“แรงงานข้ามชาติ” แพะบูชายัญวิกฤติเศรษฐกิจ
อดิศร เกิดมงคล
ศูนย์ข่าวข้ามพรมแดน ฉบับที่ 25
(12 พฤษภาคม 2552)
ภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นที่หวั่นวิตกของผู้คนทั่วโลกว่าจะส่งผลกระทบรุนแรงเพียงใดต่อตัวเองนั้น “แรงงานข้ามชาติ” หรือ “แรงงานต่างด้าว” ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ในระบบสายพานเศรษฐกิจ ก็ยากจะหลีกเลี่ยงผลกระทบดังกล่าวนี้เช่นเดียวกัน
ในประเทศไทย วิกฤติเศรษฐกิจมาพร้อมกับการเลิกจ้างแรงงานไทยมหาศาล ทำให้รัฐบาลไทยมักจะแก้ปัญหาด้วยการโยนบาปให้แรงงานข้ามชาติเป็น “แพะรับบาป” แทน ดังเช่นที่เคยเกิดมาแล้วในปี 2540 ครั้งนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี) แก้ปัญหาโดยมีนโยบายผลักดันให้แรงงานข้ามชาติกลับประเทศ และนำแรงงานไทยไปทำงานในกิจการที่แรงงานข้ามชาติเคยทำอยู่แทน แนวโน้มดังกล่าวได้เกิดขึ้นในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกในขณะนี้เช่นกัน ที่เริ่มมีมาตรการเข้มงวดกับแรงงานข้ามชาติมากยิ่งขึ้น แม้ยังไม่มีรายงานใดยืนยันได้ว่า การทำงานของแรงงานข้ามชาติมีผลกระทบต่อการจ้างแรงงานในประเทศมากน้อยเพียงใด
สิ่งหนึ่งที่ถูกมองข้ามและหลงลืมไปในเวลาอันรวดเร็ว คือ ข้อคิดเท็จจริงที่ว่าในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ความมหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม การเติบโตขึ้นของภาคธุรกิจ การพัฒนาเทคโนโลยีในด้านต่างๆ เพื่อทำให้ประเทศเหล่านั้นกลายเป็นเสือทางเศรษฐกิจ มังกรทางเศรษฐกิจในเวลาต่อมา ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการระดมสรรพกำลังแรงงานจากต่างประเทศ เข้ามาเสริมความต้องการแรงงานที่เปลี่ยนแปลง/ขาดแคลนจากแรงงานในประเทศตนเองโดยตรง เพราะในประเทศมีการพัฒนาทางด้านการศึกษาที่ทำให้แรงงานระดับล่าง แรงงานที่ใช้กำลังฝีมืออย่างเข้มข้นต้องขาดหายไป
หากดูตัวอย่างในประเทศไทย แรงงานภาคเกษตร ภาคประมงทะเล ก่อสร้าง นับวันจำนวนแรงงานไทยที่ใช้กำลังแรงงานในภาคส่วนต่างๆ เหล่านี้จะมีน้อยลง หรือในบางภาคส่วนแทบไม่มีเลย แต่ในทางกลับกัน พบว่า ภาคส่วนดังกล่าวนี้เป็นฐานการผลิตสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย เช่น อาหารทะเลแช่แข็งเป็นสินค้าส่งออกอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยมาหลายปี ทำให้เกิดการจ้างแรงงานข้ามชาติอย่างเข้มข้น แต่เมื่อภาวะวิกฤติเศรษฐกิจเกิดขึ้นพวกเขา/เธอเหล่านั้น ก็กลายเป็นกลุ่มแรกที่ถูกมาตรการทางการค้าใช้เป็นแพะบูชายัญทางเศรษฐกิจ
ภาวะวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2551-2552 ทำให้ผู้เขียนเริ่มเห็นทิศทางนโยบายของรัฐบาลไทยต่อการจ้างแรงงานข้ามชาติ และอดคิดถึงวิกฤติเศรษฐกิจที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อช่วงปี พ.ศ. 2540 ว่า แนวทางการจัดการของรัฐบาลไทยต่อประเด็นนี้ไม่แตกต่างกันมากนัก จึงอยากนำบทเรียนการจัดการเมื่อวิกฤติเศรษฐกิจช่วงดังกล่าวมาเป็นรูปแบบในการวิเคราะห์แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
หากลองทบทวนวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 จะพบว่า หลังจากช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ (ปลายปี 2540) มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่ โดยรัฐบาลชุดใหม่ที่มีนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีได้ประกาศนโยบายของรัฐบาลว่า จะต้องลดจำนวนแรงงานต่างด้าวระดับล่างไร้ฝีมือ (ส่วนใหญ่ 90 % เป็นแรงงานข้ามชาติจากพม่า) ประกอบกับเป็นช่วงที่แรงงานไทยตกงานเป็นจำนวนมาก เนื่องจากการปิดกิจการของสถาบันการเงิน ที่ส่งผลต่อบริษัทและโรงงานต่างๆ ทำให้เป็นเหตุผลที่รัฐบาลใช้เป็นข้ออ้างในการจับกุมแรงงานต่างชาติครั้งใหญ่ ผลักดันส่งกลับประเทศ และให้แรงงานไทยเข้าไปทำงานทดแทน มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวขึ้น เพื่อดำเนินการในเรื่องการส่งกลับ ซึ่งนโยบายนี้ได้รับการตอบรับ และวิพากษ์วิจารณ์จากหลาย ๆ ฝ่าย ทั้งจากสื่อมวลชนในและต่างประเทศ
แต่ในข้อเท็จจริงกลับพบว่า หลังจากที่มีการจับกุมและส่งกลับแรงงานข้ามชาติไปแล้วส่วนหนึ่ง มีแรงงานไทยเข้าไปทดแทนแรงงานต่างด้าวจำนวนน้อยมาก จากการสำรวจพบว่า
· ภาคกลางมีการเลิกจ้างแรงงานต่างด้าว 2.8 หมื่นคน มีแรงงานไทยทดแทน 9.9 พันคน
· ภาคใต้เลิกจ้างแรงงานต่างชาติ 2.2 หมื่นคน มีแรงงานไทยทดแทน 4.8 พันคน
· ภาคเหนือเลิกจ้างแรงงานต่างชาติ 1.6 หมื่นคน มีแรงงานไทยทดแทน 8 พันคน
· ภาคตะวันออก เลิกจ้าง 1.5 หมื่นคน มีแรงงานไทยทดแทน 4.7 พันคน
· จังหวัดสมุทรสาครเลิกจ้าง 1.3 หมื่นคน มีแรงงานไทยทดแทน 1.6 พันคน
· จังหวัดภูเก็ต เลิกจ้าง 3.4 พันคน มีแรงงานไทยทดแทน 58 คน (กรุงเทพธุรกิจ 28 เมษายน 2541)
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า แรงงานไทยที่ตกงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานมีฝีมือกับกึ่งฝีมือ ส่วนงานที่แรงงานข้ามชาติทำนั้น เป็นงานที่ไร้ฝีมือ ไม่ต้องการทักษะ เป็นงานระดับล่างที่สกปรก เสี่ยงอันตราย เป็นงานหนัก ได้ค่าแรงต่ำ จึงทำให้มีการทดแทนกำลังแรงงานน้อยมาก จนในที่สุดมีการเรียกร้องจากกลุ่มทุนธุรกิจในจังหวัดชายแดน และกลุ่มประมงทะเลให้มีการอนุญาตใช้แรงงานต่างด้าว เนื่องจากประสบปัญหาเรื่องการไม่มีคนงานไทยมาทำงาน มีการเรียกร้องจนถึงขนาดที่ว่าโรงสีข้าวประกาศปิดโรงสีไม่รับซื้อข้าวจากชาวนาและรัฐบาล
จากเหตุการณ์ดังกล่าวจึงทำให้คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวต้องมีการพิจารณาให้มีการอนุญาตให้ใช้แรงงานข้ามชาติ ในช่วงแรกอนุญาตในเขตจังหวัดชายแดน 13 จังหวัด และพื้นที่ประมงทะเลอีก 22 จังหวัด ต่อมาเมื่อมีแรงกดดันจากกลุ่มทุนท้องถิ่นโดยเฉพาะโรงสีข้าว ทำให้มีการขยายกิจการและพื้นที่เพิ่มเติม เช่น โรงสีข้าว กิจการขนส่งทางน้ำ เป็นต้น โดยรูปแบบการจัดการยังเป็นรูปแบบเดิมที่มีการจัดทำใบอนุญาต มีการประกันตัวในรูปแบบที่เคยเป็นมา เพียงแต่มีความเร่งรีบดำเนินการ รวมถึงยังมีแนวปฏิบัติในเรื่องการจับกุมแรงงานต่างด้าวไว้เป็นเครื่องมือในการควบคุมเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เอื้อประโยชน์ต่อนายจ้างมากขึ้น ทำให้แรงงานข้ามชาติต้องอยู่ในความควบคุมของนายจ้าง ไม่สามารถต่อรองในเรื่องสวัสดิการหรือค่าแรงได้ ยิ่งไปกว่านั้นนโยบายที่ออกมาพบว่าไม่มีนโยบายในเรื่องการดูแลในด้านสวัสดิการสิทธิของแรงงานข้ามชาติที่ชัดเจนแต่อย่างใด
ฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ในช่วงนี้เป็นช่วงของการปะทะระหว่างแนวคิดชาตินิยมทางเศรษฐกิจของภาคราชการกับกลุ่มทุนท้องถิ่น (ซึ่งส่วนหนึ่งให้การสนับสนุนพรรคการเมือง) และเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่านโยบายในเรื่องนี้ถูกกำหนดมาจากกลุ่มทุนเป็นอย่างมาก แต่กลุ่มที่ต้องเผชิญกับปัญหานี้มากที่สุด คือ แรงงานข้ามชาติ เนื่องจากมีการเข้าจับกุมบ่อย และการจับกุมในบางครั้งจะมีการยึดทรัพย์สิน ทำร้ายร่างกาย นอกจากนั้นแล้วยังเกิดความหวาดกลัวในเรื่องการถูกส่งกลับ เพราะสถานการณ์ภายในพม่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ยังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่าอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดความไม่แน่ใจถ้าหากต้องถูกส่งกลับ แต่กลุ่มที่ยังดูได้ประโยชน์และมั่นคงอยู่เช่นเดิม คือ กลุ่มนายหน้า หรือขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติ เนื่องจากมีแรงงานข้ามชาติต้องการเดินทางกลับไปชายแดนจำนวนมาก เพราะกลัวการกวาดล้างเข้าจับกุมจากเจ้าหน้าที่ จึงเกิดขบวนการจัดส่งอย่างเป็นระบบขึ้นมา
ดังนั้น หากเรามาพิจารณาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยดูตัวอย่างจากการแก้ปัญหาในประเทศอื่นๆ พบว่า หลังเกิดวิกฤติ ในประเทศสหรัฐอเมริกาหรือประเทศทางยุโรป ที่มีการไปดึงแรงงานข้ามชาติจากประเทศอื่นเข้ามาทำงานจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา เกิดนโยบายระงับ-ผลักไส-ส่งกลับแรงงานข้ามชาติทันที
· ประเทศอังกฤษ มีการจัดทำโครงการให้แรงงานข้ามชาติสมัครใจกลับบ้าน มีการลดอนุญาตระยะเวลาการจ้างงานลง
· ประเทศสเปน มีการงดจ้างแรงงานข้ามชาติจากประเทศใกล้เคียง
· บางประเทศมีนโยบายเลิกจ้างแรงงานข้ามชาติทันที
ฉะนั้นจึงเห็นได้ชัดว่า การแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ รัฐบาลแต่ละประเทศมักจะเลือกใช้แนวคิดเศรษฐกิจแบบชาตินิยมเป็นแนวทางในการแก้ปัญหา เมื่อมีแรงงานในประเทศตกงาน ก็เลิกจ้างแรงงานข้ามชาติ และให้แรงงานในประเทศเข้าไปแทนที่ เหมือนกับว่า ยามดีก็เรียกใช้ ยามไข้ก็ถีบหัวส่ง ใช้ตรรกะแบบนี้แก้ปัญหาเป็นแนวทางหลัก
ย้อนกลับมามองในสังคมไทย พบว่า แนวคิดเศรษฐกิจแบบชาตินิยมถูกหยิบมาใช้ในการจัดการปัญหาแรงงานข้ามชาติได้ง่ายขึ้น เพราะที่ผ่านมาสังคมไทยเผชิญกับการเคลื่อนไหวแบบแนวคิดชาตินิยมมาโดยตลอด ทั้งจากภาครัฐและกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบันทุกกลุ่มเสื้อหลากสี ในช่วงหนึ่งเห็นได้ชัดว่าแนวคิดนี้เริ่มทำงานอย่างเป็นรูปธรรม เช่น ช่วงเกิดกรณีเขาพระวิหาร พบว่ามีการเลิกจ้างงานแรงงานกัมพูชาในบางพื้นที่ หรือกรณีที่หอการค้าจังหวัดบางจังหวัดได้เสนอว่า การแก้ปัญหาเรื่องแรงงานไทยตกงาน คือ ให้เลิกจ้างแรงงานข้ามชาติ เป็นภาพสะท้อนถึงการแก้ปัญหาทั้งของภาครัฐและภาคธุรกิจที่เป็นทิศทางเดียวกัน คือ การพยายามหาศัตรูร่วมของการตกงานของแรงงานไทย ซึ่งก็คือ แรงงานข้ามชาติ โดยสร้างความจริงขึ้นมาอีกชุดหนึ่งว่า แรงงานข้ามชาติมาแย่งงานคนไทย ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดจากภาครัฐหรือนายจ้างโดยตรง
