วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ทักษิณบรรยาย ประชาธิปไตยบนทางแยก


ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องจาก www


พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกยึดอำนาจจากคณะทหารที่ทำการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายนปีที่แล้วได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่นของอังกฤษ) ที่สถาบันยุทธศาสตร์เพื่อการศึกษาระหว่างประเทศ (International Institute for Strategic Studies) ในกรุงลอนดอนในหัวข้อ Democracy at a crossroad หรือประชาธิปไตยบนทางแยกท่ามกลางความสนใจทั้งจากชาวต่างประเทศ และชาวไทย


ประชาธิปไตย ณ ทางแยก
๒ มีนาคม ๒๕๕๐

ขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำด้วยไมตรีจิต ผมรู้ถึงคุณค่าที่ได้รับโอกาสมาพูด ณ สถาบันอันเพียบพร้อมแห่งนี้ เพื่อแสดงบทบาทร่วมเล็กๆ น้อยๆ ในภารกิจใหญ่ของสถาบันนานาชาติเพื่ือการศึกษาทางยุทธศาสตร์

ขอบคุณที่ได้เชิญผมมาบรรยายเรื่องประชาธิปไตยในดินแดนที่รูปแบบประชาธิปไตยแบบเวสต์มินสเตอร์ได้กลายเป็นพิมพ์เขียวให้กับการพัฒนาประชาธิปไตยใหม่ๆ ทั่วโลก

ในที่ๆ ค่านิยมประชาธิปไตยได้กลายเป็นวิถีชีวิตของคนทุกคน จนดูประหนึ่งว่าอยู่ในสายเลือดไปแล้ว

ในที่ๆ คนทุกคนหายใจ ดื่มกิน และพักผ่อนหลับนอนด้วยหัวใจประชาธิปไตย

ในที่ๆ วัฒนธรรมทางการเมืองมีค่าเท่ากับวัฒนธรรมประชาธิปไตย และ

ในที่ๆ นึกไม่ออกเลยว่าถ้าขาดประชาธิปไตยแล้วชีวิตจะดำรงอยู่ต่อไปอย่างไร

ผมเองในขณะนี้ไม่ใช่นักการเมือง

และไม่มีเจตนาใดๆ ที่จะหวนคืนสู่การเมืองอีก

แต่หลังจากใช้เวลาหลายปีในการติดตามเฝ้ามอง และโดยประสบการณ์ส่วนตัวจากตำแหน่งหน้าที่หลากหลายในรัฐบาล ผมเชื่อมั่นว่าประวัติศาสตร์ให้พิสูจน์อย่างชัดเจนที่สุดว่า ในบรรดารูปแบบการปกครองต่างๆ นั้น ประชาธิปไตยประสบความสำเร็จมากที่สุดในการพัฒนาเศรษฐกิจอันแท้จริง ในการพัฒนาสังคม และในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทั้งหมดในสังคมนั้นๆ

ผมเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย เพราะได้ให้เกียรติภูมิ เสรีภาพ และสิทธิอันสมควรแก่เผ่าพันธุ์ของมนุษย์

ผมเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นระบบการเมืองอันนำมาซึ่งสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองที่มีประชาชนและผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นศูนย์กลาง และผมเชื่อมั่นในระบบประชาธิปไตยเพราะได้ให้วิธีการอันทรงประสิทธิภาพที่สุดเพื่อบรรลุถึงความยุติธรรมในสังคม

รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะคงอยู่ได้โดยการสนองตอบต่อผลประโยชน์ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลประชาธิปไตยจึงมีพันธะผูกพันที่จะนำมาซึ่งความสุข ความเจริญรุ่งเรือง และความผาสุกของประชาชนทุกๆ คน

อย่างไรก็ดี จะประสบความสำเร็จได้ขนาดไหนนั้น ขึ้นกับปัจจัยหลายประการ

รัฐบาลจะต้องได้รับอำนาจรัฐมาในกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตย และมีความประสงค์จะได้รับอำนาจอย่างต่อเนื่องจากประชาชน จึงจะมีความชอบธรรมและได้รับสิทธิในการใช้อำนาจนั้นด้วยความนอบน้อมถ่อมตน

