อำนาจในทางที่ผิด แต่ผมใช้ความที่มีเสียงข้างมากครั้งนี้เป็นนาทีทองของประเทศในการเปลี่ยนแปลงอะไรที่มันควรจะเปลี่ยนมานานแล้ว แล้วไม่ได้เปลี่ยน จะถือโอกาสเที่ยวนี้ที่จะเปลี่ยน ฉะนั้น ผมอยากให้ข้าราชการทุกท่านได้ไปนั่งฝันว่าที่กระทรวง ทบวง กรม ของตัวเอง เคยฝันว่าจะเปลี่ยนอะไรแล้วเปลี่ยนไม่ได้เพราะการเมือง วันนี้ถึงเวลาที่ท่านจะต้องสานฝันของท่านแล้ว เพราะคิดว่าการเมืองจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป แล้วผมขอเรียนว่าผมจะบริหารรัฐบาลนี้ที่เป็นรัฐบาลผสมให้เหมือนกับว่า ไม่ใช่รัฐบาลผสม เราจะชวนกันทำลายกำแพงกั้นความคิด ทำลายกำแพงกั้นการทำงานด้วยกันที่จะใช้พลังร่วมกันออกจากกันหมด ไม่ว่าจะเป็นกำแพงระหว่างกรม ระหว่างกระทรวง ระหว่างรัฐมนตรี ว่าการ รัฐมนตรีช่วยว่าการ หรือรัฐมนตรีต่างพรรค ไม่มี ถ้ามีเมื่อไรผมไม่ยอม เพราะว่าไม่เช่นนั้นเราจะสูญเสียโอกาส ที่ผ่านมาเราสูญเสียมามากแล้ว เราไม่ต้องโทษใครแต่เราคิดว่าระบบของเรา วันนี้ได้พัฒนามาถึงจุดที่ประชาชนอยากเห็น

รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเกิดแล้ว พรรคการเมือง การเมืองเกิดขึ้นภายใต้กติกาใหม่แล้ว ฉะนั้นการบริหารต้องบริหารด้วยกติกาใหม่ ทฤษฎีใหม่ด้วยความตั้งใจ ความมุ่งมั่นใหม่ ฉะนั้นวิธีเก่า ๆ ที่คิดเก่า ๆ ในกรอบเดิม ๆ ว่าจะติดตรงนั้น เกรงใจรัฐมนตรี ต้องไม่มี ผมพูดดัง ๆ ให้ รัฐมนตรีของผมได้ยินด้วย ข้ามพรรคก็ต้องไม่มี และผมก็ขอเรียนว่า การที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีทุกคนที่อยู่ในรัฐบาล ผมคือผู้บังคับบัญชา แต่ทางการเมืองหัวหน้าพรรคก็เป็นผู้บังคับบัญชา แต่ทางการบริหารผมเป็นผู้บังคับบัญชา ฉะนั้นผมเป็นรูปแบบของผู้นำเข้มแข็ง เรื่องนี้ผมถือว่าผมมุ่งเข้าสู่แนวทางพื้นฐาน ก็คือความผาสุกของประชาชน ฉะนั้นเรื่องอื่นเป็นเรื่องเล็กหมด ผมจะไม่ใช้ การเมืองนำการบริหารแน่นอน ผมจะใช้หลักการบริหารเด็ดขาด ช่วงนี้เป็นช่วงเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงคงทำไม่ได้ชั่วข้ามคืน แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงจะเป็นระดับที่เปลี่ยนเป็นขั้น ๆ ไป ในปีที่หนึ่งการเปลี่ยนอาจจะเบา ปีที่สองก็เข้มขึ้น ปีที่สาม ปีที่สี่จะเริ่มเข้มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ขอเรียนว่าจะก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงแบบนั้น เราเปลี่ยนเพราะถูกบังคับให้เปลี่ยนมานานแล้ว วันนี้เราจะเปลี่ยนล่วงหน้า การจะเปลี่ยนล่วงหน้าได้นั้นจะต้องมีวิสัยทัศน์

ปรับเปลี่ยนการบริหารให้มีประสิทธิภาพที่สุด

เราจะต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการบริหารมากพอสมควร เราจะคิดนอกกรอบเดิมหมด กรอบเดิมที่เราเคยคิดไว้ เอากฎหมายเป็นตัวตั้ง ทุกอย่างกฎหมายว่าอย่างนี้ ทำไม่ได้เพราะกฎหมายกำหนด ต่อไปนี้เปลี่ยนโดยเอาที่หมายปลายทางเป็นตัวตั้ง แล้วกำหนดวิธีการที่จะเดินสู่ที่หมาย ปลายทาง เมื่อกำหนดวิธีการแล้ว วิธีการนั้นเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุด เราเลือกวิธีการนั้นแล้วค่อยมาดู ถ้ายังไม่มีกฎหมายรองรับก็ทำกฎหมายรองรับ ถ้ามีกฎหมายอยู่เป็นอุปสรรคก็แก้ไข

ผมจึงเรียนกับผู้บริหารบางท่านว่า วันนี้กฎหมายที่มีอยู่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน เราต้องถือว่ามีไว้ให้แก้ไข แต่กฎหมายอนาคตนั้นคือกฎหมายสำหรับการผลักดันขับเคลื่อนประเทศ ฉะนั้นเราจะต้องมีการสังคายนาพอสมควรทีเดียว ผมได้คุยกับทางเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ได้ขอให้ท่านมีชัย ฤชุพันธุ์ มาเป็นประธานในการปฏิรูประบบกฎหมายของเรา เพื่อที่จะนั่งดูกฎหมาย เป็นชุดว่าเราจะแก้ไขเรื่องนี้ อย่างเช่นเรื่องการกระจายอำนาจ ซึ่งเราจะพูดกันตอนเย็นนี้ มีกฎหมาย กี่ฉบับที่เกี่ยวข้องแล้วมีปัญหาอะไร เรามองทั้งพวง ถ้ามองเป็นชิ้น ๆ เราแก้ไขปัญหาประเทศไม่ได้เลย นี่คือสิ่งที่ติดขัดมานานแล้ว ต้องถือว่าช่วงนี้คือนาทีทอง ถ้าเราไม่ทำตอนนี้ก็ไม่รู้จะทำตอนไหนแล้ว ผมไม่รู้ว่าเลือกตั้งครั้งหน้าประชาชนจะให้มาแบบนี้อีกหรือไม่ ฉะนั้น วันนี้เราจะต้องทำให้ดีที่สุด เพราะเราถือว่าจะไปหวังน้ำบ่อหน้าไม่ได้ ในเมื่อวันนี้มีพลัง มีฉันทานุมัติมาแล้วเราต้องรีบแก้ไข เพื่อให้ประเทศชาติได้มีโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ให้ดีที่สุด นั่นคือความตั้งใจของผม



ระบบราชการไทยมีทั้งข้อดีและข้อเสีย

การคิดนอกกรอบของผม นอกจากไม่ยึดกฎหมายเก่า ๆ แล้ว ไม่ยึดการเมืองแล้วยัง ไม่พอ จะยึดการมีส่วนร่วม นั่นคือหัวใจของการเปลี่ยนแปลงการเมืองครั้งใหญ่ มีหลักการบริหาร อันหนึ่งเขาบอกว่าผู้นำที่ดีต้องมีความสามารถในการปลดปล่อยพลังสมองของคนในองค์กร ถ้าเราไม่สามารถปล่อยพลังสมอง เราไม่ได้ใช้สมองของคนในองค์กร เราไม่มีทางที่จะเป็นองค์กรที่แข่งขันได้ นั่นคือระบบราชการไทยของเรามีข้อดีและข้อเสีย ข้อดีข้อที่หนึ่งก็คือว่า สังคมไทยเราตอนเด็ก ๆ พ่อแม่สอนตลอดเวลาว่า โตขึ้นขอให้เป็นเจ้าคนนายคนนะลูก เราก็รับราชการกันหมด ฉะนั้นราชการเป็นทางเลือกแรกของคนหัวดี คนที่เป็นข้าราชการ โดยเฉพาะชั้นผู้ใหญ่อย่างท่านรับรองเลยว่า อายุขนาดนี้ภาครัฐบาลมีคนที่มีไอคิวสูงกว่าภาคเอกชน แต่ในอนาคตไม่แน่ เพราะว่าภาคเอกชนเติบโตเร็ว แต่ในสมัยก่อนคือทุกคนอยากรับราชการ ฉะนั้นคนที่อยู่ระดับพวกท่านคือคนไอคิวสูงทั้งนั้น แต่ระบบทำให้ไอคิวเหล่านี้เริ่มไม่ทำงาน เพราะว่าทุกคนมีวินัยหมด ใครพูดอะไรต้องดูบ่าคือดูตำแหน่ง ดูยศ ใครใหญ่กว่าคนนั้นถูกหมด ฉะนั้นระดับล่างเลยไม่กล้าคิด ไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าทำงาน การไม่มีส่วนร่วมตรงนี้คืออันตรายของประสิทธิภาพการบริหาร

วันนี้ต้องเริ่มในระบบราชการก่อนแล้วประชาชนก็อยากร่วมด้วย แม้กระทั่งภาคธุรกิจก็เหมือนกัน ถ้าธุรกิจไหนทำการตลาดโดยคิดเองแล้วเสนอความคิดเอง เจ๊งทุกราย แต่ถ้ารู้จักมีการทำการสำรวจตลาด ให้รู้ว่าประชาชนคิดอย่างไรชอบอะไร แล้วออกผลิตภัณฑ์อย่างนั้น โฆษณาสินค้าอย่างนั้นชนะหมด เหมือนกับภาคราชการ ผมถึงเรียกว่า การเอาภายนอกเข้ามา ไม่เหมือนตีกอล์ฟ ตีกอล์ฟคือการเอาภายในออกไป ถ้าหากบริหารต้องเอาภายนอกเข้ามา คือรับฟังความคิดเห็นจากคนในองค์กรและจากประชาชนให้มากที่สุด เพื่อท่านจะได้ตอบสนองถูก เพราะหน้าที่ของเราคือการ ตอบสนองประชาชน ฉะนั้นแนวคิดของกรอบจึง เป็นแนวคิดอีกอันหนึ่งที่เราจะต้องใช้ลักษณะแนวทางนำภายนอกเข้ามา มากกว่าการนำภายในออกไป เพราะภาคราชการจะเคยชินกับระบบเดิมที่นำ ภายในออกไป สมัยก่อนระบบสื่อสารข้อมูลยังไม่ดี ในเมื่อเราเป็นหลัก เราก็คิดเอง ช่วยคิดนำ ประชาชนตลอด แต่วันนี้อย่าไปคิดว่าเราเก่งคนเดียว เราต้องรับฟังทั้งหมด ฉะนั้น ระบบราชการที่ผมพูดไว้ข้อดีก็คือเรื่องของการที่เรามีคนซึ่งเก่ง ๆ อยู่มาก แต่ข้อเสียคือระบบที่ทำให้เราไม่ได้ปล่อยให้คนในองค์กรมีส่วนร่วม เราไม่สามารถปลดปล่อยพลังสมองของคนในองค์กรนั้น คือข้อเสียที่สำคัญของระบบราชการ ถ้าท่านปรับข้อเสียเป็นข้อดีได้ตรงนั้นจะเป็นองค์กรที่เข้มแข็งมาก

การทำงานในเชิงรุก

สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือรัฐบาลจะทำงานเชิงรุก ผมต้องเตือนตัวเองตลอดเวลา ถ้าผมเผลอเมื่อไหร่ ผมต้องตั้งรับ ถ้าผมตั้งรับเมื่อไหร่รับรองเลยว่าผลักดันประเทศนี้เคลื่อนต่อไปไม่ไหว เพราะปัญหามันรุมเร้า ปัญหาเยอะมาก แฟ้มก็รุมเร้า ถ้าหากเรานั่งดูแฟ้มทั้งหมด ทับตัวตายหมด สมองไม่ทำงาน ฉะนั้นผมจึงกระจายอำนาจมากที่สุด และจะแบ่งงานอีก แต่วันนี้ยังแบ่งงาน ไม่เต็มที่เพราะว่าอยากจะเห็นสายของงานนิดหนึ่ง แต่ถ้าเมื่อไรผมจะทำงานเชิงรุกแล้ว ผมจะต้องแบ่งงานออกทั้งหมด เพราะผมต้องการใช้โอกาสที่เราได้มานั่งทำงานตรงนี้ให้เกิดประโยชน์ที่สุด ก็คือใช้สมองของเราให้มากที่สุด ใช้ประสบการณ์มากที่สุด ใช้การประสานงานให้มากที่สุด ฉะนั้น ถ้าผมนั่งเซ็นแฟ้ม ทุกวัน เรื่องมะโนสาเร่ก็เซ็น ตรงนี้ผมจะตั้งรับเลย

ฉะนั้น ผมจะทำงานเชิงรุก ส่วนรัฐมนตรีก็เป็นชั้น ๆ ไป รัฐมนตรีต้องรุกในส่วนของกระทรวง และต้องรับสิ่งที่เป็นภาพรวมของประเทศที่มาจากนายกรัฐมนตรี มาจากมติคณะรัฐมนตรี ข้าราชการก็ต้องรุกในส่วนของท่าน ท่านต้องรับในส่วนของข้างบน แต่ถ้าท่านไม่รุกเลย ท่านรับ อย่างเดียว หน่วยงานของท่านจะเป็นหน่วยงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ ท่านจะเห็นความเปลี่ยนแปลง ผมพูดทำนายไว้เลย ถ้าท่านรุก ต่อไปท่านจะกลายเป็นคนที่มีความสามารถ ท่านจะเป็นคนไม่มี ความสามารถทันที ถ้าท่านตั้งรับ ในโลกยุคนี้จะกลายเป็นคนที่ไม่มีประสิทธิภาพทันที ฉะนั้นท่านต้องทั้งรุกและรับ

ผมจะบริหารจากเชิงยุทธศาสตร์ไปสู่เชิงวิสัยทัศน์ เพราะว่าการบริหารเชิงยุทธศาสตร์กับการบริหารเชิงวิสัยทัศน์นั้นมีความแตกต่างกัน รูปแบบยุทธศาสตร์ นั้นคือ เรียกร้องและสั่งการ แต่รูปแบบของเชิงวิสัยทัศน์ คือจะต้องสื่อสาร ต้องสื่อสารให้คนได้เห็นว่า เราจะไปตรงไหนกัน อย่างวอลดิสนีย์ เขามีวิสัยทัศน์ของเขาว่า ต้องการทำให้คนมีความสุข ฉะนั้น เขาจะทำทุกอย่างที่ทำให้คนมีความสุข นั่นคือวิสัยทัศน์ของเขา ง่าย ๆ บรรทัดเดียว ฉะนั้นเราจะต้องสร้างวิสัยทัศน์ให้กับคนที่เป็นผู้ที่เราจะบริหาร หรือที่จะตามกันมาเป็นผู้ตาม เราได้รู้ว่าเราจะไปตรงไหนมากกว่า ที่จะเป็นลักษณะเรียกร้องและสั่งการ เพราะลักษณะนี้เป็นลักษณะแบบการนำภายในออกไป จะเป็นเชิงวิสัยทัศน์ ก็คือการที่เราจะต้องเป็นผู้นำในยุคใหม่ จะต้องเป็นนักเล่าเรื่อง เป็นคนที่เล่าเรื่องได้ดี เพื่อให้คนที่ฟังแล้วคล้อยตามแล้วปฏิบัติตามให้ได้ นั่นคือผู้นำยุคใหม่ เล่าเรื่องเพื่ออะไร เพื่อมีแรงกระตุ้น เพื่อแรงบันดาลใจ เพื่อให้เขาคล้อยตาม เพื่อให้เห็นด้วย เพื่อจะผลักดันสิ่งที่ไปสู่เป้าหมายได้ เหมือนกับ รัฐบาลจะต้องนำไป จากจุดเชิงยุทธศาสตร์หนึ่งไปสู่การเป็นเชิงวิสัยทัศน์ สมัยก่อนนี้เราต้องยอมรับว่า แม้กระทั่งการเป็นรัฐบาล ยุทธศาสตร์ประจำก็คือแฟ้มมาก็เซ็นไป ถึงเวลานัดประชุมก็ประชุมไป ถึงเวลานั้นก็ประชุม ประชุมเสร็จก็เดินตามแฟ้ม แฟ้มก็เดินไปเรื่อย โลกหมุนเร็วกว่า โลกหมุนเร็วกว่าการบริหารแบบประจำวัน แล้ววันนี้โลกต้องการมากกว่าการเป็นเพียงผู้นำเชิงยุทธศาสตร์ เพราะระบบการสื่อสารเปลี่ยนไป ฉะนั้นต้องนำทีละขั้น ๆ วันนี้เราต้องนำ ต้องบอกกันให้รู้ว่าเราจะผลักดันกันอย่างนี้ แล้วทุกวันเราจะรู้ว่าเรากำลังจะไปกันที่จุดนี้

รัฐบาลนี้ต้องทำสงคราม 3 อย่าง

1. ทำสงครามกับความยากจน ต้องแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเพื่อให้คนพ้นจากความ ยากจน ซึ่งจะทำให้มีฐานะดีขึ้นทั้งระบบ เหมือนกับยกฐานรากให้สูงขึ้น ตึกทั้งตึกก็สูงขึ้นตาม เป็นลักษณะของการมีวิสัยทัศน์อย่างหนึ่ง ว่าเราจะประกาศสงครามกับความยากจน เพราะฉะนั้นเราจะสู้กับความยากจนอย่างเต็มที่เพื่อให้ชนะ

2. ประกาศสงครามกับยาเสพติด เราถือว่านี่คือปัญหาใหญ่ของชาติ เพราะฉะนั้นเราจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อขจัดยาเสพติด

3. ประกาศสงครามกับคอร์รัปชั่น นั่นคือวิสัยทัศน์ที่บอกกับทุกท่านให้รู้ว่านี่คือภารกิจหลักในช่วงนี้

ช่วยกันพัฒนาให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้

นอกเหนือจากเรื่องอื่นทั้งหมดนี่คือภารกิจหลักที่เราจะต้องทำ ผมจะมีกลไกการทำงาน มีคณะทำงานของผมนอกเหนือจากรัฐมนตรี ผมจะมีทีมงานของผมอยู่ 3 ทีม วันนี้รัฐบาลเหลือ 36 คน รัฐมนตรีเมื่อก่อนมี 49 คน วันนี้เหลือ 36 คน เพราะฉะนั้นวันนี้การมีน้อยก็ไม่ได้หมายความว่า ประสิทธิภาพน้อย ต้องให้มีน้อยแล้วประสิทธิภาพมาก ญี่ปุ่นมี 13 คน ทั้งนายกรัฐมนตรี แต่รัฐมนตรีทุกคนต้องมีทีมงาน ไม่ใช่มีมือหาเงิน เพราะฉะนั้นรัฐมนตรีต้องมีทีมงานเพื่อช่วยคิด ช่วยทำ ช่วย ติดตามผลงาน ผมก็จะมี 3 ชุด

ชุดที่ 1 เป็นพวกนักฝัน ฝันแล้วก็เขียนเป็นนโยบาย แต่ฝันนั้นต้องฝันบนพื้นฐานของการได้มีแนวคิดจากข้างนอก

ชุดที่ 2 คือผู้ที่อำนวยความสะดวกในการทำงาน เช่น ชุดทางเศรษฐกิจ ชุดทางปฏิรูปกฎหมายของนายมีชัยฯ เป็นชุดที่จะอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติการ ชุดแรกเป็นชุดฝัน ปรับเปลี่ยนแนวคิดนโยบายเพื่อให้ทันโลกทันเกณฑ์ ชุดที่ 2 คอยมาสนับสนุนผลักดันให้การปฏิบัติงานนั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ชุดที่ 3 เป็นชุดที่ตรวจติดตามประเมินผล เพื่อให้มั่นใจว่านโยบายเปรียบเสมือน ยารักษาโรค นโยบายนั้นได้ทำแล้วมีผลข้างเคียงอะไร มีผลดีต่อการแก้ปัญหามากน้อยแค่ไหน มีผลข้างเคียงไหม แล้วไปทั่วถึงไหม เพราะฉะนั้น 3 กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ทำงานให้ผม แล้วผมจะทำหน้าที่คอยรับมาแล้วก็คิดต่อ เพราะฉะนั้น ผมจะทำงานด้วยการใช้ความคิดมากที่สุดกับการผลักดัน เป็นหลัก

ขอเรียนว่าหมดยุคคอร์รัปชั่นและซื้อขายตำแหน่ง ไม่มีในระดับรัฐบาล ระดับข้าราชการประจำต้องไม่มี ถ้ามีอะไรมาบอกผมได้ ผมมั่นใจว่ารัฐมนตรีผมไม่ทำ เพราะฉะนั้นห้ามแอบอ้าง แล้วท่านทั้งหลายก็ต้องไม่ทำ และไม่ปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านทำด้วย บางกระทรวง ซี 7 ยังขายตำแหน่ง ผมว่ามันไม่ไหวแล้ว ทำเหมือนเซ้งห้องแถว ที่ไหนทำเลดีก็แพงหน่อย เพราะฉะนั้นตรงนี้ต้องหมดยุค ไม่มีเด็ดขาด ที่เคยชินกันมาผมเข้าใจเห็นใจครับ บางยุคการเมืองทำ ข้าราชการเลย ทำตาม แต่ขอร้องว่ายุคนี้ต้องไม่มี สงสารข้าราชการ ผมก็ข้าราชการเก่า ผมไม่สบายใจถ้าหากมีการซื้อขายตำแหน่ง วิ่งเต้นก็เป็นเรื่องธรรมดาของสังคมไทย มันขาดไม่ได้ แต่ขอตีกรอบให้วัวที่จะแข่งกันนั้นมีน้อยตัวหน่อย ตีกรอบให้ดีหน่อย ถ้าไม่มีกรอบก็ไม่รู้ว่ามีกี่คนมาวิ่งกันอุตลุด อันนั้นมันไม่ไหว คือให้มันมีกรอบแล้วกรอบนั้นต้องพยายามให้มันเป็นหลักเป็นเกณฑ์ แล้วก็ใช้นาน ๆ หน่อย ไม่ใช่ ใช้ปีต่อปี บางที 6 เดือนเปลี่ยนหนึ่งหน เพื่อตีความให้เข้ากับคนที่นายอยากได้ อันนี้ผมว่าต้องเริ่มตีกรอบไว้ แต่อย่าตีกรอบคนของรัฐมนตรีเพื่อจะให้เป็นกรอบของตนเองมากเกินไป คือต้องมีหลักเกณฑ์ต้องมีคำตอบได้ทุกอย่างอันนี้ขอฝากไว้ด้วย

