วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

สันติวิธีในฐานะแนวคิดดัดจริตของอภิสิทธิ์ชนไทยหลัง 13 เมษา 2552



สันติวิธีในฐานะแนวคิดดัดจริตของอภิสิทธิ์ชนไทยหลัง 13 เมษา

กำพล จำปาพันธ์

1.ความเป็นจริงของสันติวิธี

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เหตุการณ์วันที่ 13 เมษายน 2552 เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง มีการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุให้เห็นกันชัดเจน แต่แล้วทำไมล่ะ? ทำไมผู้ละเมิดผู้ทำผิดในเหตุการณ์ครั้งนี้ถึงยังไม่ถูกลงทัณฑ์ ? นายอภิสิทธิ์ยังเป็นนายกฯอยู่ได้ ด้วยภาพใบหน้าระรื่นยิ้มแย้มแจ่มใส ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรให้ต้องรับผิดชอบ กองทัพก็ยังอยู่ได้ แถมระยะหลังก็ร่วมกับ กอ.รมน. ทำอะไรตลก ๆ (ที่ขำไม่ออก) เช่น มาเสนอ “สันติวิธี” กับคนเสื้อแดงและประชาชนทุกเฉดสีอย่างหน้าด้าน ๆ เพิ่งจะขนอาวุธมาประหัตประหารประชาชนมือเปล่ากลางเมืองหลวงอยู่แท้ ๆ



คำถามที่ผมจะมาชวนทุกคนช่วยคิดช่วยพิจารณาในที่นี้ก็คือ เกิดอะไรขึ้นกับแนวคิดสันติวิธีในสังคมไทยปัจจุบัน? ทำไมแนวคิดซึ่งน่าจะเป็นกำลังสำคัญในการประณามหรือจัดการกับผู้กระทำความผิดในครั้งนี้ จึงไม่เพียงไม่ทำหน้าที่ของตน แต่กลับถูกใช้เป็นเครื่องมือของกลุ่มผู้ใช้ความรุนแรงไปได้ในเหตุการณ์ครั้งนี้?



เมื่อพูดถึง “สันติวิธี” ในที่นี้ ผมคิดว่าเราจำเป็นต้องจำแนกระหว่าง 1.สันติวิธีในฐานะปฏิบัติการจริงในชีวิตประจำวัน 2.สันติวิธีในฐานะแนวคิดหรือชุดปฏิบัติการทางด้านภาษา ภาพ และสัญลักษณ์ ที่ถูกนำเสนอขึ้นมาในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ สันติวิธีในแง่หลังนี้ยังแบ่งย่อยได้เป็น 2.1.สันติวิธีในฐานะวิธีการต่อสู้กับรัฐและชนชั้นนำ 2.2.สันติวิธีในฐานะไวยากรณ์ของอำนาจที่สร้างความชอบธรรมแก่รัฐและบางกรณีก็ถึงกลับถูกใช้เป็นเครื่องมือหรือวิธีการหนึ่งในการปราบปรามประชาชนโดยรัฐและชนชั้นนำ ในที่นี้ผมจะชวนพวกเรามาพิจารณาสันติวิธีในแง่หลังนี้เป็นหลัก เพราะเหตุการณ์ช่วงที่ผ่านมารู้สึกสันติวิธีในแง่หลังนี้จะปรากฏบทบาทมากกว่าสันติวิธีในแง่อื่น



ความแตกต่างระหว่างสันติวิธีทั้งสองประเภทนี้ อธิบายเห็นภาพง่าย ๆ ก็เช่น เปรียบเทียบกันระหว่างประชาชนกับทหารนั้น โดยชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนเป็นนักสันติวิธีอยู่แล้ว ก็เป็นคนทำมาหากินใช้ชีวิตอย่างสันติอยู่แล้ว มาชุมนุมก็ไม่ได้มีอาวุธกันมา คนเสื้อแดงไม่มีระเบิดปิงปอง ไม้ เหล็ก ขวด ก็เพียงหาเอาในที่เกิดเหตุ ของเหล่านี้แทบจะใช้การอะไรไม่ได้เลย เพราะฝ่ายตรงข้ามเขาใช้อาวุธสงคราม ขณะที่ทหารในเหตุการณ์ 13-14 เมษายน พ.ศ.2552 นั้นไม่ใช่เลยครับ! สันติวิธีที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้คือ สันติวิธีในฐานะแนวคิดหรือชุดปฏิบัติการทางด้านภาษา ภาพ และสัญลักษณ์ หรือ “ภาพเสนอ” ไม่ใช่สันติวิธีในแง่ของความเป็นจริง เราต่างได้เห็นแล้วว่าภาพที่เสนอกันขึ้นเกี่ยวกับคนเสื้อแดงในเหตุการณ์วันที่ 13 เมษายน พ.ศ.2552 นั้นบิดเบือนอย่างยิ่ง