แต่ในทางตรงข้าม ถ้ารัฐบาลได้อำนาจมาในทางอื่นๆ ก็จะถูกยั่วยวนให้รักษาอำนาจนั้นไว้ด้วยวิธีการต่างๆ จนเกิดภาพมายาว่าอะไรที่ดีสำหรับตนก็คงดีสำหรับประเทศชาติด้วย อำนาจนั้นถึงเวลาแล้วก็หอมหวลเกินกว่าจะปล่อยให้หลุดจากมือไปได้

ในสองศตวรรษที่ผ่านมา และโดยเฉพาะในศตวรรษที่แล้วมานี้ เราได้เห็นการเติบโตของระบอบประชาธิปไตยในเชิงปริมาณ

แต่เราพบว่า ไม่มีรูปแบบประชาธิปไตยเดียวกันทั้งหมด ประชาธิปไตยที่แท้จึงถูกพัฒนาไปตามสิ่งแวดล้อมทางการเมือง ในบริบทของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่แต่ละถิ่นที่

อย่างไรก็ตาม มีองค์ประกอบและเงื่อนไขที่จำเป็นบางอย่างต่อกระบวนการประชาธิปไตยทั้งมวล

ตัวอย่างเช่น บทบาทร่วมอย่างมีประสิทธิภาพของประชาชน สิทธิออกเสียงเลือกตั้งที่เสมอภาคกัน การเลือกตั้งที่เป็นอิสระ เป็นธรรม และมีความสม่ำเสมอ การแสดงออกได้โดยเสรี การเข้าถึงข้อมูลที่หลากหลายและมีทางเลือก เสรีภาพในการรวมกลุ่ม ฯลฯ

โลกหลังสงครามใหญ่ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๘๘ เป็นต้นมา เราได้เห็นการโถมเข้ามาของประชาธิปไตย อันเกิดจากการปลดปล่อยอาณานิคมให้เป็นอิสระ และอิทธิพลของระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตกของประเทศที่เคยเป็นเจ้าอาณานิคมนั้นเอง

ตลอดเวลา ๖๐ ปีหลังสงครามโลก เราเป็นสักขีพยานในความสำเร็จมากมายของประเทศที่นำหลักการประชาธิปไตยไปประยุกต์ใช้ และเราได้เห็นความล้มเหลวและการล่มสลายของประชาธิปไตยในหลายมุมของโลกเช่นกัน

ในขณะที่ศตวรรษนี้เป็นเวลาที่ประชาธิปไตยเฟื่องฟูสุดขีด แต่ศาสตราจารย์โรเบิร์ต ดาห์ล ได้เขียนไว้ในหนังสือ “ว่าด้วยประชาธิปไตย (On Democracy)” ว่ามีตัวอย่างกว่าเจ็ดสิบรายที่ระบอบประชาธิปไตยล่มสลายและกลายเป็นเผด็จการอำนาจนิยมไปแทน

ประชาธิปไตยซึ่งมีข้อดีเป็นเอนกอนันต์นั้น ในที่สุดก็มีขาขึ้นและขาลงในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมาทั่วโลก จึงกล่าวได้ว่าประชาธิปไตยมักจะตั้งอยู่บนทางแยก ในประเทศที่ไร้ประชาธิปไตย จะสรุปไม่ได้สักทีว่าข้อดีและข้อบกพร่องของระบอบประชาธิปไตยนั้นคืออะไร

ในประเทศประชาธิปไตยใหม่ๆ สถาบันประชาธิปไตยจะแข็งแกร่งขึ้นหรืออ่อนแอลงเพ่ือส่งผลให้ระบอบประชาธิปไตยทั้งหมดอยู่ได้หรือต้องล่มสลายไป

ในประเทศประชาธิปไตยอันยาวนาน มักจะเกิดคำถามอยู่เสมอว่าประชาธิปไตยจะต้องลงลึกมากขึ้นในสังคมหรือไม่ หรือเกิดสงสัยว่าคนทั่วไปกำลังมองประชาธิปไตยอย่างดาดๆ โดยลืมคุณค่าอันแท้จริงไปหรือไม่

