ภาษาของอำนาจ (2) กฎที่ไม่ได้เขียน
โดย Detective R.
ระหว่างที่ข้าพเจ้ากำลัง งอ หงิก จิก ดัด “มัน” อยู่อย่างขะมักเขม้นจนพ่อไอ้เกรียนมาเขม่น มิสเตอร์วาดก็ติดต่อเข้ามามอบหมายไหว้วานกระทั่งคุกคามให้ข้าพเจ้าสืบความเกี่ยวกับคดีในบทความชิ้นก่อน
หะแรกข้าพเจ้าย่อมปฏิเสธโดยเสงี่ยมแต่ไม่สงบ เนื่องจากข้าพเจ้ายังดำเนินกิจกรรม งอ หงิก จิก ดัด “มัน” อยู่อย่างขะมักเขม้นเช่นนาทีก่อน
“เหตุใดท่านจึงมาหาข้าพเจ้าผู้เป็นเพียงนักสืบต็อกต๋อยไร้ผลงาน เหตุใดท่านจึงไม่ไปหาผู้มีชื่อเสียงเลื่องระบือเช่น เชอร์ลอคโฮล์มส์ ปัวโรต์ เมเปิ้ล หรือ ดูแป็ง กระทั่งคนหนุ่มสาวดาวรุ่งอย่าง L หรือ M ก็สมควรมีคุณสมบัติยิ่งกว่าข้าพเจ้าทั้งสิ้น”
“4 นามแรกที่ท่านเอ่ยมานั้นชราภาพและปลดเกษียรไปเสียนานแล้ว อีกทั้งผมหาได้มีความสนิทสนมเป็นการส่วนตัวด้วย จึงไม่สะดวกที่จะอัญเชิญกลับมา ส่วน L นั้นแม้เป็นดาวรุ่งพุ่งแรง แต่ท่านย่อมทราบดีว่าเขาตายไปแล้วด้วยสมุดยมทูต การอัญเชิญกลับมาย่อมมีพิธีรีตองมากมายเสียจนผมเกรงว่าจะไม่ทันแก่กาล ส่วนเนียร์ทายาทของเขาก็ยังโตไม่ทันใช้ และเหตุผลสำคัญที่สุดคือนามที่เอ่ยมาทั้งหมดนี้ล้วนไร้ประสบการณ์ทำคดีในโลกของ ‘กฎที่ไม่ได้เขียน’ ”
“แต่นั่นย่อมไม่นับรวมถึง M” ข้าพเจ้ากล่าวหนักแน่น
“ท่านกล่าวได้ถูกต้อง Detective M. มีผลงานที่น่าประทับใจอันแสดงให้เห็นถึงประสบการณ์เกี่ยวกับกฎที่ไม่ได้เขียน แต่เช่นเดียวกับ L เขาถูกสังหารโดยภิกษุชั่ว การนำเขากลับมาย่อมมีพิธีรีตองและใช้เวลาเช่นกัน และเหตุผลสำคัญ ผมคิดว่าเขาเกลียดการเมือง จึงมั่นใจว่าเขาจะไม่รับทำคดีนี้”
“แต่ข้าพเจ้าก็เช่นกัน เพราะข้าพเจ้าความสามารถไม่ถึง เสียใจด้วย”
“มิได้ ผมรู้ดีว่าท่านไม่มีสามารถเพียงพอจะไขคดีนี้ หากแต่ผมยังคงต้องการให้ท่านสืบคดี!”
“ผายลมพ่อไอ้เกรียน! ในเมื่อท่านคิดว่าข้าพเจ้าไม่มีความสามารถไขคดี เหตุใดข้าพเจ้าจึงควรสืบคดีให้เสียเวลา”
“นั่นเพราะจุดประสงค์ของการสืบครั้งนี้ ย่อมไม่ใช่การไขคดี!!”
กฎที่ไม่ได้เขียน
กฎที่ไม่ได้เขียนหรือกติกาที่ไม่ถูกบัญญัติจารึกลงกระดาษปิดประกาศให้รู้นั้น คือหนึ่งในเงื่อนไขของมิสเตอร์วาดที่ยื่นให้ข้าพเจ้าใช้เป็นฐานในการสืบคดีอย่าง “ปฏิเสธไม่ได้”
กติกาที่ว่าคืออะไร?