กลุ่มแรงงานข้ามชาติที่จะได้รับผลกระทบมาก คือ กลุ่ม sub-contract เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีการจ้างงานที่เปราะบางที่สุด ไม่มีนายจ้างที่รับผิดชอบโดยตรง ไม่มีหลักประกันด้านการคุ้มครองแรงงาน ทำให้มักจะถูกเลือกให้เลิกจ้างเป็นอันดับต้น ๆ เสมอ นอกจากนั้นในกลุ่มอื่นๆ จะประสบกับการละเมิดสิทธิที่รุนแรงกว่าเดิม เนื่องจากแรงงานข้ามชาติถูกมองเป็นศัตรูตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ทั้งในเชิงความเข้าใจทางประวัติศาสตร์ชาตินิยม การถูกมองเป็นศัตรูเพราะทำให้แรงงานไทยตกงาน ฉะนั้นเมื่อแรงงานข้ามชาติถูกละเมิดสิทธิเพิ่มขึ้น คนไทยจะรู้สึกธรรมดาและไม่เห็นว่าเป็นปัญหาแต่อย่างใด กล่าวได้ว่าวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้เปิดโอกาสให้ละเมิดสิทธิแรงงานข้ามชาติได้ง่ายขึ้น ฉะนั้นโจทย์สำคัญของการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจวันนี้ อาจไม่ใช่เพียงเรื่องการว่างงานแล้ว แต่เป็นเรื่องที่ว่าทำอย่างไรให้แรงงานทุกคนได้รับความคุ้มครองและไม่ถูกเลิกจ้างมากกว่า
นอกจากนั้นแล้ววิกฤติเศรษฐกิจยังทำให้หลงลืมนโยบายการจัดการแรงงานข้ามชาติระยะยาว โดยทั่วไปประเทศไทยมีแต่นโยบายด้านการจัดการแรงงานข้ามชาติแต่ละปี แต่ไม่มีนโยบายการจัดการคนข้ามชาติ พอเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ สถานภาพความเป็นแรงงานข้ามชาติจะหมดไป เพราะถูกเลิกจ้างงาน แต่ความเป็นคนข้ามชาติยังอยู่ ประเทศไทยจะจัดการอย่างไร เพราะอย่างไรก็ตามแรงงานกลุ่มนี้ก็ไม่สามารถกลับบ้านได้อย่างแน่นอน เนื่องจากปัจจัยในประเทศต้นทางไม่ได้มีแค่ปัจจัยทางเศรษฐกิจอย่างเดียว ดังกรณีที่เห็นได้ชัดจากประเทศพม่า ที่มีปัจจัยทางการเมืองและการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงเป็นปัจจัยหลักด้วย รวมทั้งยังไม่สามารถเข้าสู่ภาคเศรษฐกิจการจ้างงานแรงงานนอกระบบได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นขี่มอเตอร์ไซด์รับจ้าง เข็นรถขายของ ขายอาหาร ฯลฯ เพราะถือเป็นอาชีพสงวนสำหรับแรงงานไทยเท่านั้น
ดังนั้น วันนี้ประเด็นหลักต่อการจัดการเรื่องแรงงานข้ามชาติ และการแก้ไขปัญหาการเลิกจ้างแรงงานในกิจการต่าง ๆ จึงไม่ใช่อยู่ที่การเอาแรงงานข้ามชาติออกจากการจ้างงาน เพื่อให้แรงงานไทยมีงานทำ เพราะนั่นไม่ใช่การแก้ไขปัญหาสำหรับผู้ใช้แรงงานอย่างแท้จริง สิ่งที่รัฐควรจะต้องทำ คือ การสร้างความมั่นคงในการมีงานทำ และกลไกการรองรับการถูกเลิกจ้างของแรงงานที่ยั่งยืนและสอดคล้องกับความต้องการของแรงงานอย่างแท้จริง ซึ่งที่ผ่านมาแนวทางนี้เป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามมาโดยตลอด ขณะเดียวกันการใช้แนวคิดชาตินิยมในการจัดการก็ไม่ต่างจากการที่รัฐกำลังส่งเสริมให้มีการละเมิดสิทธิแรงงานและการค้าแรงงานให้เกิดมากขึ้นโดยทางอ้อม เหมือนกับว่าสุดท้ายแล้ว รัฐบาลไทยกำลังสมยอมให้มีการละเมิดสิทธิแรงงานโดยไม่ผิดกฎหมายนั้นเอง
หมายเหตุ
บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเผยแพร่ครั้งแรกในวารสารสาละวิน ฉบับที่ 54 ของคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยในพม่า (กรพ.) ทางศูนย์ข่าวข้ามพรมแดนขอขอบคุณ คุณปณิธิดา ผ่องแผ้ว วารสารสาละวิน มา ณ ที่นี้ ที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่อีกครั้ง
…………………