ข้าราชการต้องทันโลก

เรากำลังจะต้องพัฒนาประเทศไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ให้ได้ เพราะว่าวันนี้โลกก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจบนฐานความรู้ (Knowledge Based Economy) เป็นเศรษฐกิจที่ใช้ความรู้ใช้ปัญญา ในการทำมาหากินมากขึ้น ๆ แต่ว่าเราเองต้องพัฒนาตัวเองมากเพื่อจะเข้าไปสู่จุดนั้น เพราะฉะนั้นเรา จะต้องเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้

ข้าราชการก็ต้องอ่านหนังสือ เพราะว่านายกรัฐมนตรีขยันอ่านหนังสือ รัฐมนตรีผมก็ต้องอ่านหนังสือ ถ้าไม่เช่นนั้นท่านไม่ทันสมัย เดี๋ยวเราจะพูดเรื่องสัมมนาเชิงปฏิบัติการณ์ ตอน สัมมนาเชิงปฏิบัติการณ์นั้นจะรู้เลยว่า พูดออกมาแล้วพัฒนาตัวเองหรือเปล่า เพราะฉะนั้นท่านต้องพัฒนาตนเอง ถึงแม้ว่าเรียนมา ผมพูดตลอดเวลาว่า คนจบดอกเตอร์เรียนจบไม่อ่านหนังสือ ก็ไม่ได้มีความเก่งกว่าคนที่จบปริญญาตรีแล้วอ่านหนังสือทุกวัน เพราะที่เราเรียนแล้วจบมาแล้วนั้นมันล้าสมัย ทันทีที่จบ เพราะทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก หนังสือออกวินาทีหนึ่งหลายตำรา หลายเล่มทั่วโลกนี้ เพราะฉะนั้นความรู้จะมีมาก ท่านต้องพัฒนาตัวเองมาก ไม่เช่นนั้นก็ไม่ทันจริง ๆ เพราะท่านกำลังเป็น ผู้นำ เป็นส่วนสำคัญของประเทศ แล้วถ้าใครทำตัวเองทันสมัยแล้ว จะมีความสุข มีความรู้สึกว่าตัวเองไม่ตกโลกไม่ล้าสมัย คุยกับลูกได้ อันนั้นก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านต้องพัฒนา

แข่งขันกันด้วยความเร็วและความแม่นยำ

เราต้องเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ เราต้องพัฒนาตัวเองเข้าสู่ยุคของเศรษฐกิจที่ต้อง แข่งขันกันบนพื้นฐานความรู้ วันนี้การที่จะเป็นเศรษฐกิจบนฐานความรู้นั้น ข้อมูลเมื่อก่อนนี้ตำราเก่าสมัย อัลวิน ท๊อฟเลอร์ ที่ตกรุ่นไปแล้วที่บอกว่าข้อมูลคืออำนาจ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้ว ข้อมูลมีมาก ต้องมีความสามารถในการหยิบว่าจะเลือกใช้ข้อมูลไหน และวิเคราะห์ข้อมูลให้ถูก จึงจะเกิดองค์ความรู้ และองค์ความรู้ใหม่จะเกิดขึ้นต้องมีเรื่องของวิจัยพัฒนา สิ่งนี้เราขาดหมดเลยครับ ทั้งประเทศข้อมูลเราไม่มี ข้อมูลที่ทันสมัย ของโลกก็ไม่ค่อยได้สนใจจะดูจะฟัง ไม่รู้เราและก็ไม่รู้เขา แล้วจะแข่งยังไง ถ้าจะแข่งกันต้องรู้ทั้งเรา รู้ทั้งเขา เพราะฉะนั้นข้อมูลของเราต้องดี แล้วโลกข้างหน้ามันแข่งกันที่เศรษฐกิจความเร็ว แข่งกันที่ความเร็ว เร็วแล้วต้องแม่นยำ แม่นยำก็ต้องมีข้อมูล ต้องวิเคราะห์ข้อมูลเป็น หยิบข้อมูลถูกจึงจะเร็วได้ เพราะฉะนั้นการตัดสินใจใครเร็วคนนั้นได้เปรียบ ถ้าจะเร็วต้องแม่น ความจริงแล้วความรู้บางอย่าง ไม่ใช่เฉพาะเราคิดขึ้นมาเราเก่งคนเดียวหรอก แต่ปรากฏว่าคนอื่นก็คิด แต่มันกระจายอยู่ มีคนหนึ่งเข้าไปถึงคว้าเลย วิเคราะห์ถูก คว้ามาเร็วกว่าได้เปรียบ เหมือนนโยบายพรรคไทยรักไทย ทำไมผมเร็ว เพราะผมมีข้อมูลพอ ผมรู้ว่าประชาชนกำลังต้องการอะไร ผมรู้ว่าประชาชนเดือดร้อนอะไร ผมรู้เพราะผมพบกับประชาชน ผมก็ประกาศเลย กล้า เร็ว แม่นยำ สำคัญเพราะฉะนั้นวันนี้ประเทศไทยต้องพัฒนาตัวเองอย่างนี้ ต้องนำไปสู่การที่จะต้องพัฒนาข้อมูล เพราะ ถ้าไม่อย่างนั้นเราไม่มีทางเลยที่จะไปแข่งกับเขาได้ สิ่งที่เรามีความสำคัญละเอียดอันหนึ่งคือ ความหลากหลายทางชีวภาพ แล้วโลกข้างหน้าจะผลักดันไปสองตัว คือ รูปแบบชีวิตกับเทคโนโลยีข้อมูล ข่าวสาร ผมกำลังมองว่าประเทศไทยมีข้อแข็งคือ มีความหลากหลายทางชีวภาพ

มุ่งไปสู่ E - Government

ขอฝากท่านที่เกี่ยวข้องคิดด้วยกัน ผมอยากจะมุ่งไปสู่รัฐบาลอิเล็กทรอนิค โลกยุคอินเตอร์เน็ตวันนี้หลายร้อยล้านคนทั่วโลกใช้อินเตอร์เน็ต แต่ของเราการเตรียมพร้อมเรื่องอินเตอร์เน็ตของเราต่ำมาก อาจจะด้วยประการทั้งปวง แต่ผมจะทะลวงค่าบริการที่แพง เรื่องของการสื่อสาร องค์การโทรศัพท์ต่าง ๆ ต้องคุยกัน เพื่อที่จะให้อินเตอร์เน็ตไปสู่ชาวบ้านให้มากที่สุด แน่นอนผมพูดเรื่องอินเตอร์เน็ตตำบล ซึ่งรัฐบาลที่แล้วตั้งงบประมาณทิ้งไว้คือคำว่า อินเตอร์เน็ตตำบลนั้นไปเน้นเฉพาะตัว T ต้องเน้นตัว I ตัว T คือเราเน้นเฉพาะเทคโนโลยี จัดซื้อจัดหาเสร็จเรียบร้อยคือจบ นั่นคือล้มเหลว ต้องเรื่องข้อมูลเราจะเอาอะไรไปใส่ สำคัญกว่าคำว่าเทคโนโลยี ก่อนอื่นเราต้องคิดว่า จะเอาอะไรไปใส่ แล้วต้องการอะไรจากมัน แล้วค่อยไปดูเทคโนโลยี พอบอกว่าจะมีอินเตอร์เน็ตตำบล เตรียมจัดซื้อจัดหา ตรงนั้นจะสร้างปัญหา เพราะฉะนั้นเราจะต้องมองให้ดี ซึ่งอินเตอร์เน็ตตำบลนี่ผมจะไปเชื่อมโยงกับเรื่องของการส่งเสริม 1 ผลิตภัณฑ์ ต่อ 1 ตำบล

สรุปแล้วก็คือ รัฐบาลอยากเห็นข้อมูลจากหน่วยเล็ก ๆ ของประเทศคือ ตำบล โยงขึ้นมาจนถึงกระทรวง นี่ผมกำลังหาให้คนมาช่วยออกแบบแล้วคุยกับทางกระทรวง เพราะผมอยากกดคอมพิวเตอร์แล้วเห็นทันที เห็นว่าขณะนี้เดือนนี้สินค้าเกษตรตัวไหนจะออกพื้นที่เพาะปลูกเท่าไหร่ แล้วผลผลิตจะเป็นอย่างไร ความต้องการภายในเป็นเท่าไร การส่งออกเป็นอย่างไร ต้องดักปัญหา ล่วงหน้า วันนี้เราตั้งรับอย่างเดียว มีกลุ่มต่าง ๆ มาร้องเรียนเกี่ยวกับราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ แล้วเรา ก็มาทะเลาะกัน รบราฆ่าฟันตีกันเอง ตีกับคนจน เขาก็เดือดร้อน เราก็เดือดร้อน วันนี้เราจะต้องมานั่งดักปัญหาล่วงหน้า ข้อมูลต้องมี ผมจำได้ครั้งหนึ่งตอนผมเป็นตำรวจ ตอนผมจบปริญญาเอกมาจากเมืองนอก เป็นหัวหน้าแผนกแผนกองวิจัยวางแผน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยต้องการ ตัวเลขจำนวนคดีลักพาตัวเรียกค่าไถ่ในภาคใต้ 7 วันยังหาไม่ได้ เพราะเอกสารกองท่วม เพราะไม่มีระบบข้อมูล แต่สมัยนี้มีอยู่แล้ว ผมยังเชื่อว่าหลายกระทรวงวันนี้ยังไม่ค่อยได้ทำ ทั้ง ๆ ที่เวลานี้คอมพิวเตอร์ถูกและใช้ง่าย ที่โรงเรียนบ้านสันกำแพง ผมให้ทุนเขาไปทำห้องแล็ปคอมพิวเตอร์ เด็กประถมปีที่ 4 นั่งเล่นอินเตอร์เน็ต ไม่ใช่เรื่องยาก ผมเชื่อว่าหลายคนเกิน 50 เปอร์เซ็นต์เล่น แต่ใครที่ไม่เล่นอย่าคิดว่าคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องยาก ความจริงก็คือน้อง ๆ พิมพ์ดีดสมัยเก่า เพราะฉะนั้นก็เล่นหน่อย เพื่อท่านจะได้ทันสมัย เสร็จแล้วเรามาคิดร่วมกันอีกทีว่าเราจะทำเว็บไซด์ของแต่ละกระทรวงอย่างไร อยากให้กระทรวงมีอินเตอร์เน็ตของตัวเอง แล้วกลายเป็นอินเตอร์เน็ตของรัฐบาล เดี๋ยวเราต้องมาวางดีไซน์ระบบกันหน่อย ซึ่งความจริงไม่ได้เป็นเรื่องใช้เงินมาก เงินกับการสูญเสียในการทำงานที่ไม่เป็นทางการมากกว่า พวกนี้จะเป็นทางการกว่าและเร็ว ทั้งนี้ผมไม่ได้หวังว่า 3 เดือนเสร็จ เรา คิดว่าทุกอย่างมันใช้เวลา เพียงแต่ว่าผมบอกให้รู้กำลังและทิศทางการสื่อสารให้ท่านฟัง

ปรับปรุงวิธีการทำงานของรัฐบาล

รัฐบาลจะปรับปรุงวิธีการทำงานใหม่พอสมควร เริ่มตั้งแต่การประชุมคณะรัฐมนตรี ผมไม่อยากให้ข้าราชการต้องเสียเวลาวันอังคาร 1 วัน มานั่งตั้งแต่เก้าโมงเช้า ห้าโมงเย็นถึงได้กลับบ้าน บางทีก็ไม่ได้ชี้แจง ปลัดกระทรวงก็มานั่งรอ อธิบดีก็มานั่งรอเป็นแถว เพราะฉะนั้นวันนี้ผมจะใช้วิธีอย่างนี้ เราประชุมคณะรัฐมนตรี 08.30 น. ออกจากบ้านจะตรงเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีเลย เพราะถ้าประชุม 09.30 น. รัฐมนตรีต้องเข้ากระทรวงก่อน แล้วมาช้าเพราะวาระของตัวเองอยู่ลำดับ 3-4 พอตอนคุยเรื่องยุทธศาสตร์ รัฐมนตรีบางคนยังไม่มา ก็เลยไม่รู้ว่าใครจะนั่งทำยุทธศาสตร์ เพราะฉะนั้น ก็เลยประชุม 08.30 น. ครึ่งวันเสร็จแล้วครับ ข้าราชการจะชี้แจงก็มาช่วงสั้น อีกครึ่งวันยังได้ทำงาน อย่าเสียเวลาทั้งวันเลย การเสียเวลาผมถือเป็นเรื่องใหญ่ สาเหตุที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้สั้นลงจะได้เนื้อหามาก เพราะเราจะนำเรื่องเข้าไปในคณะรัฐมนตรีน้อยที่สุด ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเพื่อทราบ เพราะถือว่าต้องไปอ่านหนังสือเอง ต้องมีทีมงานเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็จะนำมาพูดกัน เรื่องพิจารณาจะน้อยลง เรื่องเพื่อทราบก็จะแบ่งงานไปตามสายนั้น รัฐมนตรีว่าการเข้าประชุมชุดนี้ไม่ได้ เพราะต้องประชุมพร้อมกัน ก็ให้รัฐมนตรีช่วยฯ เข้าแทน เรื่องไหนสำคัญปลัดกระทรวงไม่เข้า ก็ให้อธิบดีไปแทนได้ รองปลัดกระทรวงไปแทนได้ จะมีคณะกรรมการกลั่นกรอง 5 ชุด ความสำคัญขอให้อยู่ที่เนื้อเรื่อง อย่าไปสำคัญที่ตัวรองนายกฯ เอาเนื้อเรื่องเป็นหลัก วันนี้ขอให้เป็นเรื่องของคำว่า “ใคร” น้อยลงไป

ทุกกระทรวงแก้ไขปัญหาร่วมกัน

ผมเรียนไว้ว่าโลกใหม่การมีส่วนร่วมสำคัญ ผมจะทลายกำแพงอย่างไรของการกั้น ความสามารถของการบริหารระหว่างกระทรวง กั้นการบริหารระหว่างกรมอย่างไร จะมีสัมมนาเชิง วิชาการเรื่องใหญ่ เรื่องที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันหลายกระทรวง เรื่องที่ต้องอาศัยความเกี่ยวพันกับภาคเอกชน ตรงนี้ผมจะทำเป็นสัมมนาเชิงวิชาการ ครั้งแรกที่ทำแล้วที่ชะอำเรื่องบรรษัทบริหาร ทรัพย์สินแห่งชาติ บางครั้งหลังจากที่เอาไปประชุมกันแล้วอาจแตกต่างกันบ้าง ผมก็ขอเรียกกรรมการ ที่ผมตั้งมาคุยซักซ้อมกันอีกรอบก่อนจะไปอีกแห่งหนึ่ง เราประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ ผมนั่งเป็น ประธาน ผมอยู่ตลอด ตีปัญหาที่คั่งค้างมานานให้จบภายในสุดสัปดาห์ให้ได้ เพราะฉะนั้นทุกท่านที่ถูกเชิญไปขอให้ทำการบ้าน เราจะคุยกันได้เร็ว ผมจะทำการบ้านของผม เมื่อผมทำการบ้าน ท่านทำ การบ้าน ไปถึงคุยกันเดี๋ยวเดียวก็จบ เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนติดเกรงใจกันบ้างอะไรบ้าง และสัมมนา เชิงวิชาการอันนี้จะเกิดขึ้นในหลาย ๆ เรื่อง เท่าที่ผมคิดได้วันนี้คือเรื่องของยาเสพติดวันเสาร์ - อาทิตย์หน้า และเรื่องของการท่องเที่ยว ต่อไปก็อาจจะมีเรื่องอื่น เรื่องราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ หรือเรื่อง ภัยแล้ง เรื่องน้ำ แต่ฝากให้ท่านรัฐมนตรี ท่านปลัดกระทรวงทั้งหลายไปช่วยคิดว่าท่านมีเรื่องอะไร สำคัญที่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานที่ในอดีตแก้ไม่จบ ท่านลองคิดแล้วเสนอมา แล้วเราไปทำสัมมนาเชิงวิชาการร่วมกันอย่างนี้เพื่อให้งานเดินได้เร็วขึ้น ไม่ใช่เป็นคณะรัฐมนตรีสัญจร แต่เป็นการประยุกต์ในการทำงานเพื่อไปทำในพื้นที่ที่เป็นปัญหาจริง ๆ อย่างน้อยก็คือโดยจิตวิทยาแล้วถือว่าเราได้มีความตั้งใจในการจะเจาะปัญหานั้นจริง ๆ แล้วเราจะได้แก้ปัญหานั้นอย่างจริงจังร่วมกัน เพื่อจะได้แก้ปัญหา ให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เรื่องยาเสพติดเราก็ไปเชียงราย ท่องเที่ยวเราก็ไปเชียงใหม่ เรื่องปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำก็อาจจะไปอีสาน เราก็ต้องทำงานอย่างนั้น ฉะนั้น เรื่องของสัมมนาเชิงวิชาการ ขอให้เอาคนไปน้อยหน่อย เอาที่เกี่ยวข้อง ที่ไม่เกี่ยวข้องก็อย่าเอาไป หัวหน้าส่วนราชการก็พยายามทำการบ้านเยอะ ๆ และมีผู้ช่วยสัก 1-2 คน เพื่อจะได้ช่วยกันคิด

ร่วมกันใช้ของไทย

ผมอาจปรับโครงสร้างกระทรวง กรม ที่ล้าสมัย เรามาช่วยกันคิด เราไม่ได้เกษียณอายุ 100 ปี รัฐบาลไม่ได้อยู่ 20 ปี ดังนั้น วันนี้เมื่อเรามีโอกาสทำงานร่วมกันแล้ว เราต้องคิดถึงคนรุ่นหลังว่าโครงสร้างที่มีอยู่ไม่รองรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกของความต้องการและปัญหาของประชาชน เราต้องเปลี่ยน วันก่อนท่านปลอดประสพฯ เจอกับผม คุยกันว่าเรื่องทรัพยากรกับเรื่องสิ่งแวดล้อม คิดกันคนละมุม ทรัพยากรคิดในเชิงปริมาณ ส่วนเรื่องสิ่งแวดล้อมคิดในเรื่องคุณภาพ และอยู่กันคนละฟาก พูดกันไม่รู้เรื่องและมีเรื่องกันตลอด เป็นไปได้ไหมที่จะตั้งกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ปริมาณและคุณภาพมาเจอกัน ให้มารู้จักคำว่าทางสายกลางคืออะไร ฉะนั้น เราต้องมาปรับสิ่งที่มีอยู่ให้ทันสมัยรองรับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงของโลก

เราต้องประหยัด ต้องใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งด้านของสิ่งที่รัฐบาลลงทุนไปแล้วกับภูมิปัญญาของเราเองที่มีอยู่ ต้องใช้อย่างเต็มที่ อย่างวันที่เกิดวิกฤตถ้าเราไม่ใช้สิ่ง ที่มีอยู่กลับไปลงทุนใหม่ และลงทุนแบบชนิดที่ไม่รู้ว่าจะตอบแทนอย่างไร อันตราย ที่ผ่านมาสิ่งหนึ่งที่เราห่วงกันมาก และวันนี้ต้องเตือนกันและขอร้องกันคือการนำเข้า เรานำเข้าอย่างเผลอนึกว่ารวยแล้ว การจัดซื้อจัดหา ภาครัฐก็นำเข้ากันใหญ่ เราเห็นหรือยังว่าตัวเลขส่งออกเริ่มชะลอ ทางเศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอแล้วเรายังนำเข้ากันเพลินอย่างนี้จะเกิดผลเสีย เงินบาทก็อยู่ไม่ได้หมดความเชื่อถือ วันนี้ผมได้มอบหมายนโยบายให้ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณไปและฝากท่านด้วย เราจะกระตุกแล้วการจัดซื้อ จัดหาที่มีการนำเข้า ถ้าไม่จำเป็น ถ้าสามารถชดเชยสินค้าที่ผลิตในประเทศได้ต้องให้รีบ ถือเป็น ความสำคัญก่อนหลัง ไม่ได้ต่อต้าน แต่วันนี้ต้องเอาตัวรอด ไม่ได้ต่อต้านสินค้าต่างประเทศ แต่เรา ถือว่าของไทยเรามีดีมาก ถ้าข้าราชการไม่ใช้ของไทยแล้วใครจะใช้ เพราะฉะนั้น ส่วนราชการในการ จัดซื้อจัดหาแน่นอนเราต้องใช้ของไทย แต่ถ้าจำเป็นต้องซื้อเครื่องบิน ถ้าไม่มีของไทย อันนี้ต้องนำเข้าช่วยไม่ได้ ถ้าจำเป็นต้องนำเข้าก็ต้องนำเข้า พระพุทธเจ้าก็สอนแล้วว่าเดินทางสายกลางคืออะไร เราก็ต้องรู้ว่าความพอดีอยู่ตรงไหน แต่วันนี้เราต้องตื่นตัวเรื่องของการนำเข้าเพราะว่าเราขาดดุลการค้ามาก ตอนนี้จะขาดดุลการค้าอีกไม่ได้ ต้องประคองในช่วงวิกฤตตรงนี้ไม่ให้ขาดดุลการค้า แล้วประเทศจะกลับฟื้นตัวมาเร็ว แต่ถ้ายังขืนขาดดุลส่งสัญญาณมาแล้วเดือนมกราคม เริ่มอันตราย 280 กว่าล้านเหรียญ จากที่ชื่นชมกับส่วนเกินถึง 1000 ล้านเหรียญ กลายเป็นขาดดุล 280 กว่าล้านเหรียญ อันนี้เหนื่อย และแถมยังเห็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอีก เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องฝากท่านว่า งบประมาณปีหน้าเรื่องวิธีการจัดหาอะไรที่ใช้สินค้าไทยได้ต้องทำ โดยเฉพาะภาครัฐวิสาหกิจที่ผ่านมาเพลินไปหน่อย และขอเรียนว่าอย่าเสนอโครงการให้รัฐมนตรีหาเงิน รัฐมนตรีชุดนี้ไม่เอา ขอเสนอโครงการที่สร้างเศรษฐกิจให้ประเทศจริง ๆ