ปกติผู้ที่ริจะวิจารณ์แนวสันติวิธีมักจะถูกเล่นงานทันทีเลยว่า นิยมความรุนแรง เป็นพวกซาดิสม์ พวกจะต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ ฯลฯ ผมเคยเขียนวิจารณ์สื่อ และเคยพูดถึงชนชั้นนำบางกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญ ก็มีคนเตือนว่าทำอย่างนั้นไม่ได้ จะเป็นภัยกับตัวเรา บ้างก็ว่าไร้เดียงสา บ้างก็ว่าเป็นพวกอวดวิชา ลองของ ซ่าส์ไม่เข้าเรื่อง ฟังแล้วก็รู้สึกเศร้าใจ สังคมไทยนี่มันยังไงนะ มันเต็มไปด้วยพวกชั้นสูง แตะต้องไม่ได้ วิจารณ์ไม่ได้ แต่กลับชอบจะอวดเป็นประชาธิปไตย ไม่เข้าใจจริง ๆ ประชาธิปไตยจริง ๆ ต้องวิจารณ์ได้สิ ใช่ไหมครับ?



กรณีสันติวิธีในที่นี้ก็เช่นกัน ต่อข้อกล่าวหาเหล่านั้นก็บอกได้เลยว่า ไม่ใช่หรอกครับ! ผมเป็นนักศึกษา ยุ่งอยู่แต่กับปากกา หนังสือ ใช้ชีวิตอย่างสันติอยู่แล้ว (อย่างน้อยที่สุดผมไม่เคยให้ใครเอาปืนมาไล่ยิงคนที่มาประท้วงอย่างสันติเหมือนที่รัฐบาลนี้ทำ) ทุกคนในที่นี้ก็เหมือนกัน เราต่างก็เป็นนักสันติวิธีตัวจริงกันอยู่แล้ว ขณะนี้เราก็กำลังใช้สันติวิธี (หรือ “วิธีการแห่งสันติ” ผมชอบคำนี้มากกว่า แต่ไม่ขอใช้ในที่นี้ เพราะต้องการพูดอะไรบางอย่างที่ตรงกับความเข้าใจทั่วไปให้มาก) คือเรามาพูดคุยกันด้วยเหตุผล แลกเปลี่ยนความรู้ข้อมูลซึ่งกันและกัน อาวุธที่เรามีคือสติปัญญา ความรู้ ความคิด ความมีเหตุผล และความจริงครับ! ตรงข้ามพวกที่เที่ยวพูดสันติวิธีทุกวันนี้ เราต่างก็เห็นกันแล้ว โอโห! สันติวิธีกันมากเลยนะ ส่งทหารเอาอาวุธมายิงคนกลางเมือง โคตรสันติวิธี! แล้วก็อย่าบอกนะครับว่า นี่คือ “สันติวิธีแบบไทย ๆ” เหมือนอย่างที่ชอบบอกเวลาจะทำรัฐประหาร จะเป็นเผด็จการกันเต็มตัว แล้วก็บอก “ประชาธิปไตยแบบไทย”



