ธงไท นำชัย
นักวิชาการ นิยามกันว่า ‘อมาตยาธิปไตย’ หรือ ‘อำมาตยาธิปไตย’ (bureaucratic polity) เป็นการปกครองโดย ข้าราชการ ซึ่งได้มีโอกาสเข้ามาปกครองเพราะอำนาจของตำแหน่งในรัฐบาล ใช้หมายถึงรัฐบาลที่ไม่ขึ้นอยู่หรือให้ความสำคัญกับเสียงประชาชน ตรงข้ามกับ ‘ประชาธิปไตย’ ที่ปกครองโดยถือมติปวงชนเป็นใหญ่
การปกครองซึ่งอำนาจการปกครองบริหารตั้งแต่เริ่มต้นการวางนโยบาย การนำนโยบายไปปฏิบัติ การจัดการงบประมาณขึ้นอยู่กับข้าราชการประจำ ในขณะเดียวกันอำนาจการเมืองก็ขึ้นอยู่กับข้าราชการทหาร ซึ่งมีกองกำลังจัดตั้งและได้อำนาจมาจากการปฏิวัติรัฐประหาร โดยมีการเลือกตั้งเป็นพิธีกรรมเป็นระยะๆ ที่สำคัญคือ ตัวผู้บริหารประเทศสูงสุดคือนายกรัฐมนตรีมักจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งและมักจะเป็นนายทหารที่มีกองทัพสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
สรุปก็คือ “ ระบอบการปกครองที่ขุนนางหรือข้าราชการเป็นใหญ่ ” ซึ่งล้วนมีวิธีคิดรูปการจิตสำนึกแบบรวมศูนย์อำนาจ เคยชินระบบเจ้าขุนมูลนาย มองประชาชนคนธรรมดาเป็นเพียงไพร่ ไม่ให้ประชาชน ชุมชนมีส่วนร่วมไม่โปร่งใสและตรวจสอบมิได้
“ชนชั้นใดร่างกฎหมายก็เพื่อชนชั้นนั้น เช่นเดียวกันกลุ่มอำมาตยาธิปไตยร่างรัฐธรรมนูญ 50 ก็เพื่อกลุ่มอำมาตยาธิปไตย”
รัฐธรรมนูญ 50 จึงเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มอำมาตยาธิปไตยเป็นสำคัญ โดยการกำหนดให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติคัดเลือกโดยประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด และอีกสองคนมาจากการเลือกของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาและที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด สำหรับที่เหลืออีกสองคนมาจากผู้แทนของฝ่ายการเมือง คือประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในส่วนเครือข่ายอำมาตยาธิปไตยก็ว่าได้
จึงไม่น่าคาดการณ์การผิดแต่อย่างใดว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ได้รับการคัดเลือกล้วนห่างเหินไม่มีความรู้ ประสบการณ์เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวในแวดวงสิทธิมนุษยชนอย่างที่ควรจะเป็น
อย่างไรก็ตามระบบคิดของระบอบอำมาตยาธิปไตย มิได้เพียงสะท้อนจากบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญในแต่ละยุคสมัยเท่านั้น ยังเปิดเผยร่างเผยตัวให้เห็นจาก เนื้อหาสาระด้านความสัมพันธ์ทางอำนาจของพระราชบัญญัติหรือกฎหมายในสังคมไทยด้วยเช่นกัน
กล่าวได้ว่า พระราชบัญญัติหรือกฎหมายในเมืองไทยเกือบทุกฉบับก็ว่าได้ ที่กำหนดให้อำนาจในการจัดการตามกฎหมายขึ้นอยู่กับราชการ หรือระบอบอำมาตยาธิปไตย เช่น กฎหมายป่าไม้ กฎหมายที่ดิน กฎหมายนิคมอุตสาหกรรม กฎหมายเหมืองแร่ กฎหมายแรงงาน กฎหมายชลประทาน และอื่นๆ ที่ควบคุมอำนาจและเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนทั้งในและนอกประเทศ
รวมทั้ง ร่าง พ.ร.บ.สภา เกษตรแห่งชาติฉบับรัฐบาลที่กำลังอยู่ในวาระการพิจารณารัฐสภาขณะนี้ ไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์แนวทางการจัดตั้งสภาเกษตรกรไม่เอื้อต่อการแก้ปัญหา ของเกษตรกรด้วยตัวเกษตรกรเอง แต่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจเกษตร อำนาจหน้าที่ยังอยู่ภายใต้ข้าราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือระบอบอำมาตยาธิปไตยเช่นเดิม
ดังนั้น การวิเคราะห์ ระบอบอำมาตยาธิปไตย คงมิใช่มีเฉพาะเจาะจงที่ตัวบทของรัฐธรรมนูญ 50 เท่านั้น ยังต้องเชื่อมโยงไปที่พระราชบัญญัติหรือกฎหมายที่สะท้อนถึงอำนาจอำมาตยาธิปไตย ตลอดทั้งรูปการจิตสำนึกอีกด้วย
“นักพัฒนาองค์กรเอกชน นักสิทธิมนุษยชน นักเคลื่อนไหวทางสังคม ผู้นำปราชญ์ชุมชน นัก วิชาการ นักสื่อสารมวลชน และนักประชาธิปไตยที่แท้จริง ผู้สถาปนาตัวเองเพื่อมวลชนผู้ยากไร้ทั้งหลาย ยังคงคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 ที่กำหนดให้อำนาจอำมาตยาธิปไตยครองความเป็นใหญ่ในสังคมไทย กันอยู่อีกหรือ?”
โดย : ประชาไท วันที่ : 11/5/2552
Resource:http://www.prachatai.com/05web/th/home/16785

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น