เราจะทบทวนวิธีการงบประมาณ สำคัญคือต้องตอบสนองต่อวิสัยทัศน์และนโยบาย ไม่ใช่งบประมาณประจำ ปีที่แล้วตั้งเท่าไร ปีนี้นโยบายบอกว่าให้เพิ่ม 5 ก็บวก 5 ขอให้คิดใหม่ทุกปี อย่าอ้างอิงของเก่าจนมากเกินไป ของเก่าใช้อิงในเชิงของงบประจำได้ แต่งบโครงการต้องคิดใหม่ทุกปีเพื่อตอบสนองนโยบาย สนองวิสัยทัศน์ของรัฐบาล ถ้าไม่เช่นนั้นเราก็จะตั้งงบประมาณแบบประจำ

อีกเรื่องที่ต้องฝาก ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณอาจจะชี้แจงเพิ่มเติมภายหลังก็ได้ ขณะนี้มีงบประมาณอยู่ประมาณ 3 หมื่นกว่าล้านบาท เป็นงบกระจายอำนาจที่ต้องกระจายให้ท้องถิ่น ยังอยู่ที่จังหวัดและอยู่ที่กรมรวมกันประมาณ 3 หมื่นกว่าล้านบาท รีบปล่อยออกไปเพื่อจะกระตุ้นเศรษฐกิจชนบท เพราะเป็นงบประมาณที่ส่วนท้องถิ่นจะต้องทำงาน ต้องตามไล่จี้กันหน่อยอย่าเก็บไว้ ตอนนี้สินค้าเกษตรตกต่ำ เพราะกำลังซื้อในชนบทไม่มีเหลือแล้ว งบประมาณที่ตัดราคากลางลง 10% งบฯ เบี้ยหัวแตกที่อยู่ตามต่างจังหวัดนั้นไม่ต้องนำส่งส่วนกลาง แต่ขอให้เอาไปใช้ในชนบท เช่น งบฯ ประมูลงานสร้างถนน 30 ล้านบาท ตัด 10% เหลือ 3 ล้านบาท 3 ล้านบาทนั้นแทนที่จะเอากลับก็ขอให้เอาไปจ้างงานในชนบทต่อ ให้ท้องถิ่นนั้นเขาทำต่อไป ซึ่งงบฯ เล็กๆ น้อย ๆ อย่างนี้มีมาก รวมกันแล้วประมาณ 2 พันล้านบาท

ข้าราชการปฏิบัติตามนโยบายทางการเมือง

อีกอันหนึ่งที่ผมอยากจะเรียนว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของบทบาทระหว่างรัฐบาลกับ ข้าราชการ เมื่อก่อนนี้เราเอาบทบาทของเสนาบดีมามอบให้รัฐมนตรีในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง แล้วรัฐมนตรีในอดีตก็ทำตามกันมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน บทบาทนั้นก็คือ บทบาทเรื่องของคน เรื่องของเงิน เรื่องของอำนาจ ภาคราชการก็เลยกลายเป็นคนเขียนนโยบายแทนภาคการเมือง ต่อไปนี้นโยบายภาคการเมืองเป็นคนทำ ภาคข้าราชการมีหน้าที่ปฏิบัติ เพราะฉะนั้น ภาคการเมืองก็พยายามอย่าไปแย่งงานข้าราชการประจำทำ ข้าราชการประจำบทบาทต้องเปลี่ยนแปลงแน่นอน ถ้าไม่เช่นนั้นนักการเมืองคนไหนก็มาเป็นรัฐมนตรีได้ เพราะอะไรไปถึงก็เซ็นแฟ้มตามที่ข้าราชการเสนอมา เป้าหมายที่จะตอบสนองประชาชนไม่ใช่นโยบายในการอยากได้อย่างนี้จะเอาอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ภาค การเมืองจะต้องคิดนโยบาย เพราะภาคการเมืองจะต้องตอบสนองต่อประชาชนมากที่สุด คือเรามีประชาชนเป็นตัวตั้ง ภาคการเมืองต้องตอบสนองต่อการแก้ปัญหากับประชาชน ประชาชนเป็นตัวสะท้อนกลับมาที่ภาคการเมือง ส่วนภาคข้าราชการต้องทำงานบริการประชาชน และขณะเดียวกันก็ต้องทำงานตามนโยบายของรัฐบาล บทบาทตรงนี้ต้องปรับเข้าสู่จุดที่ผมอธิบายให้ฟัง เพราะถ้ารัฐมนตรี ไม่สนใจเรื่องนโยบายประเทศเลยไม่มีทิศทาง ดังนั้น ต่อไปนี้ทิศทางประเทศต้องนำด้วยนโยบาย และเราคิดร่วมกันทำร่วมกันตั้งแต่ภาคประชาชน ภาคราชการ ภาคการเมือง คิดร่วมกันทำร่วมกัน แล้วต้อง ชี้นำด้วยนโยบายไม่ใช่ ชี้นำด้วยความรู้สึกต่อไปแล้ว อยู่ ๆ ก็สั่งการไป เป็นความรู้สึก ประเทศไม่ได้มีทิศทางเลย ไม่รู้จะพาประเทศไปทางไหน ข้าราชการก็ไม่เข้าใจ ฉะนั้นต่อไปนี้การเปลี่ยนแปลง วิธีการทำงานต้องเกิดขึ้น อาจจะมีลองผิดลองถูกบ้างก็ต้องยอมรับ เพื่อให้ขับเคลื่อนไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารประเทศ

วิธีการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ

ภารกิจหลักปัจจุบันของรัฐบาลก็คือเรื่องเศรษฐกิจ เพราะเราเพิ่งเกิดวิกฤติและยังไม่ พ้นดี วิธีการก็คงต้องต่างกัน เพราะเรามีสังคมที่ต่างกัน 2 สังคม คือสังคมเมืองกับสังคมชนบท เราเป็น 1 ประเทศ 2 ระบบ 2 สังคม อย่าไปคิดว่าทฤษฎีเดียวใช้ทั้งหมด เพราะอาการของโรคก็ไม่เหมือนกัน คนเราป่วยเป็นโรค 5 อย่าง นึกว่ายาเม็ดเดียวรักษาหายทั้ง 5 โรค ไม่หายหรอก เพราะฉะนั้นวิธีการ แก้ปัญหาต้องใช้วิธีการที่ต่างกัน เพราะสังคม ความต้องการ ความเดือดร้อน ความทนต่อสภาพปัญหา ก็ต่างกัน ถ้าเราคิดจะแก้ปัญหาแล้ว เราต้องเข้าใจความแตกต่างของสังคม 2 สังคมนี้ ขอให้ท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางมหาดไทย เน้นสังคมชนบทอยู่แล้ว กระทรวงการคลังก็คงต้องมองเรื่องของปัญหาเมืองมากพอสมควรเหมือนกัน อย่างวันนี้จริง ๆ แล้วถามว่าเราพังเพราะระบบอะไร เพราะระบบกระดาษ เราโดนกระดาษตีกระดาษจนพังไปหมด เกี่ยวข้าวทั้งหมดคนไทยไม่กินสักเม็ด ส่งออก เมืองนอกก็ยังไม่พอใช้หนี้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเอากระดาษสู้กระดาษบ้างเหมือนกัน ส่วนข้าวก็ทำไปปลูกไป เพราะฉะนั้นสรุปแล้วสังคมเมืองก็ต้องส่งเสริมให้เข้มแข็ง สังคมชนบทก็แก้ปัญหาให้เขารอด เพราะโลกยุคใหม่เป็นโลกของคำว่า “ความเชื่อถือ”

แก้ปัญหาแบบแบ่งประเภท

เมื่อเกิดความเชื่อถือก็สามารถทำกระดาษเป็นเงินได้มาก เมื่อทำกระดาษเป็นเงินก็เอากระดาษสู้กับกระดาษบ้าง เราต้องพัฒนาเครื่องมือต่าง ๆ มาสู้กันบ้าง เพราะฉะนั้นเราต้องดูว่าเรามี สินทรัพย์อะไรที่จะเกิดเครื่องมือดี ๆ เรื่องนี้อาจจะซับซ้อน หลายท่านที่ไม่ได้อยู่ในโลกซีกของการเงินการคลังซีกของธุรกิจจะไม่เข้าใจ แต่ผมพูดกว้าง ๆ ให้รู้ว่าวิธีการแก้ปัญหากับกลุ่มเป้าหมาย ปัญหา นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นกลุ่มเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องใช้ทฤษฎีเดียวกัน เหมือนกับที่ผมบอกกับกลุ่ม ที่พยายามไปปรับโครงสร้างหนี้ ผมบอกว่าเราปรับโครงสร้างด้วยการใช้กติกาเดียวกันทั้งระบบไม่ได้ เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับ ปรส. คนมีตึกสองตึกอยู่ติดกัน ตึกหนึ่งกู้ธนาคารไม่ล้มเหลวต้องจ่ายดอกเบี้ย ทุกบาท อีกตึกหนึ่งไปกู้ไฟแนนซ์เสร็จแล้วขายทอดตลาดได้คืน ไปซื้อหนี้กลับคืนมาได้ 25-30% ต้นทุนผิดกันแล้ว เก็บค่าเช่าที่ต่างกัน ตึกที่อยู่ข้างกันกู้แบงก์จ่ายดอกเบี้ย 100% ก็สู้ไม่ได้ สู้ไม่ได้ก็กลายเป็นเอ็นพีแอลกับแบงก์ต่อ ถ้าขืนปรับโครงสร้างหนี้แบบนี้รับรอง งูกินหางไม่มีจบ ผมเลยบอกว่าแบ่งธุรกิจทุกประเภทในประเภทเดียวกัน ใช้มาตรฐานเดียวกัน ต่างประเภทอาจจะต่างมาตรฐาน เป็นไปตามความต้องการของประเภทที่จะต้องการการจ้างงานจากอุตสาหกรรมนั้น ธุรกิจนั้น หรือความจำเป็นที่ต้องการจะมีธุรกิจนั้นให้เข้มแข็งในการที่จะแข่งขันกับเขา นั่นคือต้องแบ่งกลุ่มของหนี้ออกมาตามประเภทธุรกิจ ประเภทอุตสาหกรรม แล้วค่อยมาบริหารในประเภทเดียวกันด้วยกติกาเดียวกัน ถ้าเราบริหาร ด้วยกติกาที่ต่างกันในธุรกิจเดียวกัน เพราะต่างแบงก์หรือต่างสถาบันการเงิน ต่างคนจัดการบริหาร สินทรัพย์จะล้มเหลว เพราะฉะนั้นรายละเอียดเหล่านี้ต้องคิด ผมอยากซักซ้อมให้เข้าใจกันก่อน เพราะ วันแรกถ้าเข้าใจกันก่อนแล้วต่อไปจะทำงานด้วยกันง่ายขึ้น

นโยบายพักหนี้เกษตรกร

นโยบายหลัก 9 ข้อกับนโยบายเสริมมีดังนี้ 1. นโยบายพักหนี้เกษตรกร การปรับ โครงสร้างหนี้ภาคเอกชน เราทำกันหมดเงินเป็นแสน ๆ ล้านบาท เราทำกันเพราะเราบอกว่ามันจำเป็น มันวิกฤต แต่เราลืมไปว่าประชาชนก็วิกฤต เกษตรกรก็คือนักธุรกิจเพราะลงทุนปลูกและขาย แต่ โชคร้ายเพราะไม่สามารถกำหนดราคาสินค้าได้เหมือนธุรกิจก็เลยขาดทุน เราให้เขารองรับปัญหามานานตั้งแต่แผน 1 ปี 2500 เราเก็บพรีเมี่ยมส่งออกสินค้าเกษตร เพื่อนำเงินเหล่านั้นมาสร้างถนนสร้างไฟฟ้า เราต้องไปขายต่างประเทศ ถ้าราคาต่างประเทศขายได้ 100 บาท ถ้าเราเก็บพรีเมี่ยม 20 บาท พ่อค้ากำไรอีก 20 บาท ราคาก็เหลือ 60 บาท ถ้าเราไม่เก็บพรีเมี่ยมราคาก็เป็น 80 บาท แต่เราเก็บ พรีเมี่ยมนั่นคือเกษตรกรรุ่นแรกรับปัญหามาแล้ว พอมาแผน 3 แผน 4 เงินเฟ้อครับ เราก็คุมเงินเฟ้อด้วยการคุมราคาเครื่องอุปโภคบริโภค ก็ว่ากันเรื่องสินค้าเกษตร ผักเท่าไร หมูเท่าไร วันนี้ วิกฤต เขาต้องรับภาระ เมื่อเขารับภาระ เราต้องคิดว่าเราจะแก้ปัญหาอย่างไรในการที่จะให้คนเหล่านี้ได้ขึ้นมาแข็งแรงอีกที ก็ต้องปรับโครงสร้างหนี้เขา คือเปลี่ยนหนี้ระยะสั้นเป็นหนี้ระยะกลาง คืออีก 3 ปีค่อยใช้ ระหว่างนี้ลำบาก เพราะเราเห็นแล้วว่าอีก 3 ปีข้างหน้ายังไม่สบายเท่าไร เราก็รับภาระ รัฐบาลเปรียบเสมือนพ่อแม่ เมื่อลูกป่วยก็ต้องยอมรับ พ่อแม่ยอมอดทนเพราะต้องหาเงินมารักษาลูก เพราะฉะนั้น รัฐบาลก็ต้องรับภาระดอกเบี้ยให้ 3 ปี อันนี้เฉพาะรายย่อย เขาจนจริง ๆ ถ้าเขาไม่จน เขามีเงินมากกว่านี้ก็เป็นรายใหญ่ นั่นคือวิธีคิด

นโยบายเรื่องกองทุนหมู่บ้าน

2. เรื่องกองทุนหมู่บ้านนั้น วิธีคิดก็มาจากระบบทุนนิยม ใครเข้าหาแหล่งทุนได้คนนั้น ได้เปรียบ วันนี้ใครมีเครดิตอยากได้เงินสักหมื่นล้านบาท แบงก์รีบให้เลยเพราะแบงก์เงินเหลือ ดอกเบี้ยให้ถูกด้วย ดีไม่ดีต่อรองช่วยเอาไปหน่อย ดอกเบี้ยที่บอกว่าเอ็มแอลอาร์เท่าไร 7.5 % เอาน่า 5% ก็เอา เอาไปหมื่นล้านบาท เอาไปเลย ส่วนอีกคนหนึ่งเอาที่ดินไปจำนองไม่ได้ ไม่มี ผมกลัวคุณล้ม นี่คือความเป็นจริง แต่ชาวบ้านไม่มีแม้กระทั่งจะจำนอง ไม่มีแม้กระทั่งจะผูกเนคไทไปแบงก์ ใส่รองเท้าแตะไปแบงก์ แล้วจะไปกู้ที่ไหน เอาอะไรจำนองก็ไม่มี หน้าตาก็ทำนามาผิวกร้านผิวดำ รูปร่างลักษณะ ไม่ดีแบงก์ก็ไม่ปล่อย ปล่อยตามรูปร่างลักษณะก็ไม่ปล่อย ปล่อยตามสินทรัพย์ก็ไม่ปล่อย อยู่ได้อย่างไร เมื่อเขาอยู่ไม่ได้ เราก็ต้องเอาทุนไปหาเขา เอาทุนไปไว้ในชุมชนเพื่อให้เขามีโอกาส เอาเงินเหล่านี้มาเลี้ยงชีพเขา ในยามวิกฤตอย่างนี้ถ้าเราแจกฟรีรับรองระบบเสียหมด แต่นี่เอาไปให้เขากู้ยืมในดอกเบี้ยต่ำ ๆ เพื่อให้แต่ละหมู่บ้านมีกองทุนอยู่ในนั้น เขาจะได้กู้ไปประกอบอาชีพมีรายได้เสริม ไปแปรรูปสินค้าเกษตรบ้าง กู้ไปทอผ้า ไปทำหัตถกรรมที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายสอนมาบ้าง เขาจะได้มีรายได้

นี่คือวัตถุประสงค์ของการทำกองทุนหมู่บ้านที่เป็นกองทุนที่ได้รับการเห็นชอบแล้ว นั่นคือ วิธีการคิดด้วยระบบทุนนิยมสมัยใหม่ ไม่ได้คิดว่าจะเป็นนโยบาย

ทักษิณบรรยาย ประชาธิปไตยบนทางแยก


ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องจาก www


พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกยึดอำนาจจากคณะทหารที่ทำการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายนปีที่แล้วได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่นของอังกฤษ) ที่สถาบันยุทธศาสตร์เพื่อการศึกษาระหว่างประเทศ (International Institute for Strategic Studies) ในกรุงลอนดอนในหัวข้อ Democracy at a crossroad หรือประชาธิปไตยบนทางแยกท่ามกลางความสนใจทั้งจากชาวต่างประเทศ และชาวไทย


ประชาธิปไตย ณ ทางแยก
๒ มีนาคม ๒๕๕๐

ขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำด้วยไมตรีจิต ผมรู้ถึงคุณค่าที่ได้รับโอกาสมาพูด ณ สถาบันอันเพียบพร้อมแห่งนี้ เพื่อแสดงบทบาทร่วมเล็กๆ น้อยๆ ในภารกิจใหญ่ของสถาบันนานาชาติเพื่ือการศึกษาทางยุทธศาสตร์

ขอบคุณที่ได้เชิญผมมาบรรยายเรื่องประชาธิปไตยในดินแดนที่รูปแบบประชาธิปไตยแบบเวสต์มินสเตอร์ได้กลายเป็นพิมพ์เขียวให้กับการพัฒนาประชาธิปไตยใหม่ๆ ทั่วโลก

ในที่ๆ ค่านิยมประชาธิปไตยได้กลายเป็นวิถีชีวิตของคนทุกคน จนดูประหนึ่งว่าอยู่ในสายเลือดไปแล้ว

ในที่ๆ คนทุกคนหายใจ ดื่มกิน และพักผ่อนหลับนอนด้วยหัวใจประชาธิปไตย

ในที่ๆ วัฒนธรรมทางการเมืองมีค่าเท่ากับวัฒนธรรมประชาธิปไตย และ

ในที่ๆ นึกไม่ออกเลยว่าถ้าขาดประชาธิปไตยแล้วชีวิตจะดำรงอยู่ต่อไปอย่างไร

ผมเองในขณะนี้ไม่ใช่นักการเมือง

และไม่มีเจตนาใดๆ ที่จะหวนคืนสู่การเมืองอีก

แต่หลังจากใช้เวลาหลายปีในการติดตามเฝ้ามอง และโดยประสบการณ์ส่วนตัวจากตำแหน่งหน้าที่หลากหลายในรัฐบาล ผมเชื่อมั่นว่าประวัติศาสตร์ให้พิสูจน์อย่างชัดเจนที่สุดว่า ในบรรดารูปแบบการปกครองต่างๆ นั้น ประชาธิปไตยประสบความสำเร็จมากที่สุดในการพัฒนาเศรษฐกิจอันแท้จริง ในการพัฒนาสังคม และในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทั้งหมดในสังคมนั้นๆ

ผมเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย เพราะได้ให้เกียรติภูมิ เสรีภาพ และสิทธิอันสมควรแก่เผ่าพันธุ์ของมนุษย์

ผมเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นระบบการเมืองอันนำมาซึ่งสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองที่มีประชาชนและผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นศูนย์กลาง และผมเชื่อมั่นในระบบประชาธิปไตยเพราะได้ให้วิธีการอันทรงประสิทธิภาพที่สุดเพื่อบรรลุถึงความยุติธรรมในสังคม

รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะคงอยู่ได้โดยการสนองตอบต่อผลประโยชน์ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลประชาธิปไตยจึงมีพันธะผูกพันที่จะนำมาซึ่งความสุข ความเจริญรุ่งเรือง และความผาสุกของประชาชนทุกๆ คน

อย่างไรก็ดี จะประสบความสำเร็จได้ขนาดไหนนั้น ขึ้นกับปัจจัยหลายประการ

รัฐบาลจะต้องได้รับอำนาจรัฐมาในกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตย และมีความประสงค์จะได้รับอำนาจอย่างต่อเนื่องจากประชาชน จึงจะมีความชอบธรรมและได้รับสิทธิในการใช้อำนาจนั้นด้วยความนอบน้อมถ่อมตน

แต่ในทางตรงข้าม ถ้ารัฐบาลได้อำนาจมาในทางอื่นๆ ก็จะถูกยั่วยวนให้รักษาอำนาจนั้นไว้ด้วยวิธีการต่างๆ จนเกิดภาพมายาว่าอะไรที่ดีสำหรับตนก็คงดีสำหรับประเทศชาติด้วย อำนาจนั้นถึงเวลาแล้วก็หอมหวลเกินกว่าจะปล่อยให้หลุดจากมือไปได้

ในสองศตวรรษที่ผ่านมา และโดยเฉพาะในศตวรรษที่แล้วมานี้ เราได้เห็นการเติบโตของระบอบประชาธิปไตยในเชิงปริมาณ

แต่เราพบว่า ไม่มีรูปแบบประชาธิปไตยเดียวกันทั้งหมด ประชาธิปไตยที่แท้จึงถูกพัฒนาไปตามสิ่งแวดล้อมทางการเมือง ในบริบทของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่แต่ละถิ่นที่

อย่างไรก็ตาม มีองค์ประกอบและเงื่อนไขที่จำเป็นบางอย่างต่อกระบวนการประชาธิปไตยทั้งมวล