“สันติวิธี” ในฐานะแนวคิดหรือชุดปฏิบัติการทางด้านภาษา ภาพ และสัญลักษณ์นั้น เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ การเสนอหรือพูดถึงอะไรบางอย่าง ที่อาจไม่ได้เป็นจริงอย่างที่พูด ตัวอย่างเช่น ภาษา และภาพ ที่เสนอเกี่ยวกับเหตุการณ์วันที่ 13 เมษายน พ.ศ.2552 อาจไม่เป็นไปตาม “ความจริง” ที่เกิดขึ้นใน 13 เมษายน 2552 ก็ได้ อาจถูกบิดเบือนก็ได้ เหมือนอย่างที่เราได้เห็นกันมาแล้ว เอาง่าย ๆ คือสรุปว่า คนเราเวลามันพูดอะไร ไม่จำเป็นว่ามันจะเป็นอย่างที่มันพูดจริง ๆ โดยเฉพาะคนชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทุกวันนี้พูดอะไรแต่ละอย่างเชื่อได้ที่ไหน ปั้นสีหน้าดูดี แต่งตัวภูมิฐาน เรียบร้อย พูดจาดูดี แต่เนื้อในครับ “อำมหิตหน้าด้าน” ปากบอกเป็นประชาธิปไตย จริง ๆ ก็เผด็จการอำนาจนิยม บอกมาจากการเลือกตั้ง จริง ๆ เราต่างก็รู้แล้วว่าก็แค่ “ป๋าดัน” “พันธมิตรจัดให้” และ “ทหารอุ้ม” เท่านั้น ไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชนส่วนข้างมากเลยแม้แต่น้อย



กระนั้นก็ตาม เราก็จะเห็นได้ว่าบุคลิกของ “เด็กสร้าง (บ้าน)” แบบนี้ ก็เป็นที่ชื่นชอบของพวกชนชั้นกลางระดับสูงที่ชอบประพฤติตัวแบบ “ผู้ดีตีนแดง” ชนชั้นนำก็นิยมชมชอบ ถูกใจป๋า โดนใจพวกชอบเสแสร้ง ชอบปั้นสีหน้า ดัดจริต สวมหัวโขนเข้าหากัน แต่คนบุคลิกนี้จะไม่เป็นที่ “ฮอตฮิต” กันในหมู่ชาวบ้านคนรากหญ้า ซึ่งปกติจะชอบประมาณแบบพูดตรงไปตรงมา ประเภทแบบซื่อ ๆ ตรง ๆ โผงผาง กล้าได้กล้าเสีย มีใจเป็นนักเลง กล้าทำกล้ารับ ฯลฯ นี่คือข้อแตกต่างในทางบุคลิกภาพระหว่างขวัญใจชาวทุ่งอย่างคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” และหวานใจพวกผู้ดีคนกรุงอย่าง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็เด็กสร้างน่ะครับ ต้องเข้าใจ ก็ต้องหงอ ต้องทำตัวน่ารักเข้าไว้ จะห้าว จะโผงผาง หรือทำอะไรเป็นตัวของตัวเองแบบทักษิณล่ะก็ เดี๋ยวผู้ใหญ่ท่านจะไม่ปลื้มเอาเท่านั้น ในแง่หนึ่งผมก็เข้าใจนายอภิสิทธิ์นะครับ!





2.ภาษาและสัญลักษณ์ของนักสันติวิธีในการเมือง “หลัง 13 เมษา’”

ความเป็นจริงของแนวสันติวิธีในปัจจุบันก็คือ มันตกเป็นเครื่องมือของพวกที่ใช้ความรุนแรง เช่น กลุ่มพันธมิตรที่ยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ยิงคนที่วิภาวดี ทุบตีตำรวจ ที่สำคัญคือ ฆ่าลุงณรงค์ศักดิ์ กรอบไธสง ก็พูดก็บอกว่าตัวเองสันติวิธี (คุ้นไหมครับที่ท่องกันเป็นคาถาคือ “สันติวิธี อหิงสา อารยะขัดขืน” ) กลุ่มเสื้อน้ำเงินที่ไปตีคนเสื้อแดงที่พัทยาก็สกรีนเสื้อว่า “สงบ สันติ สามัคคี” (คำหลังไม่สงสัยเท่าไหร่ แต่สองคำแรกน่ะสิครับ ที่มันเป็นปัญหา) และเหตุการณ์ 13 เมษายน พ.ศ.2552 ก็ถูกนำเสนอโดยสื่อกระแสหลักว่า เป็นการสลายการชุมนุมโดยสันติ ปราศจากการเสียเลือดเนื้อ ทหารทำถูกต้อง ไม่มีผู้เสียชีวิต (?)