ศูนย์ข่าวข้ามพรมแดน (Cross Border News Agency - CBNA) เป็นศูนย์ข่าวออนไลน์ภาคภาษาไทย จัดตั้งขึ้นมาโดยความร่วมมือขององค์กรที่ทำงานด้านแรงงานไทย คือ คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย และ Union Network International: Thai Liaison Council (UNI-TLC) กับ องค์กรที่ทำงานด้านแรงงานข้ามชาติ (แรงงานอพยพ) และผู้ลี้ภัยในประเทศไทย คือ ศูนย์ข้อมูลริมขอบแดน เพื่อนไร้พรมแดน และ โครงการสมานฉันท์แรงงานข้ามพรมแดน
--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 14/5/2552
Resource:http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=16823&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ความหมาย
ตอบลบคนต่างด้าว หมายถึง บุคคลธรรมดาซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
ทำงาน หมายถึง การทำงานโดยใช้กำลังกายหรือความรู้ด้วยประสงค์ค่าจ้าง หรือประโยชน์อื่นใดหรือไม่ก็ตาม
คนต่างด้าวที่ยังไม่เข้ามาในราชอาณาจักร แต่ประสงค์จะทำงานต้องปฏิบัติดังนี้
1. ติดต่อสถานทูตหรือสถานกงสุลไทยประจำประเทศที่คนต่างด้าวอาศัยอยู่ เพื่อขอคำแนะนำและขอรับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non-Immigrant Visa) ในหนังสือเดินทางเท่านั้น
2. ให้นายจ้างในราชอาณาจักรยื่นขอรับใบอนุญาตทำงานแทนเมื่อได้รับแจ้งอนุญาตแล้ว คนต่างด้าวจึงเดินทางเข้ามารับใบอนุญาตและทำงานได้
คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรแล้วประสงค์จะทำงานต้องปฏิบัติดังนี้
1. ต่างด้าวที่จะขออนุญาตทำงานตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนหรือตามกฎหมายอื่นต้องยื่นขอรับใบอนุญาต ทำงาน ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่เข้ามาในราชอาณาจักร หรือ 30 วัน นับแต่วันที่ทราบการได้รับอนุญาตให้ทำงานตามกฎหมายนั้นๆ (ผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท)
2. คนต่างด้าวไม่ว่าจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรหรือคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรประเภทคนอยู่ชั่วคราว จะทำงานได้ต่อเมื่อ ได้รับใบอนุญาตแล้วเท่านั้น โดยยื่นขอรับใบอนุญาตทำงานตามแบบที่กฎหมายกำหนด
(ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือ ปรับไม่เกินห้าพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ)
3. คนต่างด้าวฝ่าฝืนการทำงาน ซึ่งห้ามโดยพระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพ และวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ พ.ศ. 2522 มีโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
คุณสมบัติของคนต่างด้าวที่จะขอใบอนุญาตทำงานได้
1.มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรหรือได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง (มิใช่นักท่องเที่ยวหรือผู้เดินทางผ่าน)
2. ต้องไม่ขอทำงานที่ห้ามไว้ในพระราชกฤษฎีกา (39 อาชีพ)
3. มีความรู้ความสามารถในการทำงานตามที่ขอรับใบอนุญาตทำงาน
4. ต้องไม่เป็นคนวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
5. ต้องไม่เป็นผู้เจ็บป่วยด้วยโรคเรือน วัณโรคในระยะอันตราย โรคเท้าช้างในระยะปรากฎอาการเป็นที่น่ารังเกียจแก่สังคม โรคยาเสพติดให้โทษอย่างร้ายแรง โรคพิษสุราเรื้อรัง