ในโลกอันชุลมุนสับสนหม่นหมองใบน้อยนี้ มีความหมายมากมายลอยละล่องไปมาในอากาศ และในกาละที่มีสิ่งปลิวว่อนเคว้งคว้างอ้างว้างและสับสนนี้ ความหมายย่อมถูกลดทอนไว้สำหรับจับคว้าช็อปปิ้งใส่กระเป๋าเอากลับมาใช้สอยได้ตามตำบลใจซึ่งเล็กกว่าอำเภอใจอยู่สักสิบส่วน กระบวนการลดทอนและใช้สอยนี้ย่อมเป็นน้ำปุ๋ยให้กับการก่อเกิดของกฎชั่วคราวซึ่งมิใช่กฎหมายป้ายประกาศผ่านอักขระหากแต่เป็นกฎกติกาที่จารลงสู่สำนึกของผู้คนทั้งโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ทั้งโดยดื้อดันขัดขืน หรือโดยโอนอ่อนผ่อนตาม
เมื่อความหมายบางความหมายถูกลักลอบใช้สอยบ่อยครั้งเข้าจนผู้คนคุ้นชิน กรอบกติกาเกี่ยวกับสิ่งทั้งนั้นย่อมก่อรูปรอยขึ้นในจิตไร้สำนึกของผู้รับสื่อ
พื้นที่ทำเนียบรัฐบาลนั้นถูกยึดกุมเพื่อบรรจุความหมายบางประการโดยการเมืองข้างถนนมาช้านานหลายทศวรรษจนความหมายใหม่ที่ว่า “เป็นพื้นที่ในการเรียกร้องต่อรองกับรัฐ” นั้นผสมอมความเคียงคู่ไปกับความหมายเดิมที่บอกว่า “เป็นที่ทำงานของรัฐบาล” กันอย่างกลมกล่อม ไม่ผิดกลิ่นแปลกลิ้นอีกต่อไป
ครั้นต่อมาเมื่อเกิดขบวนการ “การเมืองข้างถนนเสมือนจริง” ขึ้น ขบวนการเหล่านี้จึงหยิบจับความหมายนี้ยกขึ้นใช้สอยโดยแนบเนียนและ “เสมือนจริง” อย่างยิ่ง แต่ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นขบวนการเสมือนจริงที่มีพัฒนาการแตกต่างไปจากขบวนการดั้งเดิม จึงได้เกิดการบิดความหมายดังกล่าวไปทีละน้อย จากการต่อสู้เรียกร้อง ต่อรอง ขัดขืน คุกคาม จนไปสู่การ “ไล่ล่า” รัฐบาล ในที่สุด ปรากฏการณ์รัฐบาลเร่ร่อนไร้ที่พำนักเป็นหลักแหล่งจึงเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
แต่แม้จิตไร้สำนึกของผู้คนจะมีกฎกติกาบางอย่างดำรงอยู่และอนุญาตให้บิดกฎนั้นแต่พองาม แต่เมื่อมีการบิด หงิก จิก ดัด จนกระทั่งโหนความหมายจนกระเทือนถึงจิตสำนึกของผู้เป็นเจ้าของจิตไร้สำนึกนั้น ๆ “การล้ำเส้น” จึงเกิด เสียงประกาศได้กังวานขึ้นในหัวของผู้คนโดยอัตโนมัติว่า ไม่สามารถปล่อยให้บิดหรือถ่างกฎไปมากกว่านี้
นั่นสำหรับกรณีของจิตสำนึกที่ไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทระหว่างคู่กรณี ทว่าสำหรับจิตสำนึกของอีกฝ่ายซึ่งเป็นคู่กรณีโดยตรง กฎที่ไม่ได้เขียนข้อนั้นย่อมเป็นเครื่องนำไปสู่การก่อเกิดของไวยากรณ์ “เธอทำได้ ฉันก็ทำได้” เป็นระลอกต่อมา
ว่าด้วยคดีและคำให้การของเหยื่อ