ตัวอย่างเช่น บทบาทร่วมอย่างมีประสิทธิภาพของประชาชน สิทธิออกเสียงเลือกตั้งที่เสมอภาคกัน การเลือกตั้งที่เป็นอิสระ เป็นธรรม และมีความสม่ำเสมอ การแสดงออกได้โดยเสรี การเข้าถึงข้อมูลที่หลากหลายและมีทางเลือก เสรีภาพในการรวมกลุ่ม ฯลฯ

โลกหลังสงครามใหญ่ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๘๘ เป็นต้นมา เราได้เห็นการโถมเข้ามาของประชาธิปไตย อันเกิดจากการปลดปล่อยอาณานิคมให้เป็นอิสระ และอิทธิพลของระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตกของประเทศที่เคยเป็นเจ้าอาณานิคมนั้นเอง

ตลอดเวลา ๖๐ ปีหลังสงครามโลก เราเป็นสักขีพยานในความสำเร็จมากมายของประเทศที่นำหลักการประชาธิปไตยไปประยุกต์ใช้ และเราได้เห็นความล้มเหลวและการล่มสลายของประชาธิปไตยในหลายมุมของโลกเช่นกัน

ในขณะที่ศตวรรษนี้เป็นเวลาที่ประชาธิปไตยเฟื่องฟูสุดขีด แต่ศาสตราจารย์โรเบิร์ต ดาห์ล ได้เขียนไว้ในหนังสือ “ว่าด้วยประชาธิปไตย (On Democracy)” ว่ามีตัวอย่างกว่าเจ็ดสิบรายที่ระบอบประชาธิปไตยล่มสลายและกลายเป็นเผด็จการอำนาจนิยมไปแทน

ประชาธิปไตยซึ่งมีข้อดีเป็นเอนกอนันต์นั้น ในที่สุดก็มีขาขึ้นและขาลงในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมาทั่วโลก จึงกล่าวได้ว่าประชาธิปไตยมักจะตั้งอยู่บนทางแยก ในประเทศที่ไร้ประชาธิปไตย จะสรุปไม่ได้สักทีว่าข้อดีและข้อบกพร่องของระบอบประชาธิปไตยนั้นคืออะไร

ในประเทศประชาธิปไตยใหม่ๆ สถาบันประชาธิปไตยจะแข็งแกร่งขึ้นหรืออ่อนแอลงเพ่ือส่งผลให้ระบอบประชาธิปไตยทั้งหมดอยู่ได้หรือต้องล่มสลายไป

ในประเทศประชาธิปไตยอันยาวนาน มักจะเกิดคำถามอยู่เสมอว่าประชาธิปไตยจะต้องลงลึกมากขึ้นในสังคมหรือไม่ หรือเกิดสงสัยว่าคนทั่วไปกำลังมองประชาธิปไตยอย่างดาดๆ โดยลืมคุณค่าอันแท้จริงไปหรือไม่

มีคำถามอยู่เสมอว่า เราจะเป็นประชาธิปไตยให้มากยิ่งขึ้นในทางใดบ้าง อันเป็นคำถามนำไปสู่ทางแยกสู่ระบอบอื่นๆ ได้เสมอ

เราเรียนรู้ได้จากประเทศประชาธิปไตยใหม่ๆ จากอดีตยุโรปตะวันออกในช่วงทศวรรษที่ ๑๙๘๐ และ ๑๙๙๐ ว่า อนาคตของประชาธิปไตยขึ้นอยู่กับการเสริมสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ เหล่านั้น

เราส่งเสริมประชาธิปไตยได้โดยชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างประชาธิปไตยกับความจำเริญของสังคม และแสดงให้เห็นว่าประชาธิปไตยแบบตัวแทนสามารถจูงใจและสร้างบรรยากาศอันเป็นมิตรให้กับระบบเศรษฐกิจการตลาดอย่างไรบ้าง

พูดอีกอย่างหนึ่ง เราต้องช่วยให้ประเทศชาติเลี้ยวมาในทิศทางที่ถูกต้อง เมื่อมาถึงทางแยก

ในส่วนของผมเอง ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าความจำเริญอย่างแท้จริงจะไม่อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องได้เลยโดยปราศจากประชาธิปไตย

ถ้าจะให้ระบอบประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจการตลาดประสบผลสำเร็จ เสรีภาพจะต้องได้รับการคุ้มครองรักษาไว้ เมื่อมีเสรีภาพ ก็จะมีความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และความสามารถในการคาดเดาวางแผนได้

นี่คือองค์ประกอบทั้งมวลของเสถียรภาพในทางเศรษฐกิจและประชาธิปไตย

ผมมีความเชื่อมั่นว่าการพัฒนาเศรษฐกิจผูกติดกับธรรมาภิบาลที่เป็นประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน จะย้อนกลับมาทำให้ระบอบประชาธิปไตยแข็งแรงขึ้น

ความเติบโตจะช่วยลดความยากจน ยกระดับความเป็นอยู่ และลดความขัดแย้งทางสังคมและการเมือง

ความเติบโตจะทำให้การแบ่งปันทรัพยากรของชาติมีความเป็นธรรม และกระจายไปในระบบการศึกษาและสวัสดิการสังคม และย้อนกลับมาทำให้ระบอบประชาธิปไตยแข็งแรงขึ้น

เมื่อมองไปทั่วโลก เราได้เห็นหลายประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล และมีภูมิปัญญาที่ยังมิได้นำมาใช้ประโยชน์มากมาย แต่ทว่าประชาชนในประเทศกลับลำบากยากจน

เมื่อบรรดาชนชั้นนำไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ต่อประชาชน เมื่อการตัดสินใจใดๆ ของเขาไม่ต้องได้รับการยอมรับจากประชาชนแล้ว ประเทศนั้นๆ ก็ย่อมฝืดเคืองและขับเคลื่อนไม่ได้

ประชาธิปไตยทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ แนวคิดใหม่ๆ มาจากการแสดงออกโดยเสรี และการแสดงออกโดยเสรีเป็นกลไกทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนออกมาจากภายในตัวของมนุษย์เอง

ความเชื่อมโยงระหว่างประชาธิปไตยและการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างนี้เอง ที่ส่งผลกระทบให้เกิดการพัฒนาอารยธรรม

ถ้าเรามองย้อนหลังกลับไปดูประชาธิปไตยเก่าๆ ที่เคยครอบงำยุโรป เราจะพบความจริงในช่วงศตวรรษที่ ๑๘ และ ๑๙ ว่า ระบอบทหารได้ครอบงำระบบใหญ่และกลไกของรัฐบาลทั้งหมด

ความโอ๋อ่าใหญ่โตกลายเป็นเป้าหมายที่สำคัญ

ในศตวรรษที่ ๑๙ เราได้เห็นการพัฒนาอุตสาหกรรมที่นำความมั่งคั่งมาสู่ยุโรป และค่านิยมที่เน้นความโอ่อ่าอย่างเดียวก็เริ่มถูกข้ามไป

เมื่อมาถึงปัจจุบัน โลกตะวันตกกลับเป็นผู้นำยุคสมัยแห่งการพัฒนายุคแห่งข้อมูลข่าวสาร การสร้างองค์ความรู้กลายเป็นแหล่งของการสร้างความมั่งคั่งและเกียรติภูมิไปพร้อมกัน

ประเทศส่วนใหญ่ในเอเชีย แอฟริกา และอเมริกาใต้ที่ไม่อาจพัฒนาประชาธิปไตยอย่างได้ผล จนไม่ได้รับประโยชน์จากยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร จะประสบปัญหาอย่างมากในการพัฒนาเศรษฐกิจและทำให้เสถียรภาพของระบอบประชาธิปไตยเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง ในขณะที่โลกตะวันตกวางยุทธศาสตร์ของตนเองไว้แล้วว่าจะแสวงประโยชน์สูงสุดจากยุคแห่งข้อมูลข่าวสารนี้อย่างไร

ยุทธศาสตร์เหล่านั้นจะสร้างโอกาสที่ดีขึ้นให้กับพลเมืองของประเทศใดก็ตามที่ได้รับเสรีภาพในการแสดงออก และสามารถนำไปพัฒนาเป็นยุทธศาสตร์การสื่อสารที่จะนำมาซึ่งผลตอบแทนในทางเศรษฐกิจ

จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ หากประเทศในสหภาพยุโรปที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการเสริมสร้างเสถียรภาพในระบอบประชาธิปไตยของตน จะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับประเทศประชาธิปไตยใหม่ๆ โดยใช้ประสบการณ์อันมากล้นมาเป็นฐาน

ความสำเร็จของประเทศในยุโรปที่ได้สร้างประชาธิปไตยและความรุ่งโรจน์ทางเศรษฐกิจบนเถ้าถ่านแห่งสงครามโลกครั้งที่ ๒ ถือเป็นผลสัมฤทธิ์อันเป็นเอกแห่งศตวรรษก่อนทีเดียว

และยังได้สร้างสหภาพร่วมกันทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจเพื่อเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จที่ยังคงดำรงไว้ได้ซึ่งความหวังและความฝัน ตลอดห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์และโศกนาฎกรรม

นี่คือตัวอย่างที่ชี้ว่า ประชาธิปไตยอันแกร่งกล้าสามารถนำมาซึ่งเศรษฐกิจอันเรืองรองอย่างไร

ยุโรปสามารถแบ่งปันบทเรียนเหล่านี้ได้ในอีกหลายที่ของโลก โดยเฉพาะกับประเทศที่มาถึงทางแยกแห่งการพัฒนาประชาธิปไตยของตน

ประเทศเหล่านี้ต้องการความช่วยเหลือเพ่ือให้แน่ใจไม่ได้เดินไปในทางที่ผิด หรือทางแห่งความล่มสลาย

สำหรับเอเชีย ผมคิดว่ายุโรปควรจะมีพันธะผูกพันกับชาติเอเชียต่อไปบนพื้นฐานแห่งความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและละเอียดอ่อน ความนับถือกัน และวิสัยทัศน์ และความยืนหยัดสนับสนุนแนวทางประชาธิปไตย

พันธกรณีของท่านจะช่วยให้เรามีวิสัยทัศน์และเป้าหมายร่วมกันเพื่อความสำเร็จที่ยิ่งขึ้น เอเชียและยุโรปสามารถรวมพลังกันผลักดันและเร่งเร้าให้เกิดกำลังร่วมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและเพื่อการดำรงอยู่ของรัฐบาลประชาธิปไตยในเอเชีย

เราร่วมกันทำได้มากกว่าเดิมแน่ ในการส่งเสริมธรรมาภิบาลเพื่อความก้าวหน้าในด้านเศรษฐกิจและประชาธิปไตย

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน ได้กำหนดก้าวย่างที่สำคัญในการสร้างความพันธกรณีต่อเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยและเสรีภาพทางเศรษฐกิจ

หลังจากที่เกิดมาได้ ๔๐ ปี อาเซียนกำลังเร่งสร้างกฎบัตรฉบับแรกของตนเองขึ้นมา กลุ่มผู้นำทางความคิดที่มีตัวแทนครบทั้ง ๑๐ ประเทศสมาชิก ได้ยกร่างในรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้เกิดเป็นกฎบัตรฉบับใหม่ที่จะส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาคบนฐานของ

“ค่านิยมประชาธิปไตยที่เข้มแข็งและเป็นเชิงรุก ธรรมาภิบาล ปฏิเสธการ เปลี่ยนแปลงรัฐบาลด้วยวิธีที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยและขัดต่อรัฐธรรมนูญ หลักนิติธรรมที่รวมถึงกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยหลักมนุษยธรรม และความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนตลอดจนเสรีภาพขั้นพื้นฐาน”

ถึงหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมิได้เป็นประชาธิปไตยที่เปิดกว้าง แต่ทุกประเทศก็ตระหนักว่านี่คือทางที่ต้องก้าวเดินไป

อาจจะต้องใช้เวลาพอสมควรที่ค่านิยมประชาธิปไตยจะกลืนเข้ามาในภูมิภาคของเราเช่นเดียวกับยุโรปในวันนี้ แต่ทิศทางในอนาคตนั้นแจ่มชัดนัก

เท่ากับที่ความชัดเจนแน่นอนที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างการเมืองและเศรษฐกิจ ความยึดมั่นผูกพันในค่านิยมประชาธิปไตยก็จะต้องเพิ่มพูนขึ้นด้วย

ประชาธิปไตยไม่ใช่ความฝันอันหรูหราของภูมิภาคนี้อีกแล้ว หากเป็นความจำเป็น เราต้องการระบอบประชาธิปไตยที่จะทำให้เกิดความมั่นใจว่า ยามที่เกิดวิกฤติขึ้น สถาบันทางการเมืองและเศรษฐกิจของเราจะมีความแข็งแกร่งพอที่เดินหน้าร่วมกันต่อไปจนกว่าจะบรรลุทางออกอย่างมั่นคงได้

ในที่สุดแล้ว จะเกิดประโยชน์พียงน้อยนิดในความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะโดยสนธิสัญญาหรือการทำงานร่วมกันของบุคคลในระบบเศรษฐกิจการตลาด ถ้าผลแห่งความร่วมมือจะต้องอยู่ในสภาพที่เสี่ยงอันตรายจากการที่ประเทศใดประเทศหนึ่งในกลุ่มเกิดความถดถอยในการพัฒนาประชาธิปไตยและขาดรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ

เมื่อถึงจุดนี้ ผมขอพูดอะไรเล็กน้อยเกี่ยวกับประเทศไทย

ก่อนอื่น ผมอยากจะให้ท่านทั้งหลายได้ทราบว่า ผมยังมองอนาคตของประเทศของผมในแง่ดีและมีความหวังอันสูงยิ่ง และอยากจะอธิบายโดยสังเขปว่าเหตุใดผมยังคงรู้สึกเช่นนั้น

ประเทศไทยเริ่มมีสถาบันตามระบอบประชาธิปไตยในปีพุทธศักราช ๒๔๗๕
จากนั้นเป็นต้นมา โดยผ่านรัฐธรรมนูญจำนวน ๑๗ ฉบับและเหตุวุ่นวายทางการเมืองหลายครั้ง รากฐานของระบอบประชาธิปไตยยังคงเป็นสิ่งที่คนไทยยึดมั่น

ทั่วประเทศไทย ประชาชนก็ยังอยากเห็นความพร้อมรับผิดและการตรวจสอบโดยตรง โดยผ่านการเลือกตั้ง

คนไทยเริ่มเข้าใจถึงความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการมีประชาธิปไตย

เมื่อผมเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปีพุทธศักราช ๒๕๔๔ คนไทยจำนวน ๑๒ ล้าน ๕ แสนคนยังคงอยู่ภายใต้เส้นแห่งความยากจน

พอถึงเดือนกันยายนของปีเดียวกัน ตัวเลขนั้นลดลงมาเป็น ๗ ล้าน ๕ แสนคน ซึ่งก็ยังคงเป็นตัวเลขที่มาก แต่เป็นสิ่งยืนยันว่าเรากำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง

ถึงจะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ นั่นคือธรณีพิบัติภัยสึนามิแห่งปีพุทธศักราช ๒๕๔๗ ผลผลิตมวลรวมในประเทศหรือ GDP ก็ยังคงเพิ่มถึง ๕๐ % ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา และประเทศไทยได้เปลี่ยนสถานะมาเป็นประเทศผู้ให้**้

หลังจากที่ผ่านผลกระทบอันหนักหน่วงของวิกฤติการณ์เศรษฐกิจแห่งเอเชียในปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ เราก็ได้ฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการในการชำระหนี้คืนให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และกระทำสำเร็จถึงสองปีก่อนเวลาที่กำหนดไว้

เราได้กระทำการหลายอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าว่าคนจนในชนบทจะได้รับทุนทำกินอย่างพอเพียงโดยผ่านโครงการต่างๆ และเกียรติยศอันเกิดจากโอกาสที่จะได้สร้างรายได้เพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัวเป็นสิ่งที่ไม่เกินเอื้อมสำหรับคนไทยทุกคน

เมื่อเกิดความแข็งแรงของเศรษฐกิจจากระดับรากหญ้าขึ้นมา ก็เท่ากับเราได้สร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจในประเทศในภาพรวม และเป็นผลให้การลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มพูนขึ้น

ท่านคงพอเข้าใจแล้วว่า เหตุใดผมยังคงมองอนาคตของชาติในทางบวกได้

ผมแน่ใจว่า คนไทยยังคงปรารถนาที่จะฟื้นฟูและสร้างความจำเริญทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเมื่อระบอบประชาธิปไตยกลับคืนสู่ประเทศแล้ว

ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า จิตใจที่ดีของคนไทยซึ่งได้กลายเป็นบุคลิกลักษณะแห่งชาติ จะทำให้ประเทศไทยสามารถสร้างความปรองดองแห่งชาติภายใต้ร่มพระบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นที่รักยิ่ง ผมรู้ดีว่าชาวไทยทั้งปวงมีความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดระยะเวลา ๖๐ ปีแห่งการครองราชย์และในความผาสุกแห่งแผนดินไทยโดยตลอดมา

ไม่มีการกระทำใดๆ ที่จะแสดงความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณยิ่งไปกว่าความสมานฉันท์ระหว่างคนไทยด้วยกัน และร่วมใจกันพัฒนาประเทศให้สมบูรณ์พูนสุข

การฟื้นฟูประชาธิปไตยโดยเร็ว จะช่วยให้กระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

และสำหรับท่านทั้งหลายในฐานะเพื่อนของเรา ผมขอกล่าวไว้ในที่นี้ว่า เมื่อเราถูกกระทบกระแทกจากวิกฤติเศรษฐกิจแห่งปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ นั้น ท่านเป็นมิตรที่ยืนเคียงข้างเรา และคบกันอย่างอดทนจนกระทั่งเราฟ้ืนตัวได้อีกครั้งในทางเศรษฐกิจ

ท่านคงได้เห็นมาบ้างแล้วว่าประเทศของเราได้ผ่านพ้นปัญหาต่างๆ และคืนสู่ความเป็นปกติสุขมาแล้วอย่างไรบ้าง

เราได้ทำสำเร็จมาแล้ว

เราประสบผลสำเร็จเกินกว่าที่หลายฝ่ายคาดหมายไว้ด้วยซ้ำไป

ผมมั่นใจว่า ณ ทางแยกใหม่ของประเทศไทยในครั้งนี้ เราจะเลี้ยวได้อย่างถูกต้องและราบรื่นอีกครั้ง

ขอขอบคุณที่ท่านได้ให้ความสนใจอย่างดียิ่ง จากนี้ไปผมยินดีจะตอบคำถามของท่าน.

Resource:
http://www.hi-thaksin.org/contentdetail.php?ParamID=1034

คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี หลังจากรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี าพันธ์ 2544




คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร)

(กล่าวขอบคุณประชาชนและ ส.ส. หลังจากรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544)

เพื่อนร่วมชาติที่เคารพรัก ผมรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไว้วางพระราชหฤทัย แต่งตั้งให้กระผมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผมขอขอบคุณพี่น้อง ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ที่ได้มอบความไว้วางใจให้กับผม ผมขอขอบคุณท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ได้กรุณาลงมติไว้วางใจผม ทำให้ผมได้มีโอกาสทดแทนบุญคุณแผ่นดิน และมีโอกาสที่ได้ใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ที่สะสมมาทั้งชีวิต นำความผาสุกสู่คนไทยทั้งประเทศ ผมขอย้ำว่านโยบายทุกนโยบายที่ได้ประกาศไว้แก่พี่น้องประชาชน จะนำมาปฏิบัติด้วยความรอบคอบ ประหยัด รวดเร็ว และรัดกุม

พี่น้องที่เคารพครับ การตัดสินใจทุก ๆ เรื่องที่จะเกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลผม ถึงแม้ว่าผมไม่สามารถตัดสินใจให้เป็นที่พอใจของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้ง 61 ล้านคนพร้อม ๆ กันในทุกเรื่อง แต่ทุกเรื่องจะตัดสินใจบนพื้นฐาน เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ และทุกเรื่องจะถูกตัดสินใจบนพื้นฐาน เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนมากกว่าเพื่อความอยู่รอดทางการเมือง 4 ปีข้างหน้าจะเป็น ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง และการปฏิรูปทุกรูปแบบเพื่อนำประเทศไทยให้หลุดพ้นจากวิกฤติ และวาง รากฐานสำหรับอนาคตของลูกหลานเรา ผมจะไม่ยอมทำหน้าที่เป็นเพียงผู้นำตามกฎหมายเท่านั้น ผมจะขอเป็นผู้นำที่นำแห่งการเปลี่ยนแปลงมาสู่ประเทศไทย เพื่อประเทศไทยที่ดีขึ้น พี่น้องที่เคารพครับ ผมจะขอทำหน้าที่เป็นรัฐบาลที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เป็นรัฐบาลที่จะทุ่มเททำด้วยความ ซื่อสัตย์สุจริต

ผมคนเดียวและลำพังแค่รัฐบาลคงไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้ พี่น้องครับ เราโชคดีครับ คนไทยทั้งชาติมีศูนย์รวมใจอยู่ที่พ่อหลวงของเรา ซึ่งมีพระนามว่า "ภูมิพล" ซึ่งหมายถึงพลังแผ่นดิน คงไม่มีพลังอะไรที่ยิ่งใหญ่ที่จะนำให้คนไทยและประเทศไทยหลุดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ และปูรากฐานไว้สำหรับลูกหลานในอนาคตได้ดีเท่ากับการใช้พลังแผ่นดิน ผมขอนำความสามัคคีกลับสู่คน ในชาติ เราคนไทยด้วยกัน เราจะไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายจนขาดความสามัคคี ขาดพลังในการที่จะฟื้นฟูชาติของเรา พี่น้องที่เคารพครับ ผมขอทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีที่จะนำรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทำงานหนักสำหรับความผาสุกของพี่น้องประชาชนคนไทย และผมจะทำหน้าที่ทุกวิถีทางเพื่อรักษาไว้เพื่อศักดิ์ศรีแห่งความเป็นไทยตลอดไป ขอขอบคุณครับ