กลุ่มคนที่มีบทบาทสนับสนุนพันธมิตร สนับสนุนรัฐประหาร สนับสนุนทหารใช้ความรุนแรงกับคนเสื้อแดงในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ.2552 ก็ออกมาร่วมเคลื่อนไหวเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต โอโห! เห็นแล้วใช่ไหมครับ ละครฉากใหญ่ในวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2552 ที่ผ่านมานี้ พวกเขาบอก “หยุดทำร้ายประเทศไทย” “หยุดใช้ความรุนแรง” ในจำนวนหน่วยงานรัฐที่กระตือรือล้นออกมาแจมกับเขาด้วย ก็คือ “กองทัพ” ครับ! กองทัพสนับสนุนเป็นการใหญ่ให้กำลังพลกว่า 2,000 นาย ร่วมปฏิญาณตน ลงชื่อในแถลงการณ์เรียกร้อง ตั้งเวทีใหญ่โตจัดงานอยู่หน้ากองทัพภาคที่ 1 ใกล้บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ฯลฯ ไม่เข้าใจหรือไงว่าที่ทำร้ายประเทศไทยน่ะ ก็พวกคุณ ๆ ท่าน ๆ นั่นแหล่ะ ประชาชนคนเสื้อแดงน่ะเขาสันติวิธีอยู่แล้ว มีการพูดกันมากว่าทำไมไม่ยอมให้กระบวนการสันติวิธีได้ทำงานของมันจริง ๆ เสียที ผมอยากบอกนะครับว่า ก็มันสันติวิธีกันอย่างนี้น่ะสิครับ ถึงไม่สันติจริง ๆ เสียที



บางคนอาจบอกว่า ที่พันธมิตร ที่ทหาร และที่ 21 องค์กรทำกันเนี่ย ไม่ได้เป็นไปตามแนวคิดสันติวิธีอย่างแท้จริง จริง ๆ แล้วสันติวิธีเป็นแนวคิดที่ดี แต่พวกที่อ้างสันติวิธีมันทำผิด ผมเองก็เห็นด้วยกับประเด็นนี้ แต่ไม่ทั้งหมดครับ เพราะปัญหาของแนวคิดสันติวิธีที่เป็นจุดอ่อนสำคัญก็คือ การไม่จำแนกประเภทของความรุนแรง อ้างตัวเป็นกลาง วิจารณ์ตรวจสอบความรุนแรงทั้งสองข้าง จนนำไปสู่การตั้งคำถามกับผู้ชุมนุมว่าก็ใช้ความรุนแรงเองนี่ ก็สมควรถูกปราบแล้ว แต่ขณะเดียวกันก็มักละเลยไม่ตั้งคำถามกับความรุนแรงที่มาจากฝ่ายรัฐบาลและทหาร เป็นไปไม่ได้ที่จะตั้งคำถามกับความรุนแรงทั้งสองข้างแบบนั้น มันเป็นอุดมคติของแนวคิดและหรือหอคอยงาช้างของพวกนักวิชาการมากไป ถามว่านักสันติวิธีจะเลือกข้างได้ไหม ผมว่าได้ และมันคงจะทำให้อะไรหลายอย่างดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นี้ด้วย ทหารยิงประชาชนเป็นความรุนแรงอยู่แล้ว ก็แล้วทำไมล่ะ มีปัญหาอะไร ก็พูดไปเลยสิว่า เฮ้ย! อย่างนี้ไม่ได้ อย่างนี้ผิด คนสั่งคนทำต้องรับผิดชอบ อย่างนี้เป็นต้น ทำไมต้องทำให้เด็กเล็ก ๆ อย่างผม ต้องมาบอกมาสอนอะไรอย่างนี้ด้วย อายเป็นบ้างมั๊ย ?



สิ่งที่เราเห็นคือ มีการสร้างภาพให้ร้ายคนเสื้อแดงว่า ใช้ความรุนแรง ไม่มีเหตุผล เห็นท่อนไม้ เห็นก้อนหิน เห็นระเบิดขวด เผารถเมล์ ก็หาว่าเผาบ้านเผาเมือง (รถเมล์ = บ้านเมือง ? ) แต่ทหารยิงประชาชน กลับจะบอกไม่รุนแรง กระสุนกระดาษ ไม่มีผู้เสียชีวิต สรุปคือ ผู้ที่มามือเปล่าถูกสร้างภาพบิดเบือนว่ารุนแรง ไม่สันติวิธี แต่พวกที่สั่งทหารขนอาวุธมาประหัตประหารประชาชนมือเปล่า กลับถูกสร้างภาพว่าไม่รุนแรง สลายการชุมนุมโดยสงบ สันติ ทำถูกต้อง ผมอยากเสนอนะครับว่า การเสนอภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นจริงว่าไม่รุนแรง เป็นความรุนแรงอีกระดับหนึ่ง นอกจากถือเป็นการผลิตซ้ำความรุนแรงแล้ว ยังเป็นความรุนแรงโดยตัวมันเองอีกด้วย