จากคดีลอบยิงด้วยอาวุธสงครามอุกอาจกลางประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง ผู้เป็นเหยื่อลอบสังหารรอดตายราวปาฏิหาริย์ จากการรอดตายของเหยื่อนี้เอง สมมติฐานแรก ๆ จึงร่ำร้องขึ้นในท่วงทำนองของทฤษฎีสมคบคิด ว่าเป็นการจัดฉากขึ้นโดยเหยื่อและสมัครพรรคพวกของเหยื่อ จากโพลสำรวจของสำนักต่าง ๆ ทฤษฎีนี้ไม่ได้รับการต้อนรับและไม่เป็นที่เชื่อถือของคนส่วนใหญ่ เหตุผลประการหนึ่งอาจจะเนื่องมาจากว่าการจัดฉากด้วยการกราดยิงอาวุธสงครามใส่ตนเองและพรรคพวกนับร้อยนัดเป็นการลงทุนที่มากเกินไปและได้ไม่คุ้มเสีย หรือมีเพียงคนเสียสติเท่านั้นที่จะทำได้ นอกจากนี้แล้วปัจจัยในเรื่องศักยภาพในการจัดทีมงานพร้อมอาวุธสงครามท่ามกลางประกาศสถานการฉุกเฉินฯ ที่มีทหารยืนอยู่เป็นระยะตามสี่แยกทั่วเมืองนั้น กลุ่มของเหยื่อและแม้แต่ฝ่ายตรงข้ามของเหยื่อก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะทำได้ แต่เหตุผลประการสำคัญที่ข้าพเจ้าเห็นว่ามีน้ำหนักที่สุดที่จะขีดฆ่าสมมติฐานนี้ออกไปจากสารบบการสืบสวนก็คือท่าทีของเหยื่อและสมัครพรรคพวก โดยเฉพาะในการระบุตัวผู้บงการครั้งนี้
ในการจัดแถลงข่าวของเหยื่อหลังฟื้นจากอาการบาดเจ็บ รวมถึงท่าทีก่อนหน้านั้น ผู้ต้องสงสัยลำดับแรกสำหรับเหยื่อกลับมิใช่ศัตรูคู่อาฆาตหมายเลขหนึ่งซึ่งขับเคี่ยวกันมาตลอด หากแต่ฝ่ายที่ถูกสงสัยโดยเหยื่อกลับเป็นฝ่ายที่ดูเหมือนว่าเคยจะเป็นผู้สนับสนุน เป็นพันธมิตร กระทั่งเป็นฝักฝ่ายเดียวกับเหยื่อในบางเวลา ในขณะเดียวกันเหยื่อและสมัครพรรคพวกของเหยื่อก็ผ่อนปรนท่าทีต่อคู่อาฆาตจากศัตรูหมายเลขหนึ่งมาสู่การทอดสะพานให้ว่าอาจจะเป็นพันธมิตรกันได้ในบางระดับ
ซึ่งจากผลลัพธ์นี้ ความเป็นไปได้ของจุดประสงค์ในการจัดฉากตามสมมติฐานแบบสมคบคิดนี้ ก็จะกลายเป็นว่า เหยื่อลงทุนยิงตัวเองเพื่อหาเรื่องตีจากพันธมิตรเก่าและพยายามผูกมิตรกับฝ่ายที่เป็นศัตรูอย่างเป็นทางการ เมื่อพิจารณาควบคู่ไปกับไดอะล็อกที่ผ่านมาแล้ว ก็จะเห็นว่า เป็นการกระทำที่ออกจะ absurd และหาเหตุผลไม่ได้ หรือหากจะดึงดันหาให้ได้ก็อาจจะได้เหตุผลที่ไม่ค่อยสมประกอบนัก
บนฐานจากบทความชิ้นก่อน หากจำลองคดีทางการเมืองนี้เป็นนิยายฆาตกรรมในห้องปิด ซึ่งผู้ไขคดีจะต้องตอบปัญหาว่า whodoneit สังคมไทยก็เปรียบได้กับ “ห้อง” และเนื่องจากบทความได้ระบุถึง “ไดอะล็อกทั้งหมด” ผู้ต้องสงสัยจึงจำเป็นที่จะต้องหมายถึง “ตัวละครทุกตัว” ที่อยู่ในไดอะล็อกของความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา แต่เนื่องจากสิ่งที่ขยายความขึ้นจากบทความชิ้นก่อนในบทความชิ้นนี้คือ “กฎหรือกติกาที่ไม่ได้เขียน” ประตู (ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของคดีฆาตกรรมในห้องปิดและมักจะมีอยู่เพียงบานเดียว) จึงไม่ได้มีอยู่เพียงบานเดียว