โสเครตีส

มนุษยชาติไม่ใคร่จะระลึกได้บ่อยครั้งนักว่า กาลครั้งหนึ่ง ยังมีชายคนหนึ่งนามว่า "โสกราตีส" ผู้ซึ่งได้ประสบเหตุการณ์ที่ตัวเขาเองผจญกับอำนาจบังคับของกฏหมาย และ ความเห็นของประชาชนในสมัยของเขาซึ่งควรที่จะจดจำเอาไว้ เขาเกิดในยุคและในประเทศที่อุดมไปด้วยความยิ่งใหญ่ของปัจเจกชน ชายผู้นี้ได้ถูกส่งลงมาให้เราโดยบรรดาผู้ที่รู้จักทั้งตัวเขาและยุคของเขาได้ดีที่สุดในฐานะที่เป็นผู้มีคุณธรรมยอดเยี่ยมในยุคนั้น

ในขณะที่พวกเรารู้จักว่าเขาเป็นผู้นำและเป็นแบบฉบับของบรรดาอาจารย์ผู้สอนคุณธรรมทั้งหมดในสมัยต่อมา เป็นบ่อเกิดของแรงบันดาลใจอันสูงส่งของของ"ปลาโต" เท่าๆกับเป็นบ่อเกิดของลัทธิประโยชน์นิยมอันลึกซึ้งของ"อริสโตเติล"ซึ่งล้วนแต่เป้น "เจ้าของการแต่งเติมผู้รอบรู้" เป็นบ่อเกิดสองประการของปรัชญาจริยธรรมเช่นเดียวกับของปรัชญาแขนงอื่นๆทั้งหมด

ผู้นำของบรรดานักคิดที่รุ่งโรจน์ทั้งหมดผู้ที่เรายอมรับนี้ ผู้ซึ่งยังคงมีชีวิตอยู่ตั้งแต่นัดนั้นเป็นต้นมา ชื่อเสียงของเขายังคงโค่งคังขึ้นเรื่อยๆ หลังจากกาลเวลาได้ผ่านไปนานกว่าสองพันปี สิ่งเหล่านี้มีคุณค่ามากกว่าชื่อต่างๆที่ยังคงหลงเหลืออยู่ทั้งหมดที่ทำให้บ้านเกิดเมืองนอนของเขาได้เป็นที่รู้จักกันขึ้นมา เขาได้ถูกเพื่อนร่วมชาติของเขาเอง "ฆ่า" ตาย

หลังจากที่ได้มีการตัดสินความผิดโดยการพิจารณาของศาลด้วยข้อหาว่า "มีการกระทำอันนอกรีตและไร้ศีลธรรม" ที่ว่านอกรีต ก็เพราะเขาปฏิเสธเทพเจ้าอันเป็นที่ยอมรับของรัฐ อันที่จริง โจทย์ของเขาได้ยืนยัน (ดูได้จากงานเขียน "อะโปโลเกีย") ว่าเขาไม่ได้นับถือเทพเจ้าองค์ใดเลย ที่กล่าวว่าไร้ศีลธรรมก็เพราะจากหลักคำสอนและการอบรมสั่งสอนของเขาทำให้เขาเป็น "ผู้ชักนำเด็กหนุ่มให้หลงผิด" จากข้อหาเหล่านี้ มีมูลให้เชื่อถือได้ทุกกระทง และ ศาลก็พบอย่างพาซื่อด้วยว่า เขามีความผิดจริงและตัดสินชายผู้ซึ่งน่าจะเกิดมาเพื่อได้รับสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษยชาติมากกว่าคนอื่นๆทั้งหมดเช่นนั้น ให้ถูกประหารชีวิตเยี่ยง"อาชญากร"

จาก
งานแปลของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ อันดับที 100
ความเรียงว่าด้วยเสรีภาพ
แปลจาก ON LIBERTY by Jonhn Stuart Mill

การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจะดำเนินต่อไป

การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจะดำเนินต่อไป

วัฒนะ วรรณ

การต่อสู้ของเราชาวเสื้อแดงจะไปทางไหน นี่เป็นคำถามสำคัญ ที่หลายคนพยายามเสนอคำตอบ ผมจึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการเสนอคำตอบนี้



ข้อแรก คนเสื้อแดงต้องจะต้องต่อสู้ในเรื่องเฉพาะหน้าที่สำคัญด้วย คือการปกป้องงาน ปกป้องศักดิ์ศรีคนธรรมดาจากวิกฤตเศรษฐกิจ เพราะทุกครั้งที่เกิดวิกฤตคนจนจะเป็นผู้แบกรับเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน การกู้เงินของรัฐบาลประชาธิปัตย์ ไม่มีหลักประกันใดๆ ที่จะนำเงินมาช่วยคนไม่ให้ตกงาน นอกจากนั้นยังพยายามเก็บภาษีน้ำมัน เหล้า บุหรี่ ขูดเลือดขูดเนื้อจากคนธรรมดาอีก และตัดงบประมาณสาธารณสุข รวมไปถึงนโยบายไร้ประสิทธิภาพที่ผ่านมา เช่น แจกเงินสองพันบาท เบื้อยังชีพคนชรา เดือนละ 500 บาท ใครๆก็รู้ว่าเงินแค่นี้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพอย่างมีศักดิ์ศรีของคนจน รวมถึกการฝึกอาชีพ ในขณะที่สังคมไม่มีงานให้ทำ ดังนั้นเราจะต้องแสดงความสามัคคีกับพี่น้องเกษตรกร และกรรมาชีพที่ทำงานในโรงงาน ในบริษัท ต่างๆ เพื่อร่วมกันรณรงค์นำเงินของรัฐทั้งหมดมาปกป้องงาน และสร้างงานให้กับประชาชนให้อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี



ข้อสอง เป้าหมายระยะกลาง ต้องพยายามสร้างข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม เกี่ยวกับการสร้างสังคมใหม่ ที่ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจน พร้อมๆกับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไปพร้อมกัน ตัวอย่างของข้อเสนอ เช่น การสร้างระบบภาษีแบบก้าวหน้า โดยเน้นเก็บในสัดส่วนมากเป็นพิเศษจากคนรวย สร้างระบบสวัสดิการสังคมที่เท่าเทียม ครบวงจร และเสมอภาค ที่เรียกว่า “รัฐสวัสดิการ” ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ ปฏิรูปการบริหารองค์กรทางสังคมให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เช่นรัฐวิสาหกิจต่างๆ แบบสามฝ่ายคือ รัฐที่มาจากการเลือกตั้ง ผู้แทนสหภาพแรงงานที่ได้รับการเลือกตั้ง และประชาชนในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อชักชวนคนในสังคมที่จะได้ประโยชน์จากข้อเสนอเหล่านี้เข้าร่วมต่อสู้กับขบวนการประชาธิปไตย แต่เราจะทำข้อเสนอเช่นว่านี้ได้ ต้องมีการสร้างสมัชชาสังคมก้าวหน้าในระดับต่างๆ ในระดับชุมชน จังหวัด หรือในระดับประเทศ โดยเป็นเวทีที่มีการถเถียงแลกเปลี่ยนกันอย่างเสรีของคนธรรมดา ซึ่งนอกจากจะได้ข้อเสนอและรณรงค์ไปพร้อมกันแล้ว ยังจะเป็นพื้นที่สร้างปัญญาชนของฝ่ายประชาธิปไตยด้วย



ข้อสาม ถึงที่สุดแล้วการต่อสู้ที่จะรักษาชัยชนะให้ได้อย่างยั่งยืน จะต้องมีเอกภาพภายใต้การงสร้างพรรคการเมืองที่เป็นพรรคของมวลชนซีกประชาธิปไตย ที่ใช้การนำแบบล่างสู่บน โดยจะต้องเน้นเป็นพรรคเพื่อการรณรงค์ทางการเมืองเป็นสำคัญ ความสำคัญของการมีพรรค ก็เพราะว่าพรรคจะเป็นจุดศูนย์กลางในการสะสมประสบการณ์และบทเรียนแพ้ชนะจากพื้นที่ต่างๆ เพื่อติดอาวุธทางความคิด ฝึกฝนสมาชิกให้นำตนเอง เป็นปัญญาชนของซีกประชาธิปไตย

โดย : ประชาไท วันที่ : 31/5/2552

Resource:http://www.prachatai.com/05web/th/home/17043

วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ทักษิโณมิค (Thaksinomics)

ทักษิโณมิค (Thaksinomics)
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ทักษิโณมิค (Thaksinomics) เป็นคำเรียกนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทักษิณ โดยผู้ที่ใช้คำนี้ครั้งแรกคือนางกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ในสุนทรพจน์งานประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) เมื่อ พ.ศ. 2546 เพื่อเป็นเกียรติแก่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย

ประวัติ

ทักษิโณมิค เป็นชื่อเรียกโดยทั่วไปของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทักษิณ ซึ่งมุ่งเน้นการใช้จ่ายภาครัฐบาล และสร้างรายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยว เพื่อแก้ปัญหาความถดถอยทางเศรษฐกิจ ที่เป็นผลมาจากวิกฤตการณ์ทางการเงิน เมื่อปี พ.ศ. 2540

วิกฤตการณ์เมื่อปี พ.ศ. 2540 เกิดจากปริมาณเงินที่ไหลเข้ามาจำนวนมาก เพื่อแสวงหากำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย และจากตลาดหุ้น ขณะเดียวกันก็มีการใช้เงินผิดประเภท เพราะกู้เงินระยะสั้นมาปล่อยกู้ระยะยาว และการปล่อยสินเชื่อก็ไม่ก่อให้เกิดการผลิตที่แท้จริงขึ้นในระบบเศรษฐกิจ จนทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ขึ้น นั่นคือราคาหลักทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์มีราคาสูงกว่าปัจจัยพื้นฐาน ขณะที่ราคาสินค้าอื่นไม่เปลี่ยนแปลง

ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ ทำให้อุปสงค์รวมในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะมีการนำเข้าสินค้าทุนในปริมาณและมูลค่าที่สูงกว่าการส่งออกสุทธิ ส่งผลให้ค่าเงินบาทที่แท้จริงลดลง เมื่อถูกโจมตีค่าเงิน ระดับทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย ก็ไม่เพียงพอที่จะพยุงค่าเงินบาทตามระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ไว้ได้ จนต้องมีการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยน มาเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวแบบมีการจัดการ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 และทำให้ต้องกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เพราะทุนสำรองระหว่างประเทศลดน้อยลงจนไม่เพียงพอชำระหนี้ต่างประเทศ

วิกฤตการณ์ทางการเงินของไทย ส่งผลกระทบต่อภาคการเงินของไทยอย่างรุนแรง จนต้องมีการปิดบริษัทเงินทุน/บริษัทหลักทรัพย์ 56 แห่ง รวมทั้งกิจการธนาคาร ขณะที่ภาระหนี้ต่างประเทศก็เพิ่มสูงขึ้น เพราะรัฐบาลและกองทุนฟื้นฟูฯ เข้าไปแบกรับภาระหนี้ของธนาคารและสถาบันการเงินเหล่านั้น

นอกจากนั้นยังทำให้ระบบเศรษฐกิจของไทยถดถอยติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี เนื่องจากการพังทลายของภาคการเงินไทย เพราะสถาบันการเงินมีภาระหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จำนวนมาก ขณะที่ปริมาณเงินในระบบก็ลดน้อยลง เพราะการไหลออกของเงินทุน รวมทั้งหนี้ภาครัฐที่มีปริมาณสูงกว่า 2 ล้านล้านบาท ส่วนการส่งออกก็ไม่สามารถเป็นตัวกระตุ้นอุปสงค์รวมภายในประเทศต่อไปได้ เพราะความถดถอยของภาวะเศรษฐกิจโลก และความได้เปรียบของคู่แข่งขัน ซึ่งสามารถส่งออกสินค้าในราคาที่ถูกกว่า รัฐบาลจึงเข้ามามีบทบาทแทนที่ภาคเอกชน ด้วยการกระตุ้นอุปสงค์รวมภายในประเทศ ผ่านการใช้จ่ายตามโครงการต่าง ๆ ทั้งที่เป็นการบริโภค และการลงทุน

ทักษิโณมิค ของรัฐบาลทักษิณ ได้รับการกล่าวขานว่าแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง เพราะการแทรกแซงกลไกตลาดทุกระดับ กล่าวคือ มุ่งใช้นโยบายการคลังมากกว่านโยบายการเงิน ทำให้การใช้จ่ายของรัฐบาลมีปริมาณสูง ทั้งในรูปของเงินในงบประมาณรัฐบาล และเงินนอกงบประมาณ (ผ่านรัฐวิสาหกิจ) เพื่อกระตุ้นอุปสงค์รวมของประเทศให้ได้และอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น แต่ก็สร้างข้อกังวลอีกมากมายเช่นกัน


นิยาม

การดำเนินเศรษฐกิจแบบทักษิโณมิคนั้น ทักษิณนิยามว่าคือ นโยบายเศรษฐกิจ 2 แนวทาง (Dual Track Policy) [1] โดยกล่าวว่านโยบายนี้ คือสูตรสำเร็จในการสร้างความเติบโตให้กับเศรษฐกิจไทย โดยที่แนวทางแรกคือ กระตุ้นการส่งออก การลงทุนจากต่างประเทศ และการท่องเที่ยว เพื่อนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศ และแนวทางที่สองคือ การกระตุ้นไปในระดับรากหญ้า มุ่งไปที่เกษตรกร ช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ

ทั้ง 2 แนวทางมีความมุ่งหมายกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยหาทางลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาสให้ประชาชน ดร. ดาเนียล เลียน (en:Daniel Lian) [2] หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของบริษัทมอร์แกน สแตนเลย์ เรียกลักษณะเศรษฐกิจแบบนี้ว่า "สังคมทุนนิยม" (Social Capitalism) หลักการคือ การประยุกต์ระบบทุนนิยมเข้ากับระบบสังคมนิยม ระบบทุนนิยมเป็นระบบที่มีเป้าหมายแต่ไม่มีอุดมการณ์ ส่วนระบบสังคมนิยมเป็นระบบที่มีอุดมการณ์แต่ไม่มีเป้าหมาย

นโยบายเศรษฐกิจ 2 แนวทาง เป็นการปรับสังคมเศรษฐกิจฐานล่างให้เป็นระบบสังคมนิยมที่มีเป้าหมาย ส่วนเศรษฐกิจฐานบนใช้ระบบทุนนิยมที่มีอุดมการณ์ แต่นอกเหนือจากการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตแบบ นโยบายเศรษฐกิจ 2 แนวทาง แล้ว บางส่วนของนโยบายทักษิโณมิคคือ การแทรกตัวเข้าสู่ตลาดหุ้น ทำให้ตลาดหุ้นเติบโต เพื่อใช้เป็นช่องทางระบายหุ้นรัฐวิสาหกิจออกไปให้มากที่สุด เป็นการเชื่อมโยงระหว่างดัชนีตลาดหุ้น กับการสร้างมูลค่าสินทรัพย์ของรัฐ เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

โดยรัฐบาลชุดนี้กำลังใช้กลไกเชื่อมโยงจากตลาดหุ้นไปสู่อุปสงค์รวมระบบเศรษฐกิจ ด้วยวิธีการนำสินทรัพย์ในตลาดหุ้นเปลี่ยนให้เป็นกระแสเงินสด ใช้ต่อสายป่านมาหมุนเศรษฐกิจอีกรอบ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ใช้ตลาดหุ้นสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และผลักดันให้รัฐวิสาหกิจออกจากอ้อมอกของรัฐบาล ให้ยืนบนขาของตัวเอง การแปรรูปรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่จะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับภาวะตลาดหุ้นเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุด เพราะนั่นจะหมายถึงการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะในระยะยาวแบบเบ็ดเสร็จด้วย


การเกิดใหม่ของลัทธิเคนส์เซียน

แบบจำลองสถิตซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและปรากฏในตำราเศรษฐศาตร์มหภาคทั่วไปก็คือ แบบจำลอง en:IS/LM แบบจำลองดังกล่าวเกิดจากการตีความแนวคิดของ จอห์น เมย์นาร์ด เคย์น (en:John Maynard Keynes, 1883-1946) โดยเซอร์ จอห์น ฮิกส์ (en:Sir John Hicks, 1937) และต่อมาได้เพิ่มเติมการเปรียบเทียบแนวคิดของทั้งนักเศรษฐศาสตร์สำนักเดิมและ Keynes โดย Paul Samualson (1948) ในหนังสือ Economics และกลายเป็นแบบจำลองที่ใช้แพร่หลายในการวิเคราะห์ประเด็นต่าง ๆ ทางเศรษฐศาสตร์มหภาค

แบบจำลองดังกล่าว แสดงลักษณะของระบบเศรษฐกิจซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญ คือ อุปสงค์รวม (en:Aggregate demand) และอุปทานรวม (en:Aggregate supply) โดยอุปสงค์รวมถูกกำหนดจากดุลยภาพในตลาดสินค้า (goods market) และตลาดเงิน (money market) ส่วนอุปทานรวมถูกกำหนดจากดุลยภาพในตลาดแรงงาน (labour market) และเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งแสดงโดยสมการการผลิต (en:production function) เมื่ออุปสงค์รวมเท่ากับอุปทานรวมของระบบเศรษฐกิจ แบบจำลองจึงสามารถกำหนดระดับผลผลิตดุลยภาพของระบบเศรษฐกิจได้

แนวคิดหลักทางเศรษฐศาสตร์มหภาคของเคนส์คือ

ระบบเศรษฐกิจไม่มีเสถียรภาพ (unstable) เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงของอุปสงค์รวมของภาคเอกชน คือ การบริโภค และการลงทุน ทำให้ผลผลิตมีความผันผวน
เมื่อเกิดความผันผวนขึ้น ระบบเศรษฐกิจจะไม่สามารถปรับตัวเข้าสู่ดุลยภาพ ณ ระดับการจ้างงานเต็มที่ได้ หรือใช้เวลานานในการปรับตัว เพราะกลไกราคาทำงานได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากระดับราคาและค่าจ้างที่เป็นตัวเงินปรับตัวไม่ได้อย่างสมบูรณ์และถูกจำกัด (rigidity)
ระดับการจ้างงานและผลผลิตดุลยภาพ จะถูกกำหนดจากปัจจัยทั้งทางด้านอุปสงค์และอุปทาน ดังนั้นส่วนประกอบของอุปสงค์รวม ซึ่งก็คือ การบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายของภาครัฐ จึงมีความสำคัญในการกำหนดระดับผลผลิต
รัฐสามารถใช้นโยบายเข้าแทรกแซงในระบบเศรษฐกิจ เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจปรับตัวเข้าสู่ดุลยภาพในระดับที่เหมาะสม ทั้งนี้เครื่องมือทางนโยบายที่มีประสิทธิภาพ คือ นโยบายการคลัง ซึ่งได้แก่ การเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาล
ดังนั้นตามแนวคิดของเคนส์ จึงสามารถประมวลเป็นข้อสรุปทางนโยบายที่สำคัญคือ

เนื่องจากอุปสงค์ของภาคเอกชนมีความไม่แน่นอน ดังนั้นรัฐจึงควรเข้ามาแทรกแซงเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจปรับตัวเข้าสู่ดุลยภาพ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดเศรษฐกิจตกต่ำ
เครื่องมือที่รัฐใช้ ควรเป็นนโยบายการคลัง ทั้งนี้เพราะในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ การใช้นโยบายการเงินโดยการเพิ่มปริมาณเงินจะไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากเกิดกับดักสภาพคล่อง ทำให้ปริมาณเงินที่รัฐเพิ่มเข้าไปในระบบเศรษฐกิจถูกถือไว้เฉย ๆ โดยภาคเอกชน เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพคือนโยบายการคลัง โดยการเพิ่มรายจ่ายของรัฐ
ข้อเสนอของเคนส์เป็นที่ยอมรับทั้งในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939 – 1944) เพราะทำให้คนว่างานลดลงอย่างมาก ทำให้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มหภาคตามแนวคิดเคนส์ เป็นแนวคิดหลักต่อมาอีกหลายปี โดยในช่วงแรกนั้น ข้อเสนอทางด้านนโยบายส่วนใหญ่จะเน้นทางด้านนโยบายการคลัง จนกระทั่งนโยบายการเงินและบทบาทของเงินเริ่มเป็นที่กล่าวถึงในปลายคริสต์ทศวรรษที่ 60 เนื่องจากการเสนอแนวคิดในเรื่องการทดแทนกัน (trade-off) ระหว่างการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งอธิบายด้วยเส้นฟิลลิปส์ (en:Phillips curve)


การวิพากษ์วิจารณ์

แนวทางแบบทักษิโณมิคที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงตกต่ำให้กลับฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง ก็คือ ส่งเสริมการบริโภคของประชาชน เพื่อขยายอุปสงค์รวมของประเทศให้สูงขึ้น อันจะนำไปสู่การลดการพึ่งพาการส่งออก ซึ่งอาจผันผวนได้ตลอดเวลา. หลังจากนั้น เมื่อเศรษฐกิจภายในมีเสถียรภาพในระดับหนึ่งแล้ว จึงจะกระตุ้นการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนต่อไปได้

โดยวิธีหนึ่งที่รัฐบาลทักษิณเลือกใช้กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศก็คือ การกระจายทรัพยากรทางการเงินไปสู่ประชาชนระดับ รากหญ้า ผ่านทางโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล เช่น โครงการพักการชำระหนี้ของเกษตรกร โครงการธนาคารประชาชน โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ โครงการกองทุนหมู่บ้าน โครงการบ้านเอื้ออาทร ฯลฯ