“สันติวิธี” ที่นำมาอธิบายให้ความหมายแก่การกระทำของทหารในเหตุการณ์ครั้งนี้ จึงเป็นสันติวิธีที่สร้างกันขึ้น จัดฉากกันขึ้น ตัดต่อ ลดทอน ตีความใหม่ ไม่ใช่สันติวิธีที่เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด ความจริงสันติวิธีไม่ได้ถูกใช้โดยทหารและรัฐบาลในเหตุการณ์ครั้งนี้ ตรงข้ามสันติวิธีถูกใช้จริง ๆ ก็โดยผู้ชุมนุมต่างหาก แม้แต่การยุติการชุมนุม ถามว่า ใครเป็นตัวแปรสุดท้ายที่ทำให้การชุมนุมสลายไปในวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2552 แกนนำเสื้อแดงครับ ที่แก้ปัญหาด้วยสันติวิธี คือยอมถูกจับ ยอมติดคุก เพื่อให้ประชาชนรอดชีวิตกลับบ้าน



จะเห็นได้ว่า ภาพที่สื่อนำเสนอกับภาพเหตุการณ์จริง ๆ เป็นคนละเรื่องกันเลย ทหารทำถูกต้อง สลายชุมนุมโดยสงบ สันติ ยังไงครับ หลายคนในที่นี้ต่างก็เคยวิ่งหลบกระสุนปืนกันในวันนั้นมาแล้วทั้งนั้น สื่อมวลชนไม่ได้ทำหน้าที่ในการนำเอาความจริงมานำเสนอ สาระสำคัญที่บอกกับผู้รับสื่อว่าไม่รุนแรงจึงขัดแย้งกับความเป็นจริง สื่อไม่ได้สะท้อนความจริง แต่สื่อเสนอความเท็จครับ! แทนที่ความรุนแรงจะถูกนำเสนออย่างตรงไปตรงมาว่า เป็นความรุนแรง ก็กลับถูกเสนอว่ามันไม่ใช่ความรุนแรง ทั้งที่ในความจริงมันเป็นความรุนแรงและไม่ใช่การสลายชุมนุมโดยสงบ สันติ เลยแม้แต่น้อย!



สลายการชุมนุมโดยสงบ สันติ ยังไงครับ คนสูญหายยังไม่ทราบชะตากรรมเป็นจำนวนมาก การ์ด นปช.ตายไป 2 คน คนนางเลิ้งอีก 2 คน (แม้ว่าจะไม่ใช่คนเสื้อแดง แต่ก็เกี่ยวข้องกับการปราบปรามประชาชนในวันนั้น และเขาก็ไม่ควรต้องมาสูญเสียในเหตุการณ์ครั้งนี้) ที่บ้านพักแม่ทัพภาค 1 ที่นายอภิสิทธิ์ไปหลบมุดหัวอยู่ก็ตายอีก 1 คน บาดเจ็บ (ตามตัวเลขเฉพาะตีสี่ถึงหกโมงเช้าของวันที่ 13 เมษายน พ.ศ.2552) คือ 26 กว่าคน (ตกถึงบ่ายโมงเศษตัวเลขพุ่งขึ้นเป็น 77 คน) อาการโคม่าอยู่ไอซียู 4 คน เจ็บแค้นเจ็บใจเจ็บปวดกันเป็นแสน ๆ ที่บอกกระสุนปลอม กระสุนจริงขึ้นฟ้าน่ะ เคยไปดูคนเจ็บบ้างหรือเปล่าว่าเขาโดนอะไร ประเด็นคือให้ทหารขนอาวุธขนรถถังออกมาเผชิญหน้ากับผู้ชุมนุม แล้วมั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีความรุนแรง มั่นใจอย่างไรว่าให้ทหารยิงคนแล้ว คนถูกยิงจะไม่ตาย ไม่บาดเจ็บ ไม่ถูกยิงโดนจุดสำคัญ ทำไมไม่ใช้ตำรวจปราบจลาจล ไม่ใช้แก๊สน้ำตา ไม่ใช้ปั๊มน้ำ อย่าบอกนะครับว่านี่คือวิธีสลายการชุมนุมแบบไทย ๆ