6.ต้องไม่เคยต้องโทษจำคุกในความผิดตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองหรือตามกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าว ภายในระยะเวลาหนึ่งปีก่อนวันขอรับใบอนุญาต
คนต่างด้าวที่มีใบอนุญาตทำงานแล้วต้องปฏิบัติ ดังนี้
1. มีใบอนุญาตติดตัวไว้หรือมีอยู่ ณ ที่ทำงานในระหว่างทำงานเพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้ตลอดเวลา (ผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท)
2. ต้องทำงานตามที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น หากประสงค์จะทำงานอื่น หรือเปลี่ยนท้องที่หรือสถานที่ในการทำงาน ต้องได้รับอนุญาตก่อน (ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินสองพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ)
3. คนต่างด้าวที่ได้รับการขยายระยะเวลาการทำงานตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือกฎหมายอื่น ต้องแจ้งภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับการขยายระยะเวลา (ผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท)
4. ก่อนใบอนุญาตทำงานสิ้นอายุ และประสงค์จะทำงานต่อต้องยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตก่อนจึงจะทำงานได้ (ผู้ฝ่าฝืนทำงานเมื่อใบอนุญาตสิ้นอายุแล้ว มีโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือประบไม่เกินห้าพันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ)
5. กรณีใบอนุญาตชำรุดหรือสูญหาย ต้องยื่นขอใบแทนใบอนุญาตภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ทราบ (ผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท)
6. กรณีเปลี่ยนชื่อ ชื่อสกุล สัญชาติ ที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว หรือชื่อสถานที่ทำงาน ต้องยื่นคำร้องขอแก้ไขโดยไม่ชักช้า
7. เมื่อเลิกทำงานต้องคืนใบอนุญาตทำงานภายใน 7 วัน นับแต่วันเลิกทำงาน (ผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท)
Resource:http://115.31.137.7/workpermit/main/interest/Practice.asp
พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2521 (เริ่มใช้บังคับวันที่ 22 กรกฎาคม 2521) ได้กำหนดไว้ว่า คนต่างด้าวจะทำงานได ้เมื่อได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมการจัดหางาน หรือ เจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีมอบหมายเท่านั้น
ตอบลบคนต่างด้าวหมายถึง บุคคลธรรมดาซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
ทำงาน หมายถึง การทำงานโดยใช้กำลังกายหรือความรู้ด้วยประสงค์ค่าจ้าง หรือประโยชน์อื่นใดหรือไม่ก็ตาม
คนต่างด้าวที่มีสิทธิขออนุญาตทำงานได้ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท
1.ประเภทชั่วคราว คือ คนต่างด้าวทั่วๆไป (ตามมาตรา 7) หมายถึง คนต่างด้าวซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร และ คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว (NON–IMMIGRANT VISA)
2.ประเภทส่งเสริมการลงทุน คือ คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริม การลงทุน หรือตามกฎหมายอื่นที่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับคนต่างด้าวในลักษณะเดียวกัน เช่น พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรม (ตามมาตรา 10)