มีคำถามอยู่เสมอว่า เราจะเป็นประชาธิปไตยให้มากยิ่งขึ้นในทางใดบ้าง อันเป็นคำถามนำไปสู่ทางแยกสู่ระบอบอื่นๆ ได้เสมอ

เราเรียนรู้ได้จากประเทศประชาธิปไตยใหม่ๆ จากอดีตยุโรปตะวันออกในช่วงทศวรรษที่ ๑๙๘๐ และ ๑๙๙๐ ว่า อนาคตของประชาธิปไตยขึ้นอยู่กับการเสริมสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ เหล่านั้น

เราส่งเสริมประชาธิปไตยได้โดยชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างประชาธิปไตยกับความจำเริญของสังคม และแสดงให้เห็นว่าประชาธิปไตยแบบตัวแทนสามารถจูงใจและสร้างบรรยากาศอันเป็นมิตรให้กับระบบเศรษฐกิจการตลาดอย่างไรบ้าง

พูดอีกอย่างหนึ่ง เราต้องช่วยให้ประเทศชาติเลี้ยวมาในทิศทางที่ถูกต้อง เมื่อมาถึงทางแยก

ในส่วนของผมเอง ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าความจำเริญอย่างแท้จริงจะไม่อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องได้เลยโดยปราศจากประชาธิปไตย

ถ้าจะให้ระบอบประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจการตลาดประสบผลสำเร็จ เสรีภาพจะต้องได้รับการคุ้มครองรักษาไว้ เมื่อมีเสรีภาพ ก็จะมีความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และความสามารถในการคาดเดาวางแผนได้

นี่คือองค์ประกอบทั้งมวลของเสถียรภาพในทางเศรษฐกิจและประชาธิปไตย

ผมมีความเชื่อมั่นว่าการพัฒนาเศรษฐกิจผูกติดกับธรรมาภิบาลที่เป็นประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน จะย้อนกลับมาทำให้ระบอบประชาธิปไตยแข็งแรงขึ้น

ความเติบโตจะช่วยลดความยากจน ยกระดับความเป็นอยู่ และลดความขัดแย้งทางสังคมและการเมือง

ความเติบโตจะทำให้การแบ่งปันทรัพยากรของชาติมีความเป็นธรรม และกระจายไปในระบบการศึกษาและสวัสดิการสังคม และย้อนกลับมาทำให้ระบอบประชาธิปไตยแข็งแรงขึ้น

เมื่อมองไปทั่วโลก เราได้เห็นหลายประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล และมีภูมิปัญญาที่ยังมิได้นำมาใช้ประโยชน์มากมาย แต่ทว่าประชาชนในประเทศกลับลำบากยากจน

เมื่อบรรดาชนชั้นนำไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ต่อประชาชน เมื่อการตัดสินใจใดๆ ของเขาไม่ต้องได้รับการยอมรับจากประชาชนแล้ว ประเทศนั้นๆ ก็ย่อมฝืดเคืองและขับเคลื่อนไม่ได้

ประชาธิปไตยทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ แนวคิดใหม่ๆ มาจากการแสดงออกโดยเสรี และการแสดงออกโดยเสรีเป็นกลไกทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนออกมาจากภายในตัวของมนุษย์เอง

ความเชื่อมโยงระหว่างประชาธิปไตยและการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างนี้เอง ที่ส่งผลกระทบให้เกิดการพัฒนาอารยธรรม

ถ้าเรามองย้อนหลังกลับไปดูประชาธิปไตยเก่าๆ ที่เคยครอบงำยุโรป เราจะพบความจริงในช่วงศตวรรษที่ ๑๘ และ ๑๙ ว่า ระบอบทหารได้ครอบงำระบบใหญ่และกลไกของรัฐบาลทั้งหมด

ความโอ๋อ่าใหญ่โตกลายเป็นเป้าหมายที่สำคัญ

ในศตวรรษที่ ๑๙ เราได้เห็นการพัฒนาอุตสาหกรรมที่นำความมั่งคั่งมาสู่ยุโรป และค่านิยมที่เน้นความโอ่อ่าอย่างเดียวก็เริ่มถูกข้ามไป