สมมติฐานหนึ่ง (จากไดอะล็อกที่ผ่านมา) ชี้ว่ากฎอีกข้อที่ว่านี้ก็คือกฎเหล็กที่บอกว่ามีตัวละครจำนวนหนึ่งอยู่ในฐานะของตัวละครยกเว้นหรือกล่าวคือ เป็นตัวละครที่ “ห้ามสงสัย” เป็นอันขาด ซึ่งถ้าเป็นกรณีทั่ว ๆ ไป “ตัวละครที่ห้ามสงสัย” นี้ย่อมจะไม่เกี่ยวและไม่นับเป็นประตู แต่จากไดอะล็อกที่ผ่านมา “ปฏิเสธไม่ได้” (อีกครั้ง) ว่า มีการพยายามดึงตัวละครที่ห้ามสงสัยเข้ามาเป็น “ผู้ร่วมสนทนา” ในไดอะล็อก หรือมีการแสดง โดยตัวละคร “พูดผ่านปฏิบัติการ” หรือพูดผ่านการกระทำอย่างน้อยที่สุดหนึ่งครั้ง โดยการพูดครั้งนั้นได้ถูกตีความว่า ตัวละครดังกล่าวเข้ามาร่วมในไดอะล็อก (อย่างเกือบจะเปิดเผย) ดังนั้นความซับซ้อนของคดีนี้จึงอยู่ที่ประตูที่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งบาน และประตูนี้เป็นประตูที่ถูกปิดตาย (เข้าไม่ได้)
หากการฆาตกรรมเกิดขึ้นภายนอกห้อง และตัวละครทุกตัว (ยกเว้นเหยื่อ) อยู่ในห้อง โดยห้องนี้มีประตูอยู่ 2 บาน บานหนึ่งทุกคนมีกุญแจ (ความเป็นไปได้) และสามารถเปิดออกไปได้หมด แต่อีกบานปิดตายและ “ไม่มีใครมีกุญแจ” (ความจริงภายใต้กฎ) ผู้สืบคดีจะต้องเผชิญทางเลือกสองทางก็คือ หนึ่ง สืบคดีโดยยอมอยู่ใต้กฎ และมุ่งประเด็นไปที่ประตูบานที่ทุกคนมีกุญแจ เพื่อหาว่าใครเป็นคนผ่านประตูออกไปทำการฆาตกรรม กับทางเลือกที่สอง คือ รวมประตูที่ถูกปิดตายนั้นเข้ามาเป็น “ทางเลือก” ด้วย โดยตั้งข้อสมมติฐานว่า ห้องที่ถูกปิดตายนั้น “อาจจะมีกุญแจ” และหากมีก็มีความเป็นไปได้ที่จะ “เปิด” ประตู (ความจริงนอกเหนือกฎ)
ตามธรรมดาของการเริ่มลงมือสืบคดี คำถามหนึ่งที่เป็นคำถามแรก ๆ ก็ควรจะเป็น ผู้วางแผนปฏิบัติการมีวัตถุประสงค์อะไร แต่เนื่องจากผลลัพธ์จากปฏิบัติการคือ เหยื่อรอดชีวิต ซึ่งทำให้มีคำถามที่ต้องตอบก่อนคำถามแรกก็คือ ปฏิบัติการนี้สำเร็จหรือไม่ หากสำเร็จก็หมายความจุดประสงค์ไม่ได้ต้องการสังหาร แต่หากล้มเหลวก็หมายความว่าจุดประสงค์นั้นต้องการสังหาร แต่เนื่องจากมิสเตอร์วาดผู้ไหว้วานข้าพเจ้านั้นต้องการให้ข้าพเจ้าดำเนินการสืบสวนไปบนฐานของบทความของเขา ซึ่งกล่าวว่า “ไม่ว่าปฏิบัติการจะสำเร็จหรือไม่ ปฏิบัติการนี้ยังคงสื่อส่งความหมายอยู่ดี” ข้าพเจ้าจึงจะไม่เริ่มต้นจากคำถามแรก และจะไม่ทำให้ทุกความเป็นไปได้ปรากฏ เนื่องจากมีความเป็นไปได้จำนวนมาก และที่สำคัญ จุดประสงค์ในการสืบสวนนี้มิใช่การตอบคำถามว่า whodoneit แต่เป็นการสืบสวนจากฐานของบทความชิ้นก่อนที่บอกว่า whatitsaid ดังนั้น ข้าพเจ้าจะเลือกหยิบความเป็นไปได้เพียงทางเดียวซึ่งจะนำไปสู่เป้าหมายของข้าพเจ้า โดยข้าพเจ้าจะเริ่มสอบสวนจากฐานที่ว่า
1. เหยื่อเป็นผู้ที่อยู่ในไดอะล็อก ซึ่งอนุมานต่อไปว่า