3.สันติวิธี: ความหมาย อำนาจ และความเป็นการเมือง

ความจริงของเหตุการณ์ก็คือ อย่างที่เราเห็นกันมาแล้วว่า การชุมนุมเสื้อแดงโดยตัวมันเองเป็นการชุมนุมโดยสงบ สันติ แม้ชุมนุมใหญ่วันที่ 8 เมษายน พ.ศ.2552 มีคนเข้าร่วมจำนวนมากมายขนาดนั้น ก็ยังไม่เกิดเรื่อง มาเกิดเป็นเรื่องกันขึ้น ก็เนื่องจากการปราบปรามของฝ่ายรัฐบาล เวทีเสื้อแดงพูดถึงสันติวิธีอยู่ไม่กี่ครั้ง และป้ายผ้าข้างรถที่แปลงเป็นเวทีเคลื่อนที่ที่ไปที่หน้าบ้านสี่เสาฯ มีคำว่า “แนวหน้าสันติวิธี” เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว เพราะเห็นกันอยู่ว่าประชาชนมามือเปล่า รวมตัวเรียกร้องกันอย่างสันติ



คำอธิบายที่ว่า การสลายการชุมนุมวันที่ 13 เมษายน พ.ศ.2552 เป็นไปโดยสงบ สันติ คือการให้ความหมายที่สร้างขึ้นโดยกระบวนการสื่อสารมวลชนและกลไกอำนาจรัฐ ความหมายนี้ปราศจากข้อเท็จจริง เต็มไปด้วยการตัดต่อ ลดทอน ตีความใหม่ “สันติวิธี” ที่เสนอผ่านการอธิบายแบบนี้ ความหมายก็คือความรุนแรงที่เคลือบแฝงมาในนามความไม่รุนแรง (หรือ “สันติวิธี”) นี่คือความหมายและอำนาจที่เกิดขึ้นในการอธิบายหรือนำเสนอกรณีเหตุการณ์ 13 เมษายน พ.ศ.2552



สร้างภาพว่ากองทัพและรัฐบาลทำสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย เหตุการณ์วันที่ 13 เมษายน พ.ศ.2552 ปัจจุบันจึงมีคำอธิบายอยู่ 2 แนวที่ขัดแย้งกัน คือแนวของเสื้อแดงกับฝ่ายรัฐบาล หรือก็คือแนวพัชรพล สมบุญ (ผู้อยู่ในเหตุการณ์และมาถ่ายทอดเรื่องราวในที่นี้) กับแนวนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และเพราะความจริงของเหตุการณ์นี้จะ sensitive อย่างมากต่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายอภิสิทธิ์ ตลอดถึงกลุ่มอำนาจที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังรัฐบาลชุดนี้ พวกเขาจึงพยายามบิดเบือนสภาพความเป็นจริงอย่างเต็มที่ ยังไงก็จะตะแบงกันอยู่นั่นแหล่ะว่า ไม่มีคนตาย กระสุนกระดาษ คำอธิบายของฝ่ายรัฐบาลจึงไม่ได้อิงกับความจริง แต่อิงกับผลประโยชน์ทางการเมืองของพวกเขาเอง





4.สันติวิธีของความรุนแรง + ความรุนแรงของสันติวิธี = แนวคิดและอำนาจของทรราชย์?

“สันติวิธี” กับ “ความรุนแรง” กลายเป็นความสัมพันธ์ของคู่ตรงข้ามแบบ “เอกภาพในความต่าง” (หรือ “เอกภาพของสิ่งตรงข้าม” ที่พูดถึงในแนวปรัชญาของฝ่ายซ้าย) สันติวิธีของกองทัพที่บอกกันว่ามีอยู่ในเหตุการณ์วันที่ 13 เมษายน พ.ศ.2552 แท้จริงมันคือความรุนแรง และความรุนแรงจริง ๆ นี้ไม่ได้ถูกนำเสนอออกมาอย่างเป็นระบบในช่วงที่ผ่านมาก็เพราะภาษาและสัญลักษณ์ของแนวคิดสันติวิธี ผมรู้มาว่าพวกนักสันติวิธีนักวิชาการด้านความรุนแรงในสังคมไทยปัจจุบัน ทำมาหากินกับกองทัพมาพอสมควร ทำวิจัย และจัดฝึกอบรมทหารมาโดยตลอด แต่แทนที่แนวคิดสันติวิธีจะทำให้ทหารเลิกใช้ความรุนแรง ข้อเท็จจริงที่ปรากฏก็คือว่าไม่เพียงไม่เลิกใช้ความรุนแรง แต่ยังทำให้พวกเขามีชุดเหตุผลมีภาษามีสัญลักษณ์ที่ใช้บิดเบือนความรุนแรงที่เกิดขึ้นจริงให้กลายเป็นความไม่รุนแรงและดูสันติวิธีในที่สุด