เมื่อมาถึงปัจจุบัน โลกตะวันตกกลับเป็นผู้นำยุคสมัยแห่งการพัฒนายุคแห่งข้อมูลข่าวสาร การสร้างองค์ความรู้กลายเป็นแหล่งของการสร้างความมั่งคั่งและเกียรติภูมิไปพร้อมกัน

ประเทศส่วนใหญ่ในเอเชีย แอฟริกา และอเมริกาใต้ที่ไม่อาจพัฒนาประชาธิปไตยอย่างได้ผล จนไม่ได้รับประโยชน์จากยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร จะประสบปัญหาอย่างมากในการพัฒนาเศรษฐกิจและทำให้เสถียรภาพของระบอบประชาธิปไตยเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง ในขณะที่โลกตะวันตกวางยุทธศาสตร์ของตนเองไว้แล้วว่าจะแสวงประโยชน์สูงสุดจากยุคแห่งข้อมูลข่าวสารนี้อย่างไร

ยุทธศาสตร์เหล่านั้นจะสร้างโอกาสที่ดีขึ้นให้กับพลเมืองของประเทศใดก็ตามที่ได้รับเสรีภาพในการแสดงออก และสามารถนำไปพัฒนาเป็นยุทธศาสตร์การสื่อสารที่จะนำมาซึ่งผลตอบแทนในทางเศรษฐกิจ

จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ หากประเทศในสหภาพยุโรปที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการเสริมสร้างเสถียรภาพในระบอบประชาธิปไตยของตน จะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับประเทศประชาธิปไตยใหม่ๆ โดยใช้ประสบการณ์อันมากล้นมาเป็นฐาน

ความสำเร็จของประเทศในยุโรปที่ได้สร้างประชาธิปไตยและความรุ่งโรจน์ทางเศรษฐกิจบนเถ้าถ่านแห่งสงครามโลกครั้งที่ ๒ ถือเป็นผลสัมฤทธิ์อันเป็นเอกแห่งศตวรรษก่อนทีเดียว

และยังได้สร้างสหภาพร่วมกันทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจเพื่อเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จที่ยังคงดำรงไว้ได้ซึ่งความหวังและความฝัน ตลอดห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์และโศกนาฎกรรม

นี่คือตัวอย่างที่ชี้ว่า ประชาธิปไตยอันแกร่งกล้าสามารถนำมาซึ่งเศรษฐกิจอันเรืองรองอย่างไร

ยุโรปสามารถแบ่งปันบทเรียนเหล่านี้ได้ในอีกหลายที่ของโลก โดยเฉพาะกับประเทศที่มาถึงทางแยกแห่งการพัฒนาประชาธิปไตยของตน

ประเทศเหล่านี้ต้องการความช่วยเหลือเพ่ือให้แน่ใจไม่ได้เดินไปในทางที่ผิด หรือทางแห่งความล่มสลาย

สำหรับเอเชีย ผมคิดว่ายุโรปควรจะมีพันธะผูกพันกับชาติเอเชียต่อไปบนพื้นฐานแห่งความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและละเอียดอ่อน ความนับถือกัน และวิสัยทัศน์ และความยืนหยัดสนับสนุนแนวทางประชาธิปไตย

พันธกรณีของท่านจะช่วยให้เรามีวิสัยทัศน์และเป้าหมายร่วมกันเพื่อความสำเร็จที่ยิ่งขึ้น เอเชียและยุโรปสามารถรวมพลังกันผลักดันและเร่งเร้าให้เกิดกำลังร่วมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและเพื่อการดำรงอยู่ของรัฐบาลประชาธิปไตยในเอเชีย

เราร่วมกันทำได้มากกว่าเดิมแน่ ในการส่งเสริมธรรมาภิบาลเพื่อความก้าวหน้าในด้านเศรษฐกิจและประชาธิปไตย

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน ได้กำหนดก้าวย่างที่สำคัญในการสร้างความพันธกรณีต่อเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยและเสรีภาพทางเศรษฐกิจ