2. เหยื่อรู้ว่าปฏิบัติการนี้พูดอะไรกับเหยื่อ ซึ่งอนุมานต่อไปว่า
3. เหยื่อรู้ว่าใครกำลังพูดกับเหยื่อ
หมายความว่าแนวทางการสืบสวนของข้าพเจ้าจะเริ่มจากการแถลงข่าวของเหยื่อบนฐานที่ว่า “เหยื่อคิดว่าใครทำ” หรือ “เหยื่อสงสัยใคร” ซึ่งจะเห็นได้ว่าในการแถลงข่าวที่ผ่านมานั้น เหยื่อไม่ได้พูดตรง ๆ แต่พูดผ่านชื่อหล่นจำนวนหนึ่ง พร้อมกับย้ำว่า “เหยื่อไม่ได้เชื่อว่าชื่อเหล่านี้เป็นคนทำ”
ข้อสันนิษฐานก่อนซึ่งข้าพเจ้าจะเรียกตรงนี้ว่า สมมติฐานที่ 1 คือ ผู้ต้องสงสัยคือ ตัวละครในไดอะล็อกทุกคน สมมติฐานที่ 2 ก็คือ เหยื่อรู้ว่าใครเป็นคนลงมือ เมื่อข้าพเจ้านำ 1+2 ก็จะเท่ากับ ชื่อตัวละครทางการเมืองที่เหยื่อระบุออกมา ซึ่งจะเป็นการตีวงผู้ต้องสงสัยให้แคบลงมา โดยในการนี้ข้าพเจ้าใคร่จะชวนท่านผู้อ่านเล่นเกม name dropping ซึ่งเป็นเกมที่ข้าพเจ้าได้แรงบันดาลใจมาจากคำผรุสวาทของพ่อไอ้เกรียน
ในเกมนี้ ผู้เล่นจะต้องนำชื่อของตัวละครในไดอะล็อก คือ A, B, C ซึ่งเป็นตัวละครเก่า และถูกระบุอย่างกำกวมโดยเหยื่อ และ D ซึ่งเป็นตัวละครใหม่ และถูกระบุโดยเหยื่อเช่นกัน และ T1, T2 และ N ซึ่ง T1 เป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่ง (เพราะเป็นศัตรูโดยเปิดเผย) ที่เหยื่อไม่สงสัย ส่วน T2 กับ N นั้น ถูกสงสัยโดยเหยื่อในเวลาก่อนหน้าแต่ไม่ถูกระบุชื่อในการแถลงข่าว
เมื่อได้รายชื่อข้างต้นแล้ว ข้าพเจ้าจะยกตัวคำพูดบางประโยค โดยลบชื่อทุกชื่อ บุคคลหรือกลุ่มบุคคลออกทั้งหมดรวมถึงเหยื่อและใส่ “xxx” แทน (ผู้เล่นสามารถนำประโยคอื่น ๆ ที่น่าสนใจซึ่งข้าพเจ้าไม่ได้ยกมานำมาเล่นในลักษณะเดียวกันได้) ดังเช่นต่อไปนีh
“กลุ่มคนซึ่งยิง M-79 เข้าสู่ทำเนียบรัฐบาล ดอนเมือง และที่ศาลรัฐธรรมนูญนั้นเป็นกลุ่มคนกลุ่มเดียวกัน กลุ่มคนเดียวกันเลยที่ยิง และเตรียมการที่จะยิงต่อ”
“การลอบสังหาร xxx นั้น นอกจากนัยของการปิดปากสื่อมวลชนที่มีความกล้าที่จะแสดงออกแล้ว ยังเป็นนัยที่สำคัญอีกนัยหนึ่งก็คือว่า เป็นนัยที่จะข่มขู่ xxx คนอื่นๆ เพื่อไม่ให้แสดงจุดยืน หรือมีการกระทำใดๆ ก็ตาม อันจะเป็นการสั่นสะเทือนฐานอำนาจของการเมืองแบบเก่าๆ สัญญาณตรงนี้ก็เป็นสัญญาณที่มีข้อดีว่า แสดงว่าการเมืองรุ่นเก่านั้นใกล้จะมาถึงที่สิ้นสุดแล้ว นี่คือ การดิ้นครั้งสุดท้าย”