ส่วนการกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนนั้น ในสมัยรัฐบาลทักษิณ 2 ได้มีนโยบายปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ โดยจัดแบ่งกลุ่มอุตสาหกรรม (คลัสเตอร์) ออกเป็นห้ากลุ่มยุทธศาสตร์หลัก เช่น การท่องเที่ยว อุตสาหกรรมรถยนต์ เป็นต้น แล้วทำการส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์เหล่านี้. สำหรับการลงทุนภาครัฐ ได้ลงทุนและมีแผนจะลงทุนในโครงการขนาดยักษ์ (เมกะโปรเจกต์) ต่าง ๆ เช่น โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน โครงการระบบโลจิสติกส์ ซึ่งมีมูลค่ารวมกันสูงถึง 1.7 ล้านล้านบาท เป็นการกระตุ้นการลงทุนต่อจากกระตุ้นการบริโภคในช่วงสมัยแรกของรัฐบาล เพื่อรักษาไม่ให้อุปสงค์รวมมีผล (en:Effective Demand) ตกต่ำลง

อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์มองว่าแนวทางนี้นั้น ไม่ต่างอะไรไปจากระบบเศรษฐกิจแบบเคย์นเซียน (en:Keynesian economics) ของ จอห์น เมย์นาร์ด เคย์น (en:John Maynard Keynes) นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ และเศรษฐกิจไทยในช่วงรัฐบาลทักษิณนั้น ก็ยังคงเติบโตจากการส่งออกเป็นหลักเช่นเดิม ส่วนการบริโภคภายในประเทศก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเพียงแค่ระดับปานกลางเท่านั้น และการที่ธนาคารของรัฐเร่งปล่อยกู้นั้น ก็อาจจะนำไปสู่หนี้เสียในที่สุด แนวทางนี้ กลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยมองว่าเป็นนโยบายประชานิยม ที่ทำไปเพื่อหวังคะแนนเสียงจากประชาชน ทั้งยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าเหมาะสมหรือไม่ เนื่องจากนอกจากอาจจะเป็นการสูญเปล่าไม่ได้ผลอะไรกลับมาแล้ว ยังอาจจะสร้างนิสัยการบริโภคเกินตัวของประชาชนอีกด้วย

อย่างไรก็ดี ในช่วงแรกของการใช้นโนบายนี้ เศรษฐกิจของไทยขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ผิดจากการคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ที่ไม่เห็นด้วยบางท่าน เช่น ดร. อัมมาร์ สยามวาลา ที่เคยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2544 จะโตเพียง 1.5% แต่เศรษฐกิจของไทยในปีนั้นก็ขยายตัวถึง 5.2% อย่างก็ไรก็ตามก็ยังมีเสียงเตือนว่า โครงสร้างเศรษฐกิจพื้นฐานนั้น ยังไม่ได้รับการแก้ปัญหาอย่างแท้จริง ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นอีกเมื่อไรก็ได้

ผู้สนับสนุนกล่าวว่า จุดเด่นของทักษิโณมิคอยู่ที่การไม่ยึดแบบจำลองทางเศรษฐกิจอย่างตายตัว มีลักษณะเป็นพลวัตรและยืดหยุ่นสูง ทำให้สามารถปรับตัวรับกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ค่อนข้างดี เช่นในปี พ.ศ. 2548 เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญผลกระทบจาก ไข้หวัดนก คลื่นสึนามิ รวมทั้งราคาน้ำมันที่สูงถึง 69 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล แต่เศรษฐกิจไทยก็ยังขยายตัวได้ถึง 4.7%

เราสามารถแบ่งผู้วิพากษ์วิจารณ์ทักษิโณมิค แบ่งกว้าง ๆ ออกได้เป็นหลายกลุ่ม เช่น

กลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ที่วิจารณ์ทักษิโณมิคในช่วงแรก ซึ่งมักเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษามาจากสหรัฐอเมริกาในช่วงปี ค.ศ. 1950-1970 กลุ่มนี้มีความเคยชินกับระบบเศรษฐกิจของสหรัฐหลังสงครามโลกครั้งสอง ที่สหรัฐประสบปัญหาความชะงักงันทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อสูง และภาวะการว่างงานสูง ที่เรียกว่า en:Stagflation ซึ่งไม่สามารถใช้วิธีการแบบเคย์นเข้าไปแก้ปัญหาได้ (ซึ่งแก้ไขโดยแนวคิดที่เรียกว่า เรแกนอมิกส์ en:Reaganomics ในยุคประธานาธิบดีเรแกน) อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้สนับสนุนทักษิโณมิคอ้างว่าระบบเศรษฐกิจของไทยนั้นไม่เหมือนกับของสหรัฐ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ามาก จึงไม่สามารถอนุมานได้ว่า วิธีการแบบเคย์นจะใช้กับเมืองไทยไม่ได้ผล (ดังเช่นที่เคยไม่ได้ผลกับระบบเศรษฐกิจสหรัฐช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองมาก่อน) แต่แนวคิดแบบเคย์น นั้นเป็นแนวคิดที่ใช้แก้ไขเศรษฐกิจโลกต่ำตกครั้งใหญ่ในช่วงปี พ.ศ. 2473 (en:Great Depression 1930) มาก่อน +

ทักษิโณมิค มีแนวโน้มการอาศัยความสามารถในเชิงบริหารจัดการของฝ่ายบริหารเป็นกลไกสำคัญในการบริหารโนบาย จะเห็นได้จากการจัดสรรงบประมาณกลางจำนวนสูงโดยไม่ได้กำหนดรายละเอียดการใช้จ่ายล่วงหน้า หรือการเข้าไปตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงโดยหวังว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะไม่ขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง อาจเรียกได้ว่าเป็นระบบ managed market economy

ผู้วิจารณ์อีกกลุ่ม มักเป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เช่น น.พ. ประเวศ วะสี เป็นต้น กลุ่มนี้มองภาพที่กว้างกว่าระบบเศรษฐกิจ แต่มองไปถึงระบบสังคมซึ่งค้ำจุนระบบเศรษฐกิจอยู่ด้วย กลุ่มนี้ไม่เชื่อในระบบทุนนิยมซึ่งเป็นพื้นฐานของทักษิโณมิค และสนับสนุนระบบเศรษฐกิจทางเลือกอื่น เช่น ระบบเศรษฐกิจแบบยั่งยืน (หรือ ระบบเศรษฐกิจพอเพียง) การค้าที่เป็นธรรม หรือแนวทางสังคมนิยม เป็นต้น ซึ่งเป็นกระแสที่นักวิชาการบางกลุ่มทั่วโลกกำลังสนใจ ไม่เพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น (แนวคิดเหล่านี้ ไม่ใช่แนวคิดใหม่แต่อย่างใด แต่กำเนิดขึ้นในยุโรปตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 ก่อนลัทธิคอมมิวนิสต์จะแพร่หลายเสียด้วยซ้ำ) — อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้สนับสนุนแนวคิดเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก ก็มองว่าระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน อย่างในยูโทเปีย หรือ สังคมพระศรีอาริย์ นั้น เป็นเพียงแต่แนวความคิด และไม่มีแนวปฏิบัติอย่างชัดเจนที่จะทำให้เกิดขึ้นจริงได้


ที่มา:http://th.wikipedia.org

กองทุนหมู่บ้าน

ความเป็นมา

ความยากจนของประชาชนในชนบทและชุมชนเมือง คือ การไม่มีทุนและขาดโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อนำมาพัฒนาอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ ลดรายจ่าย ตลอดจนบรรเทาเหตุฉุกเฉินและความจำเป็นเร่งด่วน รัฐบาลซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี มีเจตนารมณ์ที่จะแก้ไขปัญหาความยากจน โดยได้กำหนดนโยบายเร่งด่วนในการจัดตั้งกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ สำหรับเป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนในหมู่บ้านและชุมชนเมือง ใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอีกทั้งเพื่อให้ท้องถิ่นมีขีดความสามรถในการจัดระบบและบริหารจัดการเงินกองทุนของตนเอง เพื่อสร้างศักยภาพในการสร้างเสริมความเข้มแข็งด้านสังคม และด้านเศรษฐกิจของประชาชนในหมู่บ้านและชุมชนเมือง สู่การพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน อันเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศรวมทั้งเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต


นโยบาย

กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง เป็นนโยบายของรัฐบาลซึ่งมี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นการเสริมสร้างกระบวนการพึ่งพาตนเองของหมู่บ้านและชุมชนเมืองในด้านการเรียนรู้ การสร้างและพัฒนาความคิดริเริ่ม และการแก้ไขปัญหา และเสริมสร้างศักยภาพทั้งด้านเศรษฐกิจ และสังคมของประชาชนในหมู่บ้านและชุมชนเมือง โดยรัฐบาลจัดตั้งกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง กองทุนละ 1 ล้านบาท พร้อมเสริมสร้างและพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนเมืองให้มีขีดความสามารถ ในการจัดระบบบริหารจัดการเงินกองทุนหมุนเวียน ในหมู่บ้านและชุมชนเมืองกันเอง


http://arc.nrru.ac.th/be/body/local.html

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ทำไมต้องมีอนุสัญญาฯ ว่าด้วย ‘สิทธิชาวนา’

ทำไมต้องมีอนุสัญญาฯ ว่าด้วย ‘สิทธิชาวนา’

ชื่อบทความเดิม: ชาวนาทั่วโลกจำเป็นต้องมีอนุสัญญานานาชาติว่าด้วยสิทธิชาวนา


เครือข่ายองค์กรชาวนาโลก 'เวีย คัมปาซินา' (La Via Campesina) เตรียมเข้าพบศ.เสน่ห์ จามริก รักษาการประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในวันที่ 29 พ.ค. 52 นี้ เวลา 11.00 น. เพื่อหารือแนวทางการผลักดันปฏิญญาว่าด้วยสิทธิชาวนา



ปฏิญญาว่าด้วยสิทธิชาวนา เกิดขึ้นหลังสถานการณ์ที่มีการละเมิดสิทธิชาวนาสูงขึ้น อันมีสาเหตุจากการดำเนินนโยบายแนวเสรีนิยมใหม่ การเปิดการค้าเสรี เป็นต้น ดังนั้นปฏิญญาว่าด้วยสิทธิชาวนาจึงเป็นการสร้างหลักประกันให้เกิดการเคารพ ปกป้อง บรรลุถึง และยืนยันสิทธิของชาวนา



ทั้งนี้ เครือข่ายองค์กรชาวนาโลก 'เวีย คัมปาซินา' (La Via Campesina) ประกอบด้วย Assembly of the Poor Thailand (AOP) Northern Peasant Federation Thailand (NPF) Indonesian Peasant Union (SPI) Japan Family Farmers movement (NOUMINREN) Korea Women Peasant Association (KWPA) Korea Peasant League (KPL) Hametin Agrikultura Sustentavel Timor Larosa’e (HASATIL)

เครือข่ายองค์กรชาวนาโลก 'เวีย คัมปาซินา'
(La Via Campesina)



1

บทนำ



ประชาชนเกือบครึ่งหนึ่งในโลกนี้เป็นชาวนา แม้โลกที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง ประชาชนก็ยังรับประทานอาหารที่ผลิตโดยชาวนา การเกษตรขนาดเล็กไม่ใช่เป็นเพียงกิจกรรมทางการเกษตรเท่านั้น หากแต่หมายถึงชีวิตสำหรับคนจำนวนมาก ความมั่นคงของประชากรขึ้นอยู่กับสวัสดิการของชาวนาและการเกษตรแบบยั่งยืน เพื่อที่จะปกป้องชีวิตของมนุษย์ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะเคารพ พิทักษ์และบรรลุถึงซึ่งสิทธิของชาวนา ที่จริงแล้วการละเมิดสิทธิชาวนาอย่างต่อเนื่องเป็นอันตรายต่อชีวิตของมนุษย์



2

การละเมิดสิทธิชาวนา



ชาวนานับล้านๆ คนถูกบังคับให้ออกจากไร่นา เนื่องจากนโยบายของรัฐ และ/หรือ การทหาร ที่ทำให้การแย่งชิงที่ดินเป็นไปโดยสะดวก ที่ดินหลุดมือชาวนาไปเพื่อการพัฒนาโครงการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หรือโครงการสาธารณูปโภค อุตสาหกรรมที่มีการขุดเจาะ เช่น เหมืองแร่ รีสอร์ทเพื่อการท่องเที่ยว เขตเศรษฐกิจพิเศษ ซุปเปอร์มาร์เก็ต และการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ ผลก็คือที่ดินกระจุกตัวอยู่ในมือของคนจำนวนน้อยยิ่งขึ้น รัฐละเลยภาคเกษตร และชาวนาได้รับรายได้ไม่เพียงพอจากการผลิตทางการเกษตร



การปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพื่อผลิตพืชพลังงานและเพื่อการอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้รับการสนับสนุนเพื่อประโยชน์ของธุรกิจการเกษตรและทุนข้ามชาติ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหายนะต่อป่า น้ำ สิ่งแวดล้อม และชีวิตทางเศรษฐกิจและสังคมของชาวนา



มีการใช้กำลังทหารและความขัดแย้งที่มีการใช้อาวุธมากขึ้นในเขตชนบท ซึ่งมีผลกระทบด้านการใช้สิทธิพลเมืองของชาวนาอย่างเต็มที่ ชาวนาสูญเสียที่ดิน ชุมชนของพวกเขาก็สูญเสียการปกครองตนเอง อธิปไตย และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ในรูปแบบของพวกเขาไป



อาหารถูกใช้เพื่อการเก็งกำไรมากยิ่งขึ้น การต่อสู้ของชาวนาถูกทำให้เป็นอาชญากรรม ยังคงมีการใช้แรงงานทาส การบังคับใช้แรงงาน และแรงงานเด็กในเขตชนบท



สิทธิของสตรีและสิทธิของเด็กก็ได้รับผลกระทบมากที่สุด สตรีเป็นเหยื่อของความรุนแรงทางจิตใจ ทางกาย และทางเศรษฐกิจ พวกเขาถูกเลือกปฏิบัติในการเข้าถึงที่ดินและปัจจัยการผลิต และไม่มีส่วนในการตัดสินใจ



ชาวนาสูญเสียเมล็ดพันธุ์ท้องถิ่นไปจำนวนมาก ความหลากหลายทางชีวภาพก็ถูกทำลายลงไป เพราะการใช้ปุ๋ยเคมี เมล็ดพันธุ์ลูกผสม และพันธุกรรมดัดแปลงที่พัฒนาโดยบรรษัทข้ามชาติ



วิกฤติการณ์ในภาคการเกษตรทำให้เกิดการอพยพและการจากโยกย้ายที่อยู่จำนวนมาก และชาวนาและคนพื้นเมืองหายสาบสูญ การเข้าถึงบริการทางสุขภาพและการศึกษากำลังลดลงในเขตชนบทและบทบาททางการเมืองของชาวนาในสังคมก็ถูกทำลาย



จากการละเมิดสิทธิชาวนาดังกล่าว ทุกวันนี้ ชาวนานับล้านๆ คน มีชีวิตอยู่อย่างหิวโหยและมีภาวะทุภโภชนาการ ทั้งนี้มิใช่เป็นเพราะไม่มีอาหารเพียงพอในโลก แต่เป็นเพราะแหล่งอาหารถูกครอบงำโดยบรรษัทข้ามชาติ ชาวนาถูกบังคับให้ผลิตเพื่อการส่งออกแทนที่จะเป็นการผลิตอาหารสำหรับชุมชนของตน









3

นโยบายเสรีนิยมสมัยใหม่ทำให้การละเมิดสิทธิชาวนาเลวร้ายลง



การละเมิดสิทธิชาวนากำลังเพิ่มสูงขึ้นเพราะการดำเนินนโยบายแนวเสรีนิยมใหม่ที่สนับสนุนโดยองค์การการค้าโลก(WTO) ข้อตกลงการค้าเสรี(FTA) และสถาบันอื่นๆ กับรัฐบาลหลายประเทศในซีกโลกเหนือและใต้ องค์การการค้าโลก และข้อตกลงการค้าเสรี บังคับให้มีการเปิดตลาดและขัดขวางไม่ให้ประเทศต่างๆ ปกป้องและสนับสนุนการเกษตรในประเทศ และยังผลักดันให้เกิดการลดการควบคุมของรัฐในภาคการเกษตร



รัฐบาลในประเทศพัฒนาแล้วและบรรษัทข้ามชาติ เป็นสาเหตุของวิธีปฏิบัติด้านการทุ่มตลาด อาหารที่มีราคาถูกการอุดหนุนของรัฐหลั่งไหลท่วมท้นตลาดท้องถิ่น ซึ่งเท่ากับบังคับให้ชาวนาหลุดออกไปจากธุรกิจ



องค์การการค้าโลกและสถาบันอื่นๆ บังคับให้มีการนำมาซึ่งอาหารอย่างเช่น อาหารที่มีการปรับแต่งพันธุกรรม และการใช้ฮอร์โมนเร่งการเติบโตอย่างไม่ปลอดภัยในการผลิตเนื้อสัตว์ ในขณะเดียวกันก็ห้ามการทำตลาดของสินค้าเพื่อสุขภาพที่ผลิตโดยชาวนาโดยสร้างอุปสรรคด้านสุขอนามัย



กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ดำเนินโครงการปรับปรุงโครงสร้าง (Structural Adjustment Programs – SAPs) ซึ่งนำไปสู่การตัดเงินอุดหนุนสำหรับการเกษตรและบริการสังคม ประเทศต่างๆ ถูกบังคับให้ทำให้วิสาหกิจของรัฐเป็นของเอกชนและยกเลิกกลไกการสนับสนุนภาคเกษตร



นโยบายสำหรับประเทศและนโยบายด้านต่างประเทศให้ความสำคัญต่อบรรษัทข้ามชาติ หรือการผลิตและการค้าอาหารทั้งทางตรงและทางอ้อม บรรษัทข้ามชาติเองก็มีการขโมยพันธุกรรม และการทำลายแหล่งพันธุกรรมกับความหลากหลายทางชีวภาพที่ชาวนาเพาะปลูกขึ้นมา ตรรกะของทุนนิยมว่าด้วยการสะสมได้ทำลายการเกษตรของชาวนา







4

การต่อสู้ของชาวนาเพื่อยืนยันและปกป้องสิทธิของตน



การที่ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงดังกล่าว ชาวนาทั่วโลกต่างก็กำลังดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ ชาวนานับพันๆ คน ทั่วโลกกำลังถูกจับกุมเพราะพวกเขาต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิและการทำมาหากินของตน พวกเขาถูกนำตัวขึ้นสู่ศาลด้วยระบบยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรม อีกทั้งการสังหารหมู่ การฆ่าโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม การจับกุมและการกักขังตามอำเภอใจ การกลั่นแกล้งและการรังควานทางการเมือง เป็นเรื่องปกติธรรมดา



วิกฤติการณ์ด้านอาหารของโลกในปี 2551 ซึ่งถูกทำให้เร็วขึ้นและเลวร้ายลงโดยนโยบายและบรรษัทข้ามชาติ (ซึ่งกระทำการอย่างเป็นหนึ่งเดียวกันไปตามผลประโยชน์ส่วนตน) แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความล้มเหลวในการสนับสนุน การเคารพ การปกป้อง และการบรรลุถึงสิทธิของชาวนา ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งมวลในโลก ทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา ในขณะที่ชาวนาได้ลงแรงอย่างหนักที่จะทำให้เรามั่นใจได้ในเมล็ดพันธุ์และอาหารนั้น การละเมิดสิทธิชาวนาก็ทำลายความสามารถของโลกในการเลี้ยงตนเอง



การต่อสู้ของชาวนา เข้ากันได้อย่างเต็มที่กับแนวทางของสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งรวมเครื่องมือและกลไกในประเด็นต่างๆ ของสภาสิทธิมนุษยชนที่กล่าวถึงสิทธิที่จะมีอาหาร สิทธิด้านที่อยู่อาศัย การเข้าถึงน้ำ สิทธิด้านสุขภาพ ผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชน ชนพื้นเมือง ชาติพันธุ์นิยม และการดูหมิ่นเหยียดหยามทางเชื้อชาติ สิทธิสตรี



เครื่องมือระหว่างประเทศขององค์การสหประชาชาติเหล่านี้ไม่ได้ครอบคลุมอย่างสมบูรณ์ และยังไม่ได้ป้องกันการละเมิดสิทธิอีกด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิชาวนา พวกเราเล็งเห็นถึงข้อจำกัดบางประการในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม (International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights-ICESCR) ในฐานะที่จะเป็นเครื่องมือปกป้องสิทธิชาวนา เช่นเดียวกัน กฏบัตรว่าด้วยชาวนา ซึ่งองค์การสหประชาชาติได้ออกในปี 2521 ไม่สามารถที่จะปกป้องชาวนาจากนโยบายเปิดเสรีนานาชาติได้ อนุสัญญานานาชาติอื่นๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิทธิชาวนาด้วย ก็ไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้เช่นกัน อนุสัญญาดังกล่าวรวมถึง อนุสัญญา ILO 169 วรรค 8-J อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ, ข้อ 14.60 วาระ 21 (Agenda 21) และพิธีสารคาร์ทาจีนา (Cartagena Protocol)



5

ชาวนาต้องการอนุสัญญานานาชาติว่าด้วยสิทธิชาวนา



เนื่องจากข้อจำกัดของอนุสัญญาและมติต่างๆ ดังนั้นจึงมีความสำคัญที่จะสร้างเครื่องมือระดับนานาชาติอย่างหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้เกิดการเคารพ ปกป้อง บรรลุถึง และยืนยันสิทธิของชาวนา กล่าวคือ อนุสัญญานานาชาติว่าด้วยสิทธิชาวนา (International Convention on the Rights of Peasants – ICRP) ขณะนี้มีอนุสัญญาที่ปกป้องกลุ่มคนที่ยังอ่อนแอ เช่น คนพื้นเมือง สตรี เด็ก และคนงานอพยพ อนุสัญญา ICRP นี้จะกล่าวถึงคุณค่าของสิทธิชาวนา ซึ่งรัฐบาลกับสถาบันนานาชาติจะต้องเคารพ ปกป้อง และทำให้เป็นจริง อนุสัญญา ICRP จะผนวกไว้ด้วยพิธีสารที่เป็นข้อเลือก ซึ่งจะทำให้แน่ใจได้ว่าได้มีการนำไปใช้จริง



ในการประชุมระดับภูมิภาคว่าด้วยสิทธิชาวนาในเดือนเมษายน 2545 เวีย คัมเปซินาได้สร้าง “ปฏิญญาว่าด้วยสิทธิชาวนา” โดยใช้กระบวนการกิจกรรมต่างๆ เช่น การอบรมเชิงปฏิบัติการว่าด้วยสิทธิชาวนา ในเมืองเมดาน สุมาตราเหนือในปี 2543 การประชุมว่าด้วยการปฏิรูปการเกษตรที่จาการ์ตา เดือนเมษายน 2544 การประชุมระดับภูมิภาคว่าด้วยสิทธิชาวนาที่จาการ์ตา เดือนเมษายน 2545 และการประชุมนานาชาติของเวีย คัมเปซินา ซึ่งจัดที่จาการ์ตาเช่นกันเมื่อมิถุนายน 2551 เนื้อความของปฏิญญาได้ผนวกไว้กับเอกสารชิ้นนี้ด้วย เอกสารนี้ควรได้สร้างพื้นฐานให้กับ อนุสัญญา ICRP ซึ่งจะมีการปรับรายละเอียดต่อไปโดยองค์การสหประชาชาติ และเวีย คัมเปซินากับตัวแทนประชาสังคมต่างๆ จะมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่

พวกเรารอคอยการสนับสนุนจากประชาชนที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการต่อสู้ของชาวนา การสนับสนุนและปกป้องสิทธิของชาวนา


ไฟล์ประกอบ
ปฏิญญาว่าด้วยสิทธิชาวนา ทั้งหญิงและชาย
http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/document/farmer.pdf

โดย : ประชาไท วันที่ : 29/5/2552

Resource:http://www.prachatai.com/05web/th/home/17006

แนวโน้มการใช้มาตรการทางการค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมจากปัญหาโลกร้อน

แนวโน้มการใช้มาตรการทางการค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมจากปัญหาโลกร้อน

บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์

ผู้ประสานงานชุดโครงการ MEAs Watch, สกว.