ความรุนแรงที่มาในนามสันติวิธีคือความรุนแรงที่สามานย์กว่าความรุนแรงที่มาในคราบความรุนแรง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ยึดอำนาจแล้วจับรวม วงษ์พันธุ์ จับครูครอง จันดาวงศ์ จับศุภชัย ศรีสติ จับกบฏผู้มีบุญ ศิลา วงศ์สิน ได้แล้วสั่งประหารชีวิต จอมพลสฤษดิ์ก็ยังแอ่นอกรับตรง ๆ ว่า “ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว” แต่จอมพลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะให้ทหารขนอาวุธมาประหัตประหารคนกลางเมืองหลวง กลับไม่ยอมรับว่านี่คือความรุนแรงที่เกิดขึ้นจริง แถมยังมาโกหกหน้าด้าน ๆ ว่า ทำถูกต้อง สงบ สันติ ฯลฯ ครับ! เรากำลังมีทรราชย์ที่ทั้งแสบและเลวระยำที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่แล้วในขณะนี้ เพราะฝ่ายทรราชย์ยุคนี้มีสื่อและชุดของภาษาที่อ้างอิง “ความเป็นสันติวิธี” มาใช้ฉาบทาเคลือบผิวปกปิดความรุนแรงที่เกิดขึ้นให้ดูประหนึ่งว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นจริง ฉะนั้น แทนที่เราจะได้ต่อสู้กับพวกมันด้วยเกมส์ของภาษาว่าด้วยความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชนกันอย่างตรงไปตรงมา เรากลับต้องมาเปลืองน้ำลายกับความเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกหลอกลวงของพวกมัน เป็นทรราชย์ทั้งทีแต่กลับทำตัวเยี่ยงสุนัขจิ้งจอกเก้าหางมีพฤติกรรมน่าละอายเสียนี่กระไร



ครับ! สันติวิธีที่เสนอกันในช่วงที่ผ่านมานี้ พยายามจะทำให้คนไขว้เขว ว่าคนเสื้อแดงเป็นพวกก่อความรุนแรง เป็นตัวปัญหา เป็นผู้ร้าย และเป็นผู้ “ทำร้ายประเทศไทย” แต่ความจริงก็คือความจริง เพียงแต่รอวันเผยตัวมันเองออกมาเท่านั้น เราควรให้ความสนใจกับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ตอนนี้เสียงของพวกเขามีความหมายและเป็นหลักฐานที่สำคัญที่ยืนยันถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นจริง ส่วนสื่อจะตะแบงไปยังไงก็คงต้องปล่อยไปก่อน



ครับ! ขณะนี้ชนชั้นนำผู้มีอภิสิทธิ์ในสังคมไทยกำลังใช้แนวคิด “สันติวิธี” มาบิดเบือนความจริงที่เกิดขึ้น และซ้ำยังใช้เป็นข้ออ้างเพื่อความสมานฉันท์สามัคคี “สันติวิธี” แบบนี้จึงเป็นแนวคิดที่สะท้อนผลประโยชน์ของชนชั้นนำที่ต้องการคงสถานะความได้เปรียบในสังคมดังที่เคยเป็นมา พวกเขาเรียกร้องให้ผู้ได้รับผลกระทบสงบปากสงบคำและยอมรับความพ่ายแพ้ อย่ามาชุมนุมอีก มองประชาชนที่ออกมาเรียกร้องความถูกต้องความเป็นธรรมว่าเป็นตัวปัญหา พร้อมกับยัดเยียดข้อกล่าวหาว่าที่ผ่านมาทั้งหมดนั้นเป็นเพราะผู้ชุมนุมทำผิดใช้ความรุนแรงเอง แต่ขณะเดียวกันในหมู่พวกเขาก็ยังไม่หยุดสร้างปัญหาทำลายสิทธิความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาใจกลางสำคัญที่คนเสื้อแดงเรียกร้อง แล้วดูวิธีปัญหาวิธีใช้อำนาจสิครับ อย่างเรื่องเหตุการณ์ที่พัฒพงษ์ก็เหมือนกัน พ่อค้าแม่ค้าประชาชนทั้งนั้น ไปทำเขาอย่างนั้นได้ไง อันธพาล โจรชัด ๆ คือเป็น “โจร” อย่างที่กลุ่มอาจารย์มานิตย์ (มานิตย์ จิตจันทร์กลับ) ว่านั่นแหล่ะครับ!