“เพราะฉะนั้นแล้วใครก็ตามที่จะสูญเสียผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็น xxx บางคนในรุ่นเก่าๆ ที่ยังมีความสุขกับการเบียดบัง แอบอิงกับการใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว หรือ xxx รุ่นเก่าๆ ที่มามองว่าการเมือง การเลือกตั้ง และประชาธิปไตย คือการยกมือในสภาเท่านั้น ตลอดไปจน xxx หลายๆ หน่วย หลายๆ เหล่า ซึ่งจะมีความเกรงกลัวการเมืองใหม่ เพราะฉะนั้นแล้ว การประชุมร่วมมือกัน หรือการที่มีความเห็นพ้องต้องกันว่า นาย xxx ต้องตายนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าประหลาดใจ ไม่น่าประหลาดใจเลยแม้แต่นิดเดียว ส่วนใครจะเป็นผู้ตัดสินใจ ใครจะเป็นคนลงขัน หรือใครจะเป็นคนกำหนดนั้น ก็เป็นเรื่องภายในที่ไม่สามารถที่จะเปิดเผยได้ และก็คงจะไม่เปิดเผย”
“ขณะนี้หลายกระแสพุ่งตรงไปที่ คุณ “xxx” “xxx” และ “xxx” ขอกราบเรียนให้ทราบนิดหนึ่งนะครับว่า “xxx” ไม่ได้คิดและไม่เชื่อว่าคนพวกนี้จะเป็นคนซึ่งวางแผน เพราะทุกคนก็ออกมาปฏิเสธกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณ xxx ก็ออกมาปฏิเสธอย่างเสียงเจื้อยแจ้ว แต่ xxx จะฝากกราบเรียนสักนิดหนึ่ง ความเห็นส่วนตัวของ xxx ความรู้สึกส่วนตัวนะครับ สมมตินะครับ ไม่ใช่เรื่องจริงนะครับ สมมติจะเป็นจริง xxx ก็ไม่โกรธ xxx ให้อภัยไปเรียบร้อยแล้ว เพราะ xxx ถือว่าคนเรานั้นทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง อย่าไปโกรธใครเป็นส่วนตัว ถ้าจะต้องบาดเจ็บสาหัส หรือแม้กระทั่งต้องตายเพื่อชาติบ้านเมือง และถ้าบาดเจ็บสาหัสและตาย แล้วชาติบ้านเมืองดีขึ้น มันก็คุ้มค่าที่จะตาย”
“ส่วนเรื่องราวของ คุณ xxx นั้น ก็เป็นเรื่องราวที่คุณ xxx ได้ชี้แจงออกมา ว่า ไม่ได้เกี่ยวข้อง ซึ่ง xxx ก็ดีใจที่ท่านไม่ได้เกี่ยวข้อง xxx เป็นเพียงแต่ว่าอยากจะฝากเตือนไปนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นสัจธรรม ซึ่งทุกๆ คนทราบว่าคนเรานั้นโกหกใครก็ได้ แต่โกหกกับตัวเองไม่ได้เด็ดขาด มโนธรรม สำนึก จะติดตัวอยู่จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของชีวิตจะหมดไป ก็อาจจะตายอย่างทุรนทุรายไว้ก็ได้ว่าในชีวิตเคยทำผิดอะไรไว้ เพราะฉะนั้นแล้ว xxx ดีใจที่ คุณ xxx ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ ก็อนุโมทนาสาธุให้ด้วย”
จากนั้นผู้เล่นจะต้องเลือกหยอดชื่อ A, B, C, D, T1, T2, N ลงไปแทน xxx ใหม่ตามใจท่าน แล้วจึงพิจารณาความสมเหตุสมผลกับ “ไดอะล็อก” ที่ท่านรู้ โดยผู้เล่นจะต้องเลือกว่าจะเล่นภายใต้กฎที่ไม่ได้เขียน หรือจะเล่นโดยละเมิดกฎข้อนี้ หากจะเล่นใต้กฎ ประตูก็จะมีเพียง 1 บาน และทุกคนมีกุญแจเหมือนกันหมด แต่ถ้าหากต้องการละเมิดกฎก็ต้องเพิ่มสมมติฐานขึ้นว่า มีความเป็นไปได้ที่จะมี “กุญแจ” และหนึ่งในผู้ต้องสงสัยนั้นอาจถือ “กุญแจ” ห้องที่ถูกปิดตาย เมื่อถึงตรงนี้ ท่านต้องเพิ่มชื่อขึ้นอีกอย่างน้อยหนึ่งชื่อ ซึ่งในที่นี้ข้าพเจ้าแนะนำให้ใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ “!” แทน เพราะเป็นตัวละครสำคัญ โดยท่านต้องไม่นำชื่อนี้มาหยอดแทน xxx เป็นอันขาด เพราะแม้ว่าท่านเลือกที่จะละเมิดกฎ แต่กฎก็ยังอยู่ ดังนี้ หากเป้าหมายของผู้เล่นคือความจริงเกี่ยวกับ “ไดอะล็อก” แล้ว สิ่งที่ท่านต้องทำก็คือ ตอบให้ได้ว่า “กุญแจ” มีอยู่จริงหรือไม่ หากมีแล้ว มี “ผู้ใช้กุญแจ” หรือไม่ เมื่อท่านค้นมาถึงจุดนี้ ท่านย่อมเข้าใกล้คำตอบจนไม่จำเป็นต้องเล่นเกมนี้อีกต่อไป
ส่วนที่ขีดเส้นใต้นั้น เป็นส่วนที่ข้าพเจ้าเห็นว่าต้องพิจารณาอย่างระมัดระวัง เพราะอาจมีความหมายหลายระดับ คือ หนึ่ง มีความหมายตรงตัว สอง มีความหมายซ้อน สาม มีความหมายซ้อนความหมายซ้อน (กลับไปหา หนึ่ง)
ทั้งหมดที่ยกมาเป็นเพียงตัวอย่าง และข้าพเจ้าเชื่อว่าลำพังการเล่น name dropping จากปากคำของเหยื่อยังไม่เพียงพอ แต่ผลสำเร็จของการสืบสวนนี้ขึ้นอยู่กับว่า ท่านรวบรวม “ไดอะล็อก” มาได้มากน้อยแค่ไหน ยิ่งมีไดอะล็อกมาก ท่านก็ยิ่งมี name dropping อันอื่นมาเทียบประกอบเพื่อตรวจสอบ name dropping ที่มีอยู่มาก และแต่ละอันก็คือจิ๊กซอของคำพูดแต่ละวรรคซึ่งหากท่านสามารถร้อยเรียงไดอะล็อกที่ท่านไม่รู้เข้ากับไดอะล็อกที่ท่านรู้แน่อย่างสอดคล้องต่อเนื่องกัน ท่านก็จะสามารถอธิบายไดอะล็อกได้ทั้งหมด เมื่อเข้าใจไดอะล็อกทั้งหมด ย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่จะระบุตัวผู้ลงมือ
บัดนี้ข้าพเจ้าได้ทำงานตามใบสั่งของผู้จ้างวานจนสิ้นเสร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถบอกได้ว่างานนี้สำเร็จหรือล้มเหลว และข้าพเจ้าก็ไม่สนใจในข้อนี้นัก ข้าพเจ้ากลับมา งอ หงิก จิก ดัด เจ้า “จริต” ของข้าพเจ้าต่อ การดัดจริตนี้เป็นเกมที่ข้าพเจ้าโปรดปรานนัก เนื่องจากทั้งจริต และการดัดจริตนั้นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ตั้งแต่คนรู้จักใช้ช้อนแทนมือแล้วข้าพเจ้าก็เชื่อว่าไม่มีใครไม่ดัดจริต โดยเฉพาะพวกที่ปฏิเสธการดัดจริตในทุกโอกาสนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่า ดัดจริตเสียยิ่งกว่าผู้ที่ดัดจริตโดยปรกติตามกาลเทศะ ข้าพเจ้าจึงสนใจต่อการดัดจริตของตนให้เป็นรูปร่างเหมาะสมตามที่ตนต้องการ ทั้งนี้การการดัดนี้ต้องไม่ก้าวร้าวรุนแรงเกินไปจนเป็นการ “ฝืนจริต” ซึ่งจะนำไปสู่การ “หักจริต” และก่อให้เกิดผลลัพธ์คือ การ “เสียจริต” นั่นเอง
--------------------------------------------------------------------------------
โดย : ประชาไท วันที่ : 11/5/2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น