25 พฤษภาคม 2552





ผลกระทบในรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากปัญหาเรื่องโลกร้อนได้สร้างความตื่นตัวแก่ประชาคมโลกและประเทศต่างๆ ที่จะคิดค้นหามาตรการ กลไกเพื่อป้องกัน แก้ไข หรือบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งที่เป็นมาตรการแบบพหุภาคี เช่น มาตรการในพิธีสารเกียวโต และมาตรการแบบฝ่ายเดียวที่กำหนดขึ้นโดยประเทศต่างๆ บางส่วนเป็นมาตรการแบบสมัครใจ บางส่วนเป็นมาตรการแบบบังคับ เช่น การติดฉลากคาร์บอน ประเด็นที่น่าสังเกต คือ ประเทศที่พัฒนาแล้วมีแนวโน้มการกำหนดใช้มาตรการทางการค้าเพื่อสิ่งแวดล้อม (Environmental-related Trade Measures) เพื่อนำมาใช้แก้ไขปัญหาเรื่องโลกร้อนมากขึ้น และอาจสร้างผลกระทบทั้งทางบวกและลบต่อประเทศไทยเร็วกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผลกระทบทางกายภาพที่เกิดขึ้นจากปัญหาโลกร้อนจริงๆ เสียอีก



ภายหลังนับตั้งแต่มีการจัดตั้งองค์การการค้าโลก (WTO) ในปี ค.ศ. 1995 พบว่ามีการใช้มาตรการทางการค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง ประเทศต่างๆ มีความระมัดระวังในการใช้มาตรการดังกล่าวเนื่องจากอาจขัดแย้งกับกรอบกติกา ที่กำหนดไว้ในความตกลงขององค์การการค้าโลก แม้ว่าในความตกลง GATT จะมีข้อยกเว้นทั่วไปในมาตรา XX(b) และ (g) เปิดช่องให้มีการใช้มาตรการทางการค้าฝ่ายเดียวเพื่อการคุ้มครองและอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ แต่จากกรณีข้อพิพาทด้านการค้าและสิ่งแวดล้อมหลายกรณีที่เกิดขึ้นในเวทีองค์การการค้าโลก ผลตัดสินที่ออกมาชี้ให้เห็นถึงการมุ่งเน้นเป้าหมายความสำคัญด้านการค้าเสรี มากกว่าการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม



นอกจากนี้จะเห็นได้ว่า มาตรการทางการค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ในความตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อม (Multilateral Environmental Agreements: MEAs) หลายฉบับนั้น เช่น อนุสัญญาว่าด้วยการค้าพืชและสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ (1973) พิธีสารมอนทรีออลเพื่อแก้ปัญหาการลดลงของชั้นโอโซน (1988) เป็นต้น เป็นความตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อมที่จัดทำขึ้นมาก่อนการจัดตั้งองค์การการค้าโลก แต่ MEAs ที่จัดทำขึ้นภายหลังปี 1995 เช่น พิธีสารเกียวโต สนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยทรัพยากรพันธุกรรมพืช พิธีสารความปลอดภัยทางชีวภาพ ฯลฯ จะไม่มีข้อบัญญัติเกี่ยวกับการใช้มาตรการทางการค้าเพื่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากตระหนักถึงปัญหาข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นกับกรอบความตกลงในองค์การการค้าโลก เนื้อหาในความตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อมจะระบุกว้างๆ ถึงความสัมพันธ์กับความตกลงใน WTO ในลักษณะที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงสิทธิและพันธกรณีที่มีอยู่เดิม โดยไม่มีความชัดเจนว่าความตกลงใดมีศักดิ์และผลเหนือกว่า



อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากประเด็นข้อเสนอในการเจรจาเรื่องโลกสำหรับกติกาโลกฉบับใหม่ (Post-Kyoto Regime) และร่างกฎหมายของประเทศอุตสาหกรรมเพื่อการแก้ไขปัญหาโลกร้อน จะเห็นได้ว่ามีข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้มาตรการทางการค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น ในร่างกฎหมายเรื่องโลกร้อนของสหรัฐอเมริกาให้มีการจัดตั้ง International Reserve Allowance (IRAs) Program และ International Climate Commission (ICC) ขึ้นมา ICC จะทำหน้าที่สร้างบัญชีรายการประเทศและสินค้าที่ผลิตโดยใช้พลังงานสูงและค้าขาย ในตลาดระหว่างประเทศ ผู้นำเข้าสินค้าที่อยู่ในบัญชีดังกล่าวจะต้องยื่นแสดงปริมาณ IRAs เพื่อไปทดแทนปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากการผลิตสินค้าที่นำเข้า แต่หากเป็นสินค้าที่มิได้อยู่ในบัญชีรายการก็ไม่ต้องดำเนินการตามข้อกำหนดข้างต้น



มาตรการทางการค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมเหล่านี้จะเป็นมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาโลกร้อนจริงๆ หรือเป็นมาตรการกีดกันทางการค้าโดยแอบอ้างเรื่องโลกร้อน เป็นประเด็นที่ต้องติดตามศึกษาและพิสูจน์กันต่อไป แต่สิ่งที่เห็นได้ชัด คือ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ระหว่างการค้าและสิ่งแวดล้อมจากกรณีปัญหาโลกร้อนที่เกิดขึ้น ในอีกมุมหนึ่งอาจมองได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นกลยุทธ์ใหม่ของประเทศที่พัฒนาแล้วที่ต้องการรักษาและช่วงชิงความได้เปรียบทางการค้า หลังจากไม่อาจรักษาความได้เปรียบในการเจรจาในเวทีการค้าโลกได้เหมือนในอดีต และยังต้องเผชิญกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจอยู่ในขณะนี้



หมายเหตุ: บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่ http://www.measwatch.org/autopage/show_page.php?t=19&s_id=111&d_id=109

โดย : ประชาไท วันที่ : 29/5/2552

Resource:http://www.prachatai.com/05web/th/home/17013

แค่พ่ายศึก แต่ยังไม่แพ้สงคราม

แค่พ่ายศึก แต่ยังไม่แพ้สงคราม

หมายเหตุ:

(1) บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับปลายเดือนเมษายน ต่อมา ผู้เขียนได้รับการแจ้งว่าจะไม่ตีพิมพ์บทความดังกล่าวเมื่อวันที่ 15 พ.ค. อย่างไรก็ตาม บทความนี้ได้ถูกตีพิมพ์ใน นสพ.มติชน ฉบับวันที่ 21 พ.ค. 52

(2) อภิชาติ สถิตนิรามัย เป็นคอลัมนิสต์ประจำหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ คอลัมน์มองซ้ายมองขวา

อภิชาติ สถิตนิรามัย





ผมเห็นด้วยกับบทความชื่อข้างต้นของพี่ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ซึ่งตีพิมพ์ในมติชนรายวันฉบับวันที่ 18 เมษายน 2552 พี่ประสงค์สรุปว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงในช่วงสงกรานต์เลือดนั้น “นับเป็นการพ่ายแพ้ในทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง แต่การยอมยุติการชุมนุมครั้งนี้เป็นเพียงการพ่ายศึก แต่ยังไม่แพ้สงคราม เพราะ "รากเหง้า" ของปัญหายังคงดำรงอยู่ กลุ่มเสื้อแดงเพียงแต่ถอยเพื่อปรับกลยุทธ์การต่อสู้ สะสมกำลังรอเวลาที่จะเคลื่อนไหวใหญ่อีกครั้งหนึ่ง” และกล่าวต่อไปว่า “แน่นอนว่าในกลุ่มคนเสื้อแดงอาจมีบางพวกที่มีวาระซ่อนเร้นต้องการใช้ความรุนแรงเพื่อบรรลุเป้าหมาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดงมีหลากหลายความคิด เช่น พวกที่เป็นผู้สนับสนุนและได้รับผลประโยชน์จาก พ.ต.ท.ทักษิณโดยตรง พวกที่ไม่ชอบกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พวกที่ต้องการประชาธิปไตยและต่อต้านการรัฐประหารอย่างแท้จริง พวกที่ต่อต้านสถาบัน พวกที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ [พวกที่]เห็นว่าการโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณไม่เป็นธรรม ฯลฯ ดังนั้น แม้จะพ่ายศึก แต่ความรู้สึกของผู้ชุมนุมบางส่วนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมยังคงฝังแน่นก็พร้อมที่จะลุกขึ้นสู้อีกครั้งหนึ่งเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมและโอกาสอำนวยให้”



ความเห็นด้วยกับบทความนี้ของผมสิ้นสุดลงเพียงแค่ย่อหน้านี้เท่านั้น ผมเห็นด้วยว่าเสื้อแดงเพียงแค่พ่ายศึก แต่ยังไม่แพ้สงคราม เพราะตราบใดที่ปัญหา “รากเหง้า” ยังไม่ได้รับการแก้ไข ตราบนั้นปัญหารากเหง้าเหล่านี้จะเป็นเชื้อไฟอย่างดีให้กับการเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งที่ชอบธรรมและไม่ชอบธรรมได้ต่อไป (เสียดายที่พี่ประสงค์ไม่ระบุให้ชัดเจนว่ามันคืออะไรบ้าง!) ผมเห็นด้วยต่อไปว่า กลุ่มเสื้อแดงนั้นประกอบไปด้วยกลุ่มคนที่หลากหลายความคิด มิใช่มีแต่เพียงม็อบรับจ้าง หรือชาวรากหญ้าผู้ขาดการศึกษา-โง่เง่า-ถูกหลอกใช้เป็นแค่เบี้ยหมากทางการเมืองโดยทักษิณและลูกสมุน ตามที่ชนชั้นกลางและสื่อเชื่อหรือพยายามทำให้เชื่อเท่านั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีผู้เข้าร่วมชุมนุมเรือนแสน และมีจำนวนหลายพันคนที่พร้อมจะเสี่ยงชีวิตกับการถูกปราบด้วยกระสุนจริง (และกระสุนกระดาษของทหาร—ฮา) ทั้งที่ดินแดงและรอบทำเนียบรัฐบาล จะมีแต่เพียงแค่พวกโง่เง่าหรือพวกม็อบรับจ้าง



ดังนั้น ประเด็นสาระสำคัญที่ควรอภิปรายกันคือ อะไรเล่าที่เป็นรากเหง้าของปัญหา อะไรเล่าทำให้ผู้ชุมนุมที่มีความรู้สึกฝังแน่นว่ายังไม่ได้รับความเป็นธรรม พร้อมที่จะลุกขึ้นสู้อีกครั้ง มันเป็นไปได้ไหมครับพี่ประสงค์ ที่ความรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมถูกสะสมพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่ผู้ชุมนุมอันหลากหลายตั้งแต่รัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 ที่สำหรับหลายคนไม่ว่าจะ “มีสักกี่คนที่รู้หรือ (แกล้ง) ไม่รู้ว่า” ความเลวร้ายของทักษิณมีทั้งสิ้นเพียงสี่ประการตามที่พี่ไล่เรียงมาให้ดู หรือมากกว่านั้นก็ตาม สังคมประชาธิปไตยก็ไม่มีสิทธิ์จะปลดทักษิณออกจากตำแหน่งด้วยการรัฐประหาร มันเป็นไปได้ไหมครับพี่ประสงค์ที่ความรู้สึกนี้ถูกสะสมเพิ่มพูนจากกระบวนการตุลาการภิวัฒน์ ตั้งแต่การยุบพรรคไทยรักไทย ต่อด้วยการยุบพรรคพลังประชาชน (ซึ่งทำให้นายกฯ สมชายหลุดจากตำแหน่งไปด้วย) การหลุดจากตำแหน่งของนายกฯ สมัครในคดีชิมไปบ่นไป ตั้งแต่การร่างรัฐธรรมนูญ 2550 และการประชาพิจารณ์และการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายภายใต้ภาวะฉุกเฉินในหลายพื้นที่



มันเป็นไปได้ไหมครับพี่ประสงค์ที่ตั้งแต่การบุกยึดสถานนีโทรทัศน์ NBT การยึดทำเนียบรัฐบาลและปิดสนามบินทั้งระดับชาติและต่างจังหวัดของกลุ่มคนเสื้อเหลือง โดยที่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั้งสองครั้งของรัฐบาลสมัครและสมชายถูกทหารนั่งทับไว้เฉยๆ และไม่จัดการอะไรเลยกับม็อบมีเส้นสีเหลือง จะเพิ่มพูนความคับข้องใจให้กับเสื้อแดง รวมไปจนกระทั่ง ณ ขณะนี้ที่ผู้นำเสื้อเหลืองยังไม่ถูกลงโทษตามกฎหมาย



มันเป็นไปได้ไหมครับพี่ประสงค์ที่เหตุการณ์ที่ผมไล่เรียงมานี้จะเป็นความพยายามของชนชั้นนำ— ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม โดยอาศัยช่องทางต่างๆ ในการจัดการ-ควบคุมกลุ่มพลังของชนชั้นล่างที่ตื่นตัวทางการเมืองและเริ่มเรียกร้องการมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบเดียวกับที่ชนชั้นกลางเคยทำมาในอดีต ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะกีดกันชนชั้นล่างออกจากส่วนแบ่งของอำนาจทางการเมือง หรือไม่ก็แย่ยิ่งไปกว่านี้คือ ความพยายามของชนชั้นนำที่จะหลอกคนอื่นและหลอกตัวเองด้วยว่า ความปั่นป่วนทางการเมืองในสามปีที่ผ่านมานั้นเป็นฝีมือของทักษิณเพียงคนเดียว โดยไม่มีพลังทางสังคมและชนชั้นรองรับ คิดราวกับว่าถ้าทักษิณวางมือเสียคนเดียวแล้วเราก็จะกลับเข้าสู่สังคมแห่งวันชื่นคืนสุขในอดีตทันที



พี่ประสงค์เขียนต่อไปว่า “ประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ กลุ่มบุคคลที่หลากหลายเหล่านี้ ยอมรับให้ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งสถาปนาตนเองเป็นผู้นำความคิดด้านประชาธิปไตยเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้” ตามด้วยการไล่เรียงความเลวร้ายสี่ประการของทักษิณเพื่อที่จะสรุปบทความว่า “การนำพฤติกรรมเหล่านี้ของ พ.ต.ท.ทักษิณมาพูดถึงเพื่อต้องการบอกให้รู้ว่า วาทกรรมที่อวดอ้างว่าเป็นนักประชาธิปไตยและมีความกล้าหาญเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่ควรค่าแก่การรับฟัง เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือ การดิ้นรนให้หลุดพ้นจากคดีที่ต้องคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรง ตำแหน่งทางการเมืองและต้องการทวงทรัพย์สินกว่า 70,000 ล้านบาท ที่ถูกอายัดไว้ในคดีร่ำรวยผิดปกติคืนเท่านั้น ถ้าได้รับชัยชนะอาจได้ "อำนาจ" กลับคืนเป็นของแถมอีกด้วย”



ย่อหน้านี้พี่เขียนสรุปราวกับว่า ผู้เข้าร่วมการชุมนุมเสื้อแดงทั้งหมดถูกทักษิณหลอกใช้ หรือไม่ก็เป็นผู้แกล้งโง่—ทำตัวไม่รู้ทันเป้าหมายที่แท้จริงของทักษิณ ทั้งๆ ที่ย่อหน้าแรกๆ ของบทความพี่ยอมรับอย่างเปิดเผยว่า ผู้ชุมนุมประกอบด้วยกลุ่มคนที่มีความคิดหลากหลาย ผมอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมบทสรุปของพี่ไม่คงเส้นคงวากับตอนต้นของบทความ



เป็นไปได้ไหมครับพี่ประสงค์ ที่ไม่ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของทักษิณจะเป็นไปตามที่พี่เขียนหรือไม่ก็ตาม คนเสื้อแดงจำนวนมากแม้รู้อยู่เต็มอกถึงเป้าหมายแท้จริงเช่นเดียวกับพี่ แต่ก็ยังพร้อมที่จะยอมรับให้ทักษิณเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้ เพราะอย่างน้อยเขาก็เป็นคนๆ เดียวที่พวกเสื้อแดงแต่งตั้งขึ้นสู่อำนาจผ่านบัตรเลือกตั้ง และการยอมรับเป็นสัญลักษณ์นี้ก็ย่อมไม่เท่ากับการสู้เพื่อผลประโยชน์ของคนๆ คนเดียว หรือรู้ไม่ทันทักษิณ ใช่ไหมครับ



เป็นไปได้ไหมครับที่ความไม่คงเส้นคงวาของพี่เป็นเพียงบทสะท้อนความคิดของสื่อกระแสหลักโดยทั่วไปที่กลัว “ผีทักษิณ” หลอกหลอน เช่นเดียวกับในยุคสงครามเย็นที่ต่างกลัว “ผีคอมมูนนิสต์” และด้วยความกลัวผีทักษิณนี้เองที่ทำให้การรายงานข่าวของสื่อกระแสหลักไม่รอบด้าน ไม่พยายามเปิดพื้นที่ให้กับเสียงของคู่ขัดแย้งอย่างเท่าเทียม ไม่มีการสัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมชุมนุมอย่างหลากหลายพอเพียงจนทำให้ผู้เสพสื่อทั่วไปเห็นถึงความหลากหลายของผู้เข้าร่วมชุมนุม รวมทั้งวาดภาพของผู้ชุมนุมว่าเป็นเพียงม็อบรับจ้าง ม็อบถูกหลอก ฯลฯ จนกระทั่งการทำข่าวของสื่อแบบนี้เองที่เป็นตัวตอกย้ำ/ เพิ่มพูนความรู้สึกอยุติธรรมของคนเสื้อแดง ที่น่ากลัวกว่าอย่างอื่นทั้งหมดคือ การทำข่าวเช่นนี้เกิดขึ้นจากความยินยอมพร้อมใจของสื่อเอง โดยเฉพาะสื่อหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ทั้งๆ ที่ไม่ถูกกดดันจากรัฐบาลแบบสื่อทีวี


โดย : ประชาไท วันที่ : 28/5/2552

Resource:http://www.prachatai.com/05web/th/home/17003

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

หน้าตาอันบิดเบี้ยวของ ‘ความเป็นธรรม’

หน้าตาอันบิดเบี้ยวของ ‘ความเป็นธรรม’

สุรพศ ทวีศักดิ์



เมื่อ คุณหมอประเวศ วะสี ออกมาแสดงความเห็นว่า “ความเป็นธรรมเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด” ของสังคมทุกสังคม และ “ความไม่เป็นธรรมคือมูลเหตุความขัดแย้งแตกแยกในสังคมไทย” ที่เป็นมาและเป็นอยู่ในขณะนี้ หากแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมไม่ได้บ้านเมืองคงหนีไม่พ้น “กลียุค”



ดูเหมือนว่า สื่อ นักวิชาการ และคนอื่นๆ ที่ใส่ใจปัญหาบ้านเมืองจะเห็นด้วยกับคุณหมอประเวศในประเด็นดังกล่าว แต่ก็ยังไม่ชัดเจนหรือยังไม่เห็นการผลักดันที่เป็นรูปธรรมในการทำให้ปัญหาความไม่เป็นธรรมเป็นโจทย์ใหญ่ของการปฏิรูปการเมือง หรือการสร้างความสมานฉันท์ในสังคมที่กำลังทำกันอยู่ ยิ่งมองย้อนอดีตเรายิ่งเห็นชัดว่าปัญหาความไม่เป็นธรรมเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ในวงจำกัดของนักวิชาการ นักต่อสู้ทางการเมือง และเอ็นจีโอส่วนน้อยเท่านั้น



ปัญหาความไม่เป็นธรรมไม่เคยเป็นประเด็นใหญ่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับใดเลย ไม่เคยปรากฏเป็นประเด็นหลักในนโยบายของพรรคการเมือง หรือรัฐบาลใด ไม่เคยเป็นประเด็นสาธารณะที่ถือเป็นวาระแห่งชาติ