“สันติวิธี” ที่เสนอขึ้นภายใต้บรรยากาศการเมืองแบบนี้จึงเป็นแต่เพียงแนวคิดดัดจริตที่จะพาคนที่ถูกกระทำให้กลายแพะรับบาปสำหรับปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้น อำพรางจุดยืน ตีสองหน้า ทำทีเป็นกลาง ด้วยหวังจะให้ประชาชนที่บาดเจ็บและได้รับผลกระทบจากการใช้ความรุนแรงโดยรัฐเปลี่ยนใจหันมาสามัคคีกับชนชั้นนำดังเดิม และเป็นแนวคิดที่จะมาเสี้ยมให้คนยอมจำนนต่ออำนาจเผด็จการฉ้อฉลต่าง ๆ ตอกย้ำมายาคติหรือความเชื่อผิด ๆ ที่ว่า ประชาชนส่วนใหญ่เป็นพวกไม่กระตือรือล้น ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เดี๋ยวหลอกนิดหลอกหน่อยก็คล้อยตามไปเอง มองประชาชนอย่างดูถูกดูแคลนว่าโง่และซื้อได้ อยากจะให้มันจบ แต่ถามว่าทำอย่างนี้มันจะจบได้ไงเล่า ไม่รู้ใครโง่กันแน่ คิดดูเอาเถอะครับ!






--------------------------------------------------------------------------------

* "สันติวิธีในฐานะแนวคิดดัดจริตของอภิสิทธิ์ชนไทยหลัง 13 เมษา" จากร่างคำอภิปรายงานประชุมเสวนาสมัชชาสังคมก้าวหน้าครั้งที่ 1/2552 หัวข้อ “มาตรฐานสิทธิมนุษยชนกับการสลายการชุมนุม (กรณี 13 เมษายน 2552).” ณ หอประชุมมาลัย ตึก 3 ชั้น 1 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2552 โดยผู้เขียนไม่ได้ปรับปรุงร่างนี้ให้อยู่ในรูปบทความดังจุดมุ่งหมายแต่แรก ด้วยติดขัดในเรื่องเวลาและทั้งไม่รู้จะปรับให้ดีขึ้นได้อย่างไร ร่างนี้อาจไม่ตรงกับคำอภิปรายฉบับถอดเทปภายหลัง เพราะผู้เขียนไม่ได้พูดตามร่างนี้ทั้งหมดตามตัวบทอักษร ระหว่างที่พูดนั้นได้มีการปรับเนื้อหาคำพูดเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศขณะนั้นไปพอสมควร แต่โดยรวมแล้วก็ยังคงประเด็นสำคัญเดียวกันไว้ทั้งหมด ขอขอบคุณคณะทำงานสมัชชาสังคมก้าวหน้าที่ให้เกียรติเชิญไปเสนอความเห็นและร่วมพูดคุยในหัวข้อดังกล่าวข้างต้น ขอบคุณผู้ประสานงาน ชัยนรินทร์ กุหลาบอ่ำ และเพื่อน ๆ น้อง ๆ จากกลุ่มเลี้ยวซ้าย คุณโบว์-Homoerectus ผู้ทำหน้าที่ดำเนินรายการได้อย่างดีเยี่ยม วิทยากรรับเชิญทั้งทุกท่านที่ต่างให้ความรู้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ อาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ผู้ถ่ายทอดวิทยายุทธ์และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์เสมอ พี่วันเฉลิม เปรมปลื้ม สำหรับคำชี้แนะและวิพากษ์วิจารณ์ฉันท์มิตร ตลอดถึงผู้ร่วมเสวนาทุกท่านก็ขอแสดงความขอบคุณไว้ในที่นี้ด้วย ฯลฯ


โดย : ประชาไท วันที่ : 23/5/2552

Resource:http://www.prachatai.com/05web/th/home/16944

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น