หลังจากที่เกิดมาได้ ๔๐ ปี อาเซียนกำลังเร่งสร้างกฎบัตรฉบับแรกของตนเองขึ้นมา กลุ่มผู้นำทางความคิดที่มีตัวแทนครบทั้ง ๑๐ ประเทศสมาชิก ได้ยกร่างในรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้เกิดเป็นกฎบัตรฉบับใหม่ที่จะส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาคบนฐานของ

“ค่านิยมประชาธิปไตยที่เข้มแข็งและเป็นเชิงรุก ธรรมาภิบาล ปฏิเสธการ เปลี่ยนแปลงรัฐบาลด้วยวิธีที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยและขัดต่อรัฐธรรมนูญ หลักนิติธรรมที่รวมถึงกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยหลักมนุษยธรรม และความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนตลอดจนเสรีภาพขั้นพื้นฐาน”

ถึงหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมิได้เป็นประชาธิปไตยที่เปิดกว้าง แต่ทุกประเทศก็ตระหนักว่านี่คือทางที่ต้องก้าวเดินไป

อาจจะต้องใช้เวลาพอสมควรที่ค่านิยมประชาธิปไตยจะกลืนเข้ามาในภูมิภาคของเราเช่นเดียวกับยุโรปในวันนี้ แต่ทิศทางในอนาคตนั้นแจ่มชัดนัก

เท่ากับที่ความชัดเจนแน่นอนที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างการเมืองและเศรษฐกิจ ความยึดมั่นผูกพันในค่านิยมประชาธิปไตยก็จะต้องเพิ่มพูนขึ้นด้วย

ประชาธิปไตยไม่ใช่ความฝันอันหรูหราของภูมิภาคนี้อีกแล้ว หากเป็นความจำเป็น เราต้องการระบอบประชาธิปไตยที่จะทำให้เกิดความมั่นใจว่า ยามที่เกิดวิกฤติขึ้น สถาบันทางการเมืองและเศรษฐกิจของเราจะมีความแข็งแกร่งพอที่เดินหน้าร่วมกันต่อไปจนกว่าจะบรรลุทางออกอย่างมั่นคงได้

ในที่สุดแล้ว จะเกิดประโยชน์พียงน้อยนิดในความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะโดยสนธิสัญญาหรือการทำงานร่วมกันของบุคคลในระบบเศรษฐกิจการตลาด ถ้าผลแห่งความร่วมมือจะต้องอยู่ในสภาพที่เสี่ยงอันตรายจากการที่ประเทศใดประเทศหนึ่งในกลุ่มเกิดความถดถอยในการพัฒนาประชาธิปไตยและขาดรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ

เมื่อถึงจุดนี้ ผมขอพูดอะไรเล็กน้อยเกี่ยวกับประเทศไทย

ก่อนอื่น ผมอยากจะให้ท่านทั้งหลายได้ทราบว่า ผมยังมองอนาคตของประเทศของผมในแง่ดีและมีความหวังอันสูงยิ่ง และอยากจะอธิบายโดยสังเขปว่าเหตุใดผมยังคงรู้สึกเช่นนั้น

ประเทศไทยเริ่มมีสถาบันตามระบอบประชาธิปไตยในปีพุทธศักราช ๒๔๗๕
จากนั้นเป็นต้นมา โดยผ่านรัฐธรรมนูญจำนวน ๑๗ ฉบับและเหตุวุ่นวายทางการเมืองหลายครั้ง รากฐานของระบอบประชาธิปไตยยังคงเป็นสิ่งที่คนไทยยึดมั่น

ทั่วประเทศไทย ประชาชนก็ยังอยากเห็นความพร้อมรับผิดและการตรวจสอบโดยตรง โดยผ่านการเลือกตั้ง

คนไทยเริ่มเข้าใจถึงความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการมีประชาธิปไตย

เมื่อผมเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปีพุทธศักราช ๒๕๔๔ คนไทยจำนวน ๑๒ ล้าน ๕ แสนคนยังคงอยู่ภายใต้เส้นแห่งความยากจน

พอถึงเดือนกันยายนของปีเดียวกัน ตัวเลขนั้นลดลงมาเป็น ๗ ล้าน ๕ แสนคน ซึ่งก็ยังคงเป็นตัวเลขที่มาก แต่เป็นสิ่งยืนยันว่าเรากำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง

ถึงจะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ นั่นคือธรณีพิบัติภัยสึนามิแห่งปีพุทธศักราช ๒๕๔๗ ผลผลิตมวลรวมในประเทศหรือ GDP ก็ยังคงเพิ่มถึง ๕๐ % ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา และประเทศไทยได้เปลี่ยนสถานะมาเป็นประเทศผู้ให้**้

หลังจากที่ผ่านผลกระทบอันหนักหน่วงของวิกฤติการณ์เศรษฐกิจแห่งเอเชียในปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ เราก็ได้ฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการในการชำระหนี้คืนให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และกระทำสำเร็จถึงสองปีก่อนเวลาที่กำหนดไว้

เราได้กระทำการหลายอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าว่าคนจนในชนบทจะได้รับทุนทำกินอย่างพอเพียงโดยผ่านโครงการต่างๆ และเกียรติยศอันเกิดจากโอกาสที่จะได้สร้างรายได้เพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัวเป็นสิ่งที่ไม่เกินเอื้อมสำหรับคนไทยทุกคน

เมื่อเกิดความแข็งแรงของเศรษฐกิจจากระดับรากหญ้าขึ้นมา ก็เท่ากับเราได้สร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจในประเทศในภาพรวม และเป็นผลให้การลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มพูนขึ้น

ท่านคงพอเข้าใจแล้วว่า เหตุใดผมยังคงมองอนาคตของชาติในทางบวกได้

ผมแน่ใจว่า คนไทยยังคงปรารถนาที่จะฟื้นฟูและสร้างความจำเริญทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเมื่อระบอบประชาธิปไตยกลับคืนสู่ประเทศแล้ว

ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า จิตใจที่ดีของคนไทยซึ่งได้กลายเป็นบุคลิกลักษณะแห่งชาติ จะทำให้ประเทศไทยสามารถสร้างความปรองดองแห่งชาติภายใต้ร่มพระบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นที่รักยิ่ง ผมรู้ดีว่าชาวไทยทั้งปวงมีความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดระยะเวลา ๖๐ ปีแห่งการครองราชย์และในความผาสุกแห่งแผนดินไทยโดยตลอดมา

ไม่มีการกระทำใดๆ ที่จะแสดงความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณยิ่งไปกว่าความสมานฉันท์ระหว่างคนไทยด้วยกัน และร่วมใจกันพัฒนาประเทศให้สมบูรณ์พูนสุข

การฟื้นฟูประชาธิปไตยโดยเร็ว จะช่วยให้กระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

และสำหรับท่านทั้งหลายในฐานะเพื่อนของเรา ผมขอกล่าวไว้ในที่นี้ว่า เมื่อเราถูกกระทบกระแทกจากวิกฤติเศรษฐกิจแห่งปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ นั้น ท่านเป็นมิตรที่ยืนเคียงข้างเรา และคบกันอย่างอดทนจนกระทั่งเราฟ้ืนตัวได้อีกครั้งในทางเศรษฐกิจ

ท่านคงได้เห็นมาบ้างแล้วว่าประเทศของเราได้ผ่านพ้นปัญหาต่างๆ และคืนสู่ความเป็นปกติสุขมาแล้วอย่างไรบ้าง

เราได้ทำสำเร็จมาแล้ว

เราประสบผลสำเร็จเกินกว่าที่หลายฝ่ายคาดหมายไว้ด้วยซ้ำไป

ผมมั่นใจว่า ณ ทางแยกใหม่ของประเทศไทยในครั้งนี้ เราจะเลี้ยวได้อย่างถูกต้องและราบรื่นอีกครั้ง

ขอขอบคุณที่ท่านได้ให้ความสนใจอย่างดียิ่ง จากนี้ไปผมยินดีจะตอบคำถามของท่าน.

Resource:
http://www.hi-thaksin.org/contentdetail.php?ParamID=1034

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น