3.ประเภทมาตรา 12 คือ คนต่างด้ าวตามมาตรา 12 ซึ่งมี 4 กรณี คือ
3.1 คนต่างด้าวที่ถูกเนรเทศตามกฎหมายว่าด้วยการเนรเทศ ซึ่งได้รับการผ่อนผันให้ไปประกอบอาชีพ ณ ที่แห่งใดแทนการเนรเทศหรืออยู่ในระหว่างรอการเนรเทศ
3.2 คนต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และอยู่ในระหว่างรอการส่งกลับออกนอกราชอาณาจักร เช่น พวกญวณอพยพ ลาวอพยพ เนปาลอพยพ พม่าพลัดถิ่น หรือคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2543
3.3 คนต่างด้าวที่เกิดในราชอาณาจักร แต่ไม่ได้รับสัญชาติไทย ตามประกาศคณะปฏิวัต ิ ฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2539 หรือตามกฎหมายอื่น เช่น บุคคลที่เกิดภายหลังวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ซึ่งเป็นวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวมีผลบังคับใช้
3.4 คนต่างด้าวโดยผลของการถูกถอนสัญชาติ ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515
4. ประเภทตลอดชีพ หมายถึง คนต่างด้าวผู้ซึ่งได้รับอนุญาตทำงานตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 322 ข้อ 10 (1) มีสาระสำคัญว่าใบอนุญาตที่ออกให้แก่คนต่างด้าวซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองและทำงานอยู่แล้วก่อนวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ให้ใช้ได้ตลอดชีวิตของคนต่างด้าวนั้น เว้นแต่คนต่างด้าวจะเปลี่ยนอาชีพใหม่
Resource:http://115.31.137.7/workpermit/main/interest/Type_Labour.asp
1.คนต่างด้าวทั่วๆ ไป (ตามมาตรา 7) หมายถึง คนต่างด้าวซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร
ตอบลบคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว (NON -IMMIGRANT VISA) เช่น เข้ามาทำธุรกิจหรือเข้ามาศึกษา
2.คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือตามกฎหมายอื่นที่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับคนต่างด้าวในลักษณะเดียวกัน เช่น พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรม (ตามมาตรา 10)
3.คนต่างด้าวตามมาตรา 12 หมายถึง คนต่างด้าว 4 ประเภท คือ
3.1 คนต่างด้าวที่ถูกเนรเทศตามกฎหมายว่าด้วยการเนรเทศ ซึ่งได้รับการผ่อนผันให้ไปประกอบอาชีพ ณ ที่แห่งใด แทนการเนรเทศหรืออยู่ในระหว่างรอการเนรเทศ
3.2 คนต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับการอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และอยู่ในระหว่างรอการส่งกลับออกนอกราชอาณาจักร เช่น พวกญวณอพยพ, ลาวอพยพ, เนปาลอพยพ, พม่าพลัดถิ่น หรือคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2539 เป็นต้นไป
3.3 คนต่างด้าวที่เกิดในราชอาณาจักร แต่ไม่ได้รับสัญชาติไทย ตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 หรือตามกำหนดอื่น เช่น บุคคลที่เกิดภายหลังวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ซึ่งเป็นวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว มีผลบังคับใช้
3.4 คนต่างด้าวโดยผลของการถูกถอนสัญชาติ ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515
Resource:http://115.31.137.7/workpermit/main/interest/Type_Alien.asp