จะว่าไปแล้ว สังคมไทยยังไม่มีการถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องความเป็นธรรมหรือความไม่เป็นธรรมกันอย่างกว้างขวางจริงจัง และดูเหมือนจะไม่ชัดเจนว่า “หน้าตา” ของ “ความเป็นธรรม” ในจินตนาการของสังคมไทยเป็นอย่างไร



อย่างน้อย ก็มีคนระดับ (ที่เคยเป็น) นายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ ถึง 2 คน ได้เสนอภาพของความเป็นธรรมอย่างคลุมเครือ



คนหนึ่งเป็น (อดีต) นายกรัฐมนตรีที่มาจาก “ลูกชาวบ้าน” ได้ยกตัวอย่างภาพของความเป็นธรรมว่า “สิทธิที่จะได้รับแจกเอกสารสิทธิ์ที่ดิน สปก.4-01 เป็นสิทธิเสมอภาคกันของคนทุกชนชั้น เปรียบเหมือนการสอบชิงทุนเรียนต่อ ไม่ว่าลูกเศรษฐี ชาวนา หรือยาจก ก็มีสิทธิ์สอบชิงทุนภายใต้กติกาเดียวกัน ใครมีความสามารถมากกว่าก็ได้ไป”



ตลอดชีวิต “นักการเมืองอาชีพ” อันยาวนานของนายกฯ ท่านนี้ ภาพที่สังคมรับรู้กันคือเป็นคนเจ้าหลักการ ซื่อสัตย์ สมถะ มาจากลูกชาวบ้านแม่ค้าขายพุงปลา แต่ไม่ปรากฏชัดเจนว่าท่านผู้นี้มีอุดมการณ์เพื่อคนรากหญ้าหรือคนชั้นล่าง ไม่ปรากฏว่าท่านมีแนวคิดเกี่ยวกับโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมอย่างไร และท่านจะใช้ความสามารถในฐานะนักการเมืองอาชีพผลักดันให้เกิดโครงสร้างที่เป็นธรรมทางการเมือง เศรษฐกิจ อย่างสอดคล้องกับบริบทที่เป็นจริงของสังคมไทยอย่างไร



ที่ปรากฏชัดเป็นพิเศษก็คือ ในสมัยที่ท่านกุมอำนาจรัฐ ได้มีการใช้กำลังเจ้าหน้าที่กดดัน จับกุม ชาวบ้านไร้ทำกินที่บุกรุกป่าสงวนอย่างเอาการเอางาน ภายใต้หลักการที่ว่า “ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย” (แต่ไม่ปรากฏว่ามีการจับกุมนายทุนบุกรุกป่าแม้แต่รายเดียว) มีการใช้สุนัขตำรวจขับไล่กลุ่มเกษตรกรที่มาชุมนุมเรียกร้องความเป็นธรรมหน้าทำเนียบรัฐบาลแทนการลงมาจับเข่าคุยกันในฐานะ “ประชาชน” กับ “ผู้อาสามารับใช้ประชาชน” ด้วยถ้อยทีที่เคารพให้เกียรติกันและกัน และที่ชัดเจนอีกเรื่องก็คือ “การบิด” เจตนารมณ์ของกฎหมายแจก สปก.ปสก.4-10 ดังกล่าวแล้ว



วาทกรรมว่าด้วยความเป็นธรรมของ (อดีต) นายกรัฐมนตรีไทยอีกคนหนึ่ง คือ “จังหวัดไหนที่เลือกพรรคไทยรักไทยจะให้การดูแลเป็นพิเศษในเรื่องการจัดสรรงบประมาณ” นายกฯ คนนี้มาจากนักธุรกิจมหาเศรษฐีระดับแนวหน้าของประเทศ ไม่ชัดเจนว่าท่านมีความคิดเห็นต่อโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมด้านต่างๆ ของสังคมไทยอย่างไร และมีแนวทางการเปลี่ยนแปลง หรือแก้ไขปัญหาความยากจนในระดับโครงสร้างอย่างไร นอกจากนโยบายที่ถูกวิจารณ์ว่าเป็นประชานิยมแบบทำการตลาดทางการเมืองทับซ้อนกับการบริหารกิจการบ้านเมืองราวกับว่าประเทศเป็นบริษัทของท่านอะไรทำนองนั้น



ในทางทฤษฎีแล้ว เราอาจวิเคราะห์ได้ว่า “ความเป็นธรรม” ตามความคิดของ (อดีต) นายกฯ คนแรก คือความเป็นธรรมในความหมายของแนวคิดแบบเสรีนิยม (liberalism) ที่ถือว่าความเป็นธรรมคือการที่สมาชิกทุกคนของสังคมมีเสรีภาพในการแข่งขันอย่างเท่าเทียมภายใต้กติกาเดียวกัน เช่น กติกาการสอบชิงทุนไม่ว่าคนชั้นไหน จะร่ำรวย หรือยากดีมีจนอย่างไรก็ต้องมีสิทธิ์สอบแข่งขันภายใต้กติกาเดียวกัน



การที่ปัจเจกบุคคลไม่ว่าจะต่างกันทั้งเรื่องฐานะทางสังคม เศรษฐกิจ ความโง่ ฉลาด เพศ สีผิว การศึกษา ความเชื่อ ฯลฯ มีสิทธิเสรีในการแข่งขันภายใต้กติกาเดียวกัน นี่คือความเป็นธรรมตามแนวคิดเสรีนิยม



แต่ปัญหาของความเป็นธรรมตามแนวคิดนี้คือ ความแตกต่างทางฐานะเศรษฐกิจ และชนชั้นทางสังคมย่อมส่งผลต่อ “ความสามารถในการแข่งขัน” อย่างมีนัยสำคัญ เช่น การสอบชิงทุนเรียนต่อ เอาลูกคนจนที่อยู่ในสถานะเสียเปรียบแทบทุกด้าน มาแข่งขันกับลูกคนรวยที่อยู่ในสถานะได้เปรียบทุกด้าน เช่นได้กินอาหารดีๆ เข้าเรียนโรงเรียนดีๆ เรียนพิเศษที่บ้านหรือที่โรงเรียนกวดวิชาดีๆ ภายใต้กติกาหรือเงื่อนไขเดียวกัน ยังไงๆ ลูกคนจนก็ย่อมแพ้ตลอด (และย่อมแพ้ในแทบทุกเกมการแข่งขัน) แม้แต่เกมการชิง สปก.4-01 คนรวยที่มีโอกาสเข้ายึดกุมอำนาจรัฐ สามารถเข้าถึง หรือสนิทชิดเชื้อกับอำนาจรัฐได้มากกว่าก็ย่อมชนะตลอดกาล



ส่วนแนวคิดของ (อดีต) นายกฯ คนหลัง ถ้าดูจากแนวคิดที่ยกมาข้างต้น ความเป็นธรรมตามความหมายของท่านไม่อาจจัดเข้าได้กับทฤษฎีความเป็นธรรม (theory of justice) หลักๆ ที่ศึกษากันอยู่ในทางปรัชญาสังคมการเมือง ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีความเป็นธรรมแบบเสรีนิยมที่ยึด เสรีภาพในการแข่งขันเป็นเกณฑ์สำคัญของความเป็นธรรม ทฤษฎีสังคมนิยมที่ยึดความเสมอภาคเป็นเกณฑ์สำคัญของความเป็นธรรม หรือทฤษฎีที่บูรณาการจุดแข็งของเสรีนิยมกับสังคมนิยมเข้าด้วยกันอย่างทฤษฎีความเป็นธรรมของ จอห์น รอลส์ ที่ยึดหลักเสรีภาพ ความเสมอภาค และหลักการปกป้องคุ้มครองสมาชิกของสังคมที่อยู่ในสถานะที่เสียเปรียบให้ได้รับโอกาสพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันให้ใกล้เคียงกับคนอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในสถานะเช่นนั้น



ความเป็นธรรมตามความคิดที่ว่า “จังหวัดไหนที่เลือกพรรคไทยรักไทยจะให้การดูแลเป็นพิเศษในเรื่องการจัดสรรงบประมาณ” นั้น น่าจะหมายถึงความเป็นธรรมตามลัทธิทุนนิยมที่ยึด “ทุน-กำไร” เป็นเกณฑ์ ดังนั้น การเลือกตั้งถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งที่สมควรได้กำไรคือการดูแลเป็นพิเศษในเรื่องการจัดสรรงบประมาณให้ แต่ปัญหาของความเป็นธรรมตามแนวคิดเช่นนี้คือ รัฐบาลจะกลายเป็นรัฐบาลของเสียงข้างมากที่ลงคะแนนสนับสนุนเท่านั้น ไม่ใช่รัฐบาลของคนทั้งประเทศ



จะเห็นได้ว่าความเป็นธรรมตามจินตนาการของคนระดับนายกรัฐมนตรีถึง 2 คน ของประเทศนี้ มี “หน้าตาที่ผิดเบี้ยว” บิดเบี้ยว 1 เพราะปฏิเสธหลักการความเป็นธรรมที่สังคมควรกำหนดโครงสร้างบางอย่างเพื่อคุ้มครอง ปกป้อง หรือสร้างโอกาสให้คนจนคนชั้นล่างได้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ใกล้เคียงกับคนในชนชั้นอื่นๆ บิดเบี้ยว 2 เพราะไปให้สิทธิพิเศษแก่ประชากรของประเทศที่เลือกรัฐบาลซึ่งเป็นการทำลายหลักการความเสมอภาคทางสิทธิของสมาชิกแห่งรัฐ



ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ อาจไม่ลงลึกในรายละเอียดของความคิดและผลงานของ (อดีต) นายกฯ ทั้งสองที่ยกมาเป็นกรณีศึกษา และอาจไม่เป็นธรรมที่จะนำเพียงคำพูดประโยคสั้นๆ มาตัดสินทั้งสองท่าน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพูดหรือหลักการที่ท่านทั้งสองเสนอต่อสาธารณะได้กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่ามันเป็นคำพูดหรือหลักการที่ให้ภาพ “หน้าตาอันบิดเบี้ยว” ของ “ความเป็นธรรม”



ดังนั้น ถ้าคนระดับ (อดีต) นายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ถึง 2 คน ยังฉายภาพความเป็นธรรมที่บิดเบี้ยวเช่นนี้ และในปัจจุบันสังคมก็เห็นว่าความไม่เป็นธรรมเป็นมูลเหตุสำคัญของความแตกแยก พร้อมกับเกิดปรากฏการณ์เรียกร้องความเป็นธรรมผ่านเวทีต่อสู้ทางการเมืองต่างๆ การผลักดันให้ประเด็นความไม่เป็นธรรมเป็นวาระของสังคมไทย และร่วมกันสร้างจินตนาการใหม่เกี่ยวกับ “หน้าตา” (ที่ไม่บิดเบี้ยว) ของ “ความเป็นธรรม” เพื่อนำไปสู่การกำหนดโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ที่เป็นธรรมมากขึ้น น่าจะเป็นภารกิจที่ทุกสีทุกฝ่ายควรเอาจริงเอาจังอย่างเป็นพิเศษ


โดย : ประชาไท วันที่ : 28/5/2552

Resource:http://www.prachatai.com/05web/th/home/17001

อุดมการณ์ประชาธิปไตยและความเป็นธรรม ตามนัย ‘ประกาศคณะราษฎร’

อุดมการณ์ประชาธิปไตยและความเป็นธรรม ตามนัย ‘ประกาศคณะราษฎร’

นักปรัชญาชายขอบ



ในสถานการณ์แห่งการเรียกร้องประชาธิปไตยและความเป็นธรรมทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ที่กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้นและกว้างขวางเป็นพิเศษนี้ สังคมไทยควรนำ “ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1” (ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2475) มาศึกษากันอย่างครบถ้วนกระบวนความ และอย่างเปิดเผยกว้างขวางเป็นสาธารณะ เพื่อทำความเข้าใจความหมายของ “ประชาธิปไตย” และ “ความเป็นธรรม” ที่กำลังเรียกร้องกันอยู่ให้ชัดเจน เพื่อสร้าง “อุดมการณ์ร่วมกัน” ในการเดินหน้าต่อไป





ทำไมจึงจำเป็นต้องศึกษา “ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1” ?



คำตอบตรงไปตรงมา เพราะประกาศฉบับดังกล่าวคือ “สัญญาประชาคม” (social contract) แห่งการเริ่มต้นสังคมประชาธิปไตยไทย เมื่อแรกเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475



สัญญาประชาคมดังกล่าวจึงเป็นเสมือน “รากฐาน” ของระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทย หากประชาธิปไตยที่เราเรียกร้องไม่ได้ยึดโยงอยู่กับรากฐานดังกล่าว มันก็จะกลายเป็น“ประชาธิปไตยไร้ราก” ที่เป็นเพียงของเล่นซึ่งนำมากล่าวอ้างกันเพื่อแย่งชิงอำนาจทางการเมืองเท่านั้นเอง





สาระสำคัญของประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 อาจสรุปได้ดังนี้ [1]



1. เหตุผลของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง



(1) “...กษัตริย์...ทรงอำนาจอยู่เหนือกฎหมายเดิม ทรงแต่งตั้งญาติวงศ์และคนสอพลอไร้คุณความรู้ให้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญๆ ไม่ทรงฟังเสียงราษฎร ปล่อยให้ข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต มีการรับสินบนในการก่อสร้างและการซื้อของใช้ในราชการ หากำไรในการเปลี่ยนเงิน ผลาญเงินของประเทศ ยกพวกเจ้าขึ้นให้สิทธิพิเศษมากกว่าราษฎร กดขี่ข่มเหงราษฎร ปกครองโดยขาดหลักวิชา ปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไปตามยถากรรม…”



(2) “...รัฐบาลของกษัตริย์มิได้ปกครองประเทศเพื่อราษฎรตามที่รัฐบาลอื่นๆ ได้กระทำกัน...ได้ถือเอาราษฎรเป็นทาส (ซึ่งเรียกว่าไพร่บ้าง ข้าบ้าง) เป็นสัตว์เดียรัจฉาน ไม่นึกว่าเป็นมนุษย์ เหตุฉะนั้น แทนที่จะช่วยราษฎร กลับพากันทำนาบนหลังราษฎร...”



(3) “…รัฐบาลของกษัตริย์ได้ปกครองอย่างหลอกลวงไม่ซื่อตรงต่อราษฎร มีเป็นต้นว่าหลอกว่าจะบำรุงการทำมาหากินอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ครั้นคอยๆ ก็เหลวไป หาได้ทำจริงจังไม่ มิหนำซ้ำกล่าวหมิ่นประมาทราษฎรผู้มีบุญคุณเสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้กิน ว่าราษฎรยังมีเสียงทางการเมืองไม่ได้ เพราะราษฎรโง่ (ขีดเส้นใต้เน้นโดยผู้เขียน) คำพูดของรัฐบาลเช่นนี้ใช้ไม่ได้ ถ้าราษฎรโง่ เจ้าก็โง่เพราะเป็นคนชาติเดียวกัน ที่ราษฎรรู้ไม่ถึงเจ้านั้นเป็นเพราะขาดการศึกษาที่พวกเจ้าปกปิดไว้ไม่ให้เรียนเต็มที่ เพราะเกรงว่าเมื่อราษฎรได้มีการศึกษา ก็จะรู้ความชั่วร้ายที่พวกเจ้าทำไว้ และคงจะไม่ยอมให้เจ้าทำนาบนหลังคนอีกต่อไป...”



(4) “...ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง บรรพบุรุษของราษฎรเป็นผู้ช่วยกันกู้ให้ประเทศเป็นอิสรภาพพ้นมือจากข้าศึก พวกเจ้ามีแต่ชุบมือเปิบและกวาดทรัพย์สมบัติเข้าไว้ตั้งหลายร้อยล้าน เงินเหล่านี้เอามาจากไหน? ก็เอามาจากราษฎรเพราะวิธีทำนาบนหลังคนนั้นเอง...”



(5) “...บ้านเมืองกำลังอัตคัดฝืดเคือง ชาวนาและพ่อแม่ทหารต้องทิ้งนา เพราะทำนาไม่ได้ผล รัฐบาลไม่บำรุง รัฐบาลไล่คนงานออกอย่างเกลื่อนกลาด นักเรียนที่เรียนสำเร็จแล้วและทหารที่ปลดกองหนุนแล้วก็ไม่มีงานทำ จะต้องอดอยากไปตามยถากรรม เหล่านี้เป็นผลของกษัตริย์เหนือกฎหมาย ... ควรเอาเงินที่พวกเจ้ากวาดรวบรวมไว้มาจัดบำรุงบ้านเมืองให้คนมีงานทำ จึงจะสมควรที่สนองคุณราษฎรซึ่งได้เสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้ร่ำรวยมานาน แต่พวกเจ้าก็หาได้ทำอย่างใดไม่ คงสูบเลือดกันเรื่อยไป เงินเหลือเท่าไหร่ก็เอาไปฝากต่างประเทศ คอยเตรียมหนีเมื่อบ้านเมืองทรุดโทรม ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก การเหล่านี้ย่อมชั่วร้าย…”



(6) “...คณะราษฎรเห็นว่าการที่จะแก้ความชั่วร้ายนี้ได้ก็โดยที่จะต้องจัดการปกครองโดยมีสภา จะได้ช่วยกันปรึกษาหารือหลายๆ ความคิดดีกว่าความคิดเดียว ส่วนผู้เป็นประมุขของประเทศนั้น ...จะต้องอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน จะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้ นอกจากด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร… (ขีดเส้นใต้เน้นโดยผู้เขียน) และก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองแบบอย่างประชาธิปไตย...”



เหตุผล (ที่ผู้เขียนสรุปเป็นข้อๆ) 6 ข้อ ดังกล่าว คือ “ความไม่เป็นธรรม” (ในสายตาของคณะราษฎร และประชาชนที่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง) ที่มีรากฐานมาจากโครงสร้างอำนาจตัดสินใจของคนเพียงคนเดียวซึ่งมีสถานะของ “กษัตริย์อยู่เหนือกฎหมาย”



2. สัญญาประชาคม 6 ประการ : พันธสัญญาเพื่อสังคมที่เป็นธรรม



(1) จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่นเอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง

(2) จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก

(3) ต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก

(4) จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่ในเวลานี้)

(5) จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก ๔ ประการดังกล่าวข้างต้น

(6) จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร



3. บทสรุปของประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1



“...ประเทศจะมีความเป็นเอกราชอย่างพร้อมบริบูรณ์ ราษฎรจะได้รับความปลอดภัย ทุกคนจะต้องมีงานทำไม่ต้องอดตาย ทุกคนจะมีสิทธิเสมอกัน และมีเสรีภาพพ้นจากการเป็นไพร่ เป็นข้า เป็นทาสพวกเจ้า หมดสมัยที่เจ้าจะทำนาบนหลังราษฎร สิ่งที่ทุกคนพึงปรารถนาคือ ความสุขความเจริญอย่างประเสริฐซึ่งเรียกเป็นศัพท์ว่า “ศรีอาริยะ” นั้น ก็จะพึงบังเกิดขึ้นแก่ราษฎรถ้วนหน้า”





อุดมการณ์ร่วมกันและก้าวต่อไป



“อุดมการณ์ร่วมกัน” ของสังคมไทยในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจะต้องมี “ราก” มาจากเจตนารมณ์ของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือ “ประชาธิปไตยที่ประมุขของประเทศอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน จะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้ นอกจากด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร”



การปกป้อง “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” จะต้องชัดเจนว่า “ชาติคือประชาชน” ที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย “ศาสน์” และ “กษัตริย์” ดำรงอยู่ได้ด้วยศรัทธาและฉันทามติของประชาชนบนหลักการที่ว่า “สถาบันใดๆก็ตามจะอยู่ควบคู่ไปกับสังคมอย่างเหมาะสมกับสมัย ต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้” (ส.ศิวรักษ์,ฟ้าเดียวกัน,ตุลาคม-ธันวาคม 2551,หน้า 22)



ก้าวต่อไปของสังคมไทยที่มี “อุดมการณ์ร่วมกัน” ดังกล่าว ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อล้ม “อำมาตยาธิปไตย” ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อล้ม “ทุนนิยมสามานย์” เพราะนั่นเป็นเพียง “ปีศาจ” ที่มีอิทธิฤทธิ์หลอกหลอนเราอยู่ได้โดยอาศัยการดูด “พลังหลับใหล” ไปจากเรา เพราะเราต่างสยบยอมต่ออำนาจของมันด้วยมัวแต่หลับใหลไม่นำพา “สัญญาประชาคม 6 ประการ” อันเป็นพันธสัญญาแรกเริ่มก่อร่างสร้าง “สังคมประชาธิปไตย” ที่ประชาชาติเจ้าของอำนาจที่แท้จริงจะต้องร่วมกันทำพันธสัญญานั้นให้เป็นจริงด้วยสมองและสองมือ



ไม่ใช่มัวรอการหยิบยื่นจาก “ฟากฟ้าสุราลัย” หรือจากชนชั้นนำอื่นๆที่ไม่รู้ค่าความหมายของ “สิทธิเสมอภาคกัน” ไม่เคยตระอย่างจริงใจในหน้าที่ที่ “จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ..” และ “จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร”



แต่ก้าวต่อไปคือการ “ก้าวกลับเพื่อเดินทางต่อ” ก้าวกลับไปสู่จุดเริ่มต้น “อุดมการณ์ประชาธิปไตย” และ “สัญญาประชาคม” แล้วเดินทางต่อด้วยการร่วมกันสร้างพลังทางสังคมขับเคลื่อนการออกแบบโครงสร้างสังคมประชาธิปไตยที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสมอภาคอย่างแท้จริง มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสวัสดิการ มีเสรีภาพ มีศักดิ์ศรี และอยู่ร่วมกันภายใต้กติกาที่เป็นธรรม



[1] อ่านฉบับเต็มที่เว็บบอร์ดมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน http://www.midnightuniv.org/forum/index.php?PSPSESSID=d597def7ab4006...

โดย : ประชาไท วันที่ : 14/5/2552

Resource:http://www.prachatai.com/05web/th